ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน ครั้งหนึ่งในชีวิตกับงานอาจริยบูชาหลวงปู่ชา (ตอนที่ 2)

ตอนแรกครับ  >>>       http://ppantip.com/topic/30091138

วันที่2 (16 ม.ค. 2553)

   สำหรับคืนนี้ผมตั้งใจจะอยู่เนสัชชิกทั้งคืน  เลยต้องเริ่มจากการทาโลชั่นกันยุงซะก่อน เผื่อไว้ (แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เจอเลยนะ)   แล้วก็เริ่มนั่งสมาธิบนเสื่อ หน้าเต๊นนั่นแหละครับ    นั่งไปซักพักก็เริ่มได้ยินเสียงวี้ๆข้างหู  สงสัยเค้าจะเริ่มมากันแล้วสินะ  ผมก็ยกมือไปปัด  (ตามดูอาการที่เอื้อมไปปัดด้วย  จะได้ไม่เสียสมาธิ) ....  ทนนั่งต่อไปหน่อย พวกเจ้ายุงก็ยังไม่หยุดรังควาญ  เริ่มมีกัดบ้างชิมๆ(เลือด)ดูบ้างให้พอรำคาญ   ผมนั่งพิจารณาเหตุปัจจัยแล้วก็เห็นสมควรจะเปลี่ยนท่า   เพราะเกรงว่าอาจจะเป็นไข้ป่าไปซะก่อน  

เนื่องจากผมเป็นคนผิวแพ้ง่าย  ก็เลยจะไม่ทาอะไรบริเวณใบหน้า  ผมก็เอาผ้าขาวม้านี่แหละมาคลุมหัวไว้ เอาถุงเท้ามาใส่ แล้วก็เอาเสื้อหนาวมาคลุมตัวไว้  และนั่งสมาธิอยู่บนเสื่อหน้าเต๊น    (ทั้งนี้ผมคงต้องขออภัยผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาในเวลานั้น  อาจจะต๊กกะใจ นึกว่าเปรตมาขอส่วนบุญอะไรกันแถวนี้)  ซึ่งก็ได้ผลครับ   ยุงไม่ค่อยมาเยี่ยมเยียนบ่อยนัก  จึงเข้าสมาธิได้ดีเลยทีเดียว
นั่งไปซักพักใหญ่  พอดึกๆหน่อยก็ว่าจะไปนั่งต่อที่เจดีย์  ก็เลยลุกเดินออกไป  ...ระหว่างเดิน ผมก็พิจารณาดูจิตให้มีสติติ่เนื่องไปเรื่อยจนไปถึงหน้าเจดีย์  

โพธิญาณเจดีย์ในยามค่ำคืนนั้น  สวยงามมากครับ  แสงทองขององค์เจดีย์ส่องรับกับแสงไฟเป็นประกายอร่ามเรื่อๆ ดุจแสงสว่างแห่งปัญญา  ..ทว่าดูเย็นตาประดุจ ร่มเงาแห่งพระธรรม   ผมตื่นตะลึงกับภาพเบื้องหน้าซักพัก  แล้วจึงค่อยๆเดินเข้าไปในเจดีย์อย่างสำรวม
ภายในเจดีย์  มีที่บรรจุพระธาติหลวงปู่ชาอยู่ตรงกลาง  มีประตูเข้าออกสี่ทิศ  และเหล่าญาติโยมและพระสงฆ์มานั่งสมาธิกันอยู่โดยรอบอย่างสงบเสงี่ยม  ซึ่งวันนี้ถือว่า ยังมีคนมานั่งกันไม่เยอะมากนัก (พอทราบมาว่า ถ้าเป็นคืนวันที่ 16 จะมีทั้งพระสงฆ์ทั้งญาติโยมมากันเต็มไปหมด)      ...ผมเดินเข้าไปแล้วก็ก้มกราบพระธาตุหลวงปู่ชา แล้วก็เริ่มนั่งสมาธิ  

ผมนั่งสมาธิสลับกับเดินจงกรมรอบเจดีย์อยู่ซักพักใหญ่ รู้สึกสงบเย็นดีครับ   ครั้นพอเห็นว่าดึกมากแล้ว  ก็ค่อยๆเดินกลับไปนั่งสมาธิต่อที่หน้าเต๊น   เหลือเวลาอีกซักสงชั่วโมงกว่าๆก็จะเริ่มทำวัตรเช้ากันแล้ว  
ช่วงนี้ยุงเริ่มเยอะครับ  เสื้อหนาวที่ผมเอามาคลุมขาไว้เริ่มชักจะไม่ได้ผล  ยุงมันชักจะฉลาด เริ่มบินทะลุทะลวงเข้ามากัดได้  ผมก็ดูเป็นเวทนาไปบ้างแต่พอหนักเข้า มันชักจะดูตามไม่ทัน ก็เลยเปลี่ยนท่าซะเลย ทีนี้นั่งเอาขาไปซุกเต๊นเล็ก(ที่เอาไว้เก็บของ) ก็เลยพอถูไถ นั่งได้สบาย  (แต่ท่านั่งอาจจะแปลกๆนิดนึง - -") ...แต่นั่งนานๆไปสงสัยจะสบายเกิน  เลยโดนเจ้านิวรณ์(ความง่วง)เอาไปกินซะฉิบ  (หรือเรียกอีกอย่างว่า หลับ) แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เอนหลังนอนลงไป ไม่งั้นถือว่าผิดหลักเนสัชชิก  ... ตื่นมาอีกทีก็ใกล้ตีสามเข้าไปแล้ว    ก็เลยไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปทำวัตรเช้าที่ศาลาการเปรียญต่อเลย  

