ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน ครั้งหนึ่งในชีวิตกับงานอาจริยบูชาหลวงปู่ชา (ตอนจบ)

ตอนแรกครับ  >>>       http://ppantip.com/topic/30091138
ตอนที่ 2       >>>       http://ppantip.com/topic/30133118

รุ่งเช้า  หลังจากพระเริ่มทยอยออกบิณทบาตกันเกือบหมดแล้ว    ผมกับแฟนก็เตรียมตัวออกไปใส่บาตร  จัดการล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนชุด  แล้วเดินออกไปนอกวัด เพื่อไปหาซื้อข้าวปลาอาหารมาใส่บาตรกัน  ...ซึ่งก็ไม่ได้หายากอะไรเลยครับ  ที่หน้าวัดก็จะมีแม่ค้าพ่อค้ามาตั้งแผงขายอาหารกัน   แต่ที่นี่จะแตกต่างจากที่แถวบ้านผมนิดหน่อยครับ ตรงที่แถวบ้านผมเค้าจะจัดเป็นเซตไว้ให้เลย  แต่ที่นี่เราเลือกเอาเองเลยครับว่าจะเอากับอะไร เอาปลากี่ตัว เอาไข่กี่ลูก แล้วเค้าจะมีถาดมาให้เราใส่ พอเลือกเสร็จแล้วก็เอาไปให้เค้าคิดตัง   ซึ่งก็ถือว่าไม่แพงเลยครับ
ซื้อของเสร็จก็ได้เวลารอใส่บาตร  เราอาจจะออกมาสายไปหน่อย  เพราะพระก็เริ่มจะทยอยกลับวัดกันแล้ว ญาติโยมที่มารอใส่บาตรก็มายืนรอเป็นแถวอยู่ตามสองข้างถนน    แต่เนื่องจากพระที่ไปบิณทบาตบางสายท่านขึ้นรถโยม เพื่อไปเดินบิณทบาตที่ไกลๆ   ขากลับก็กลับรถโยม  ก็เลยไม่ได้เดินผ่านหน้าวัด   เลยต้องรอให้พระที่กลับมาจากบิณทบาตสายใกล้ๆเดินกลับมากัน  ซึ่งก็ดีครับถือเป็นการฝึกขันติไปในตัว    และด้วยแถวผู้มารอใส่บาตรค่อนข้างยาว   บางทีกว่าจะมาถึงเรา บาตรท่านก็เต็มซะแล้ว ต้องรอให้เด็กวัดเอาตะกร้ามาถ่ายบาตรออกไปก่อน ถึงจะใส่ต่อได้   แต่พระบางรูปท่านก็เมตตาครับ พอเห็นโยมมายืนรอใส่บาตรกันเยอะ ท่านเดินเข้าวัดไปถ่ายบาตรออกเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมารับบิณทบาตโยมหน้าวัดอีกรอบ

หลังจากใส่บาตรเสร็จแล้ว  ผมกับแฟนก็เตรียมตัวถวายภัตตาหารและรับพรจากพระพร้อมกันที่ศาลาการเปรียญเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปรับประทานอาหารเช้ากัน   ก็เลยไปเอาถาดใส่อาหารที่โรงครัวแล้วไปต่อแถวรอตักอาหารกันตามลำดับฐานะ (ณ จุดนี้..เริ่มรู้ธรรมเนียมแล้วครับ ^^")   ระหว่างเดินแถวตักอาหาร ก็มีพี่ผู้ชายคนนึงเค้าว่าวอีสานประมาณว่า อย่าตักเยอะนะ  ถ้ากินเหลือแล้วมันจะบาป  ...น่านน เห็นมั้ยครับ คนที่นี่เค้าดีขนาดไหน มีกัลญาณมิตรคอยตักเตือนกันด้วย

หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็ไปช่วยทำความสะอาดวัดซักครู่   แล้วก็ขึ้นไปนั่งสมาธิรอที่ศาลาการเปรียญ  เพราะอีกเดี๋ยวก็จะมีเทศน์รอบเช้าที่ศาลา  คราวนี้หลวงพ่อชื่ออะไรไม่รู้จำไม่ได้  (^^" ใครพอจะรู้ รบกวนช่วยบอกหน่อยครับ แหะๆ)  ท่านเทศน์ได้น่าฟังดีเหมือนกันครับ   ... ทั้งนี้ผมต้องขอชื่นชมเหล่าลูกศิษย์หลวงปู่ชาและชาวอุบลจริงๆครับ  คือ เวลาที่มีครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะท่านใดก็ตามมาเทศน์ให้ฟัง  ทุกคนจะนั่งตั้งใจฟังกันอย่างเงียบกริบ   คือ เงียบจริงๆครับ ไม่มีเสียงพูดคุยดังเล็ดลอดมาเลย  ได้ยินแต่เสียงเทศน์เพียวๆ  หากไม่หันไปมองรอบตัวจะไม่รู้เลยว่า นอกจากเราแล้ว มีคนมานั่งรวมกันอยู่ที่นี่ตั้งพันกว่าคน    ...นี่แหละครับ ผมว่าเป็นการเคารพในพระธรรมโดยแท้จริง
ส่วนครูบาอาจารย์ที่ขึ้นมาเทศน์แต่ละท่านนั้นก็สุดยอดจริงๆครับ   นอกเหนือจากธรรมะทรงคุณค่าที่ท่านได้มาถ่ายทอดให้เราฟังแล้วนั้น  ปฏิปทาของแต่ละท่านก็น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง  ไม่ต้องดูที่ไหนไกลหรอกครับ  แค่ตอนท่านเดินมาขึ้นธรรมาสและนั่งเทศน์ให้เราฟังก็พอแล้ว   ..ท่านจะเดินอย่างสำรวมเข้ามา ก้าวขึ้นบันไดเล็กๆไปบนธรรมาส (บันไดนี้ต้องมีโยมคอยจับไว้ให้)   ซึ่งผมดูๆแล้ว ก็ไม่ใช่ง่ายนะครับ  บนธรรมาสก็มีพื้นที่ไม่มาก  ครูบาอาจารย์ท่านก็ต้องคลานเข่าขึ้นไป  แล้วต้องหมุนกลับตัวมาในท่านั่งขัดสมาธิ ไหนจะต้องประคองผ้าจีวร และสังฆาฎิเอาไว้ไม่ให้หลุด (ใครเคยบวชเป็นพระ จะทราบว่าการ ห่มคลุมจีวรโดยมีสังฆาฏิพาดบ่า แล้วคลานเข่าไปด้วย ยิ่งในพื้นที่แคบๆแบบนั้น ไม่ใช่ง่ายเลย) ไหนจะต้องระวังไม่ให้ไปโดน พวกถาดใส่แก้วน้ำ ป้านชาที่วางอยู่บนนั้นอีก   และพอนั่งได้แล้ว ก็ต้องอยู่ท่านั้นไปตลอดหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น จนกว่าจะเทศน์จบ  แล้วจึงค่อยๆคลานกลับลงจากธรรมาสอย่างสงบเสงี่ยม   ....ผมเห็นบางรูปแม้จะแก่แค่ไหน  ท่านก็ยังปฏิบัติได้อย่างเรียบร้อยงดงาม ..น่าเลื่อมใส

พอฟังเทศน์เสร็จแล้ว ก็เป็นเวลา'พักผ่อนตามอัธยาศัย '  ซึ่งผมก็ไปกวาดลานวัด และไปเดินหาซื้อของฝากที่บริเวณตลาดนอกวัด   แล้วก็ไปแวะกินอะไรนิดหน่อยบริเวณโรงทาน ก่อนจะไปเข้าร่วมพิธีสำคัญในภาคบ่ายต่อไป
พิธีที่ว่านั่นก็คือ  พิธีถวายสักการะหลวงปู่ชา ไงครับ  ...ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของงานอาจริยบูชานี้ตลอด 5 วันมานี้  (แต่ผมอยู่แค่สองวัน)    สำคัญขนาดที่ว่าทางกองอำนวยการของวัดต้องประกาศให้งดกิจกรรมโรงทานชั่วคราว เพื่อให้ผู้คนได้มาร่วมในพิธีนี้กันอย่างเต็มที่  
พอใกล้ถึงเวลาเริ่มพิธี  ผู้คนก็ทยอยกันมารอบริเวณรอบๆศาลากันอย่างเนืองแน่น  ทุกคนได้รับแจกดอกไม้ธูปเทียนสำหรับถวายสักการะกันคนละชุด   พระที่เป็นพิธีกรประกาศให้ทุกคนไปนั่งรอตามสองข้างฝั่งถนน  เพราะอีกเดี๋ยว ขบวนของครูบาอาจารย์ตามด้วยบรรดาพระสงฆ์และแม่ชีทั้งหลายจะเดินผ่าน   ผมก็ถอยตามกระแสฝูงชนเข้าไปรออยู่บริเวณข้างทาง อันเป็นบริเวณหน้าเต๊นของใครไม่รู้   แล้วก็คุกเข่ารออยู่ตรงนั้นเพื่อรอให้ขบวนผ่าน    คุณยายที่อยู่บริเวณเต๊นนั้นคงเห็นผม นั่งคุกเข่ารออยู่นาน ก็เลยบอกให้นั่งบนเสื่อได้เลยไม่เป็นไร  ผมก็เลยไหว้ขอบคุณคุณยายท่านไป    