ผมสวดมนต์ทั้งที่ยังหลับๆตื่นๆ (ดำน้ำไปก็เยอะ) ตามเขาไปจนจบ เสร็จแล้วก็ไปเดินกวาดลานวัดตามถนนหนทางต่างๆ  ซึ่งถือเป็นการภาวนาแก้ง่วงได้อย่างดีทีเดียวครับ   ...กวาดๆไป ก็จะมีป้าๆยายๆมาส่งยิ้มหวาน ให้กำลังใจ  "อนุโมทนานะลูกเอ๊ย" อยู่เป็นระยะๆ   แหม๊... ดูสิครับ คนอุบลนี่เค้าน่ารักจริงๆ   (ตอนหลังผมเลย 'เอาคืน'บ้าง  เห็นใครยืนกวาดอยู่ ถ้าผมเดินผ่านก็จะกล่าวอนุโมทนาเค้าไปบ้าง ^^")
พอรุ่งเช้า  หลังจากพระเริ่มทยอยออกบิณทบาตกันเกือบหมดแล้ว    ผมกับแฟนก็เตรียมตัวออกไปใส่บาตร  จัดการล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนชุด  แล้วเดินออกไปนอกวัด เพื่อไปหาซื้อข้าวปลาอาหารมาใส่บาตรกัน  ...ซึ่งก็ไม่ได้หายากอะไรเลยครับ  ที่หน้าวัดก็จะมีแม่ค้าพ่อค้ามาตั้งแผงขายอาหารกัน   แต่ที่นี่จะแตกต่างจากที่แถวบ้านผมนิดหน่อยครับ ตรงที่แถวบ้านผมเค้าจะจัดเป็นเซตไว้ให้เลย  แต่ที่นี่เราเลือกเอาเองเลยครับว่าจะเอากับอะไร เอาปลากี่ตัว เอาไข่กี่ลูก แล้วเค้าจะมีถาดมาให้เราใส่ พอเลือกเสร็จแล้วก็เอาไปให้เค้าคิดตัง   ซึ่งก็ถือว่าไม่แพงเลยครับ

ซื้อของเสร็จก็ได้เวลารอใส่บาตร  เราอาจจะออกมาสายไปหน่อย  เพราะพระก็เริ่มจะทยอยกลับวัดกันแล้ว ญาติโยมที่มารอใส่บาตรก็มายืนรอเป็นแถวอยู่ตามสองข้างถนน    แต่เนื่องจากพระที่ไปบิณทบาตบางสายท่านขึ้นรถโยม เพื่อไปเดินบิณทบาตที่ไกลๆ   ขากลับก็กลับรถโยม  ก็เลยไม่ได้เดินผ่านหน้าวัด   เลยต้องรอให้พระที่กลับมาจากบิณทบาตสายใกล้ๆเดินกลับมากัน  ซึ่งก็ดีครับถือเป็นการฝึกขันติไปในตัว    และด้วยแถวผู้มารอใส่บาตรค่อนข้างยาว   บางทีกว่าจะมาถึงเรา บาตรท่านก็เต็มซะแล้ว ต้องรอให้เด็กวัดเอาตะกร้ามาถ่ายบาตรออกไปก่อน ถึงจะใส่ต่อได้   แต่พระบางรูปท่านก็เมตตาครับ พอเห็นโยมมายืนรอใส่บาตรกันเยอะ ท่านเดินเข้าวัดไปถ่ายบาตรออกเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมารับบิณทบาตโยมหน้าวัดอีกรอบ

หลังจากใส่บาตรเสร็จแล้ว  ผมกับแฟนก็เตรียมตัวถวายภัตตาหารและรับพรจากพระพร้อมกันที่ศาลาการเปรียญเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปรับประทานอาหารเช้ากัน   ก็เลยไปเอาถาดใส่อาหารที่โรงครัวแล้วไปต่อแถวรอตักอาหารกันตามลำดับฐานะ (ณ จุดนี้..เริ่มรู้ธรรมเนียมแล้วครับ ^^")   ระหว่างเดินแถวตักอาหาร ก็มีพี่ผู้ชายคนนึงเค้าว่าวอีสานประมาณว่า อย่าตักเยอะนะ  ถ้ากินเหลือแล้วมันจะบาป  ...น่านน เห็นมั้ยครับ คนที่นี่เค้าดีขนาดไหน มีกัลญาณมิตรคอยตักเตือนกันด้วย

ปล. ทีแรกกะเอาให้จบเลยแต่มีผู้หวังดีเค้าบอกว่า  ถ้าเขียนยาวไป(อย่างตอนแรก)มันจะไม่น่าอ่าน  ก็เลยลงทีละนิดดีกว่าครับ  แถมคราวนี้ลงรูปให้ด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่