หลังจากรอกันอยู่ซักพักใหญ่  ในที่สุดขบวนก็มาถึง  นำโดยหลวงปู่เลี่ยม และบรรดาพระเถระทั้งหลาย  ญาติโยมทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นไหว้อย่างพร้อมเพรียง รอให้ขบวนพระ เณร และชี เดินผ่านไป  แล้วเหล่าอุบาสกทั้งหลาย ก็ค่อยๆทะยอยกันเข้าร่วมเดินในขบวน   ผมเองก็ขอแจมด้วยคน

ขบวนสักการะนั้น  พอเดินไปที่ใดก็จะมีคนมายืนรอขอเข้าร่วมตลอดทาง   ผ่านแยกไหน  ก็จะมีผู้คนมาตั้งขบวนขอเข้าแทรกด้วย   ขบวนสักการะจึงค่อยๆขยายขบวนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ   และถึงแม้ว่าจะมีผู้คนเดินกันแยะมากมาย  แดดตอนกลางวันนั้นก็เปรี้ยงๆ   แต่ผู้คนที่เข้ามาร่วมต่างก็ล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มด้วยกันทั้งนั้น  ขนาดผู้เฒ่าผู้แก่ที่หลังโกง เดินกะย่องกะแย่ง  ยังให้ลูกหลานจูงพากันมาเข้าร่วมเดินด้วย    ..เดินๆไป ระหว่างทางก็จะมีกลุ่มเด็กนักเรียน มาคอยยื่นสำลีชุบพิมเสนให้ป็นระยะๆ   เผื่อว่าคุณยายคุณตาทั้งหลายจะเกิดเหนื่อยล้าหน้ามืดขึ้นมา   ผมมองแล้วเป็นภาพที่น่ารักมากครับ .. เค้าดูแลกันดีจริงๆ    

เราเดินตามขบวนกันไปซักพัก  ก็เข้าสู่ทางเลี้ยวที่เข้าไปสู่ โพธิญาณเจดีย์   .... ตอนนี้  กลุ่มพระสงฆ์กำลังค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปสู่องค์เจดีย์   ส่วนบริเวณด้านล่าง  ผู้คนในชุดขาวซึ่งมือถือดอกไม้คนละกำ  กำลังค่อยๆเดินอย่างสำรวม  มุ่งหน้าไปยังเจดีย์สีทองอร่ามตรงหน้า  .... ภาพนี้เป็นภาพที่ผมเหมือนเคยเห็นมาก่อนในรูปจากอินเตอร์เน็ต หรือโปสเตอร์ทั่วไป   แต่ครั้นเมื่อได้มาเห็นจากสองตาของผมเองที่เบื้องหน้า  ผมรู้สึกปีติ ขนลุกวาบขึ้นมาทันที  ...รู้สึกเหมือนได้สัมผัสกระแสความเมตตาของหลวงปู่ท่านได้แผ่ครอบคลุมไปทั่วทุกสารทิศ  ... ผู้คนที่มาเดินอยู่รอบข้างผมนี้  มาจากทั้งใกล้ทั้งไกล  บางคนบินตรงมาจากต่างประเทศ เพื่อที่จะมาเข้าร่วมพิธีนี้โดยเฉพาะ   เหตุที่ทุกผู้คนทั้งหลายต่างถิ่น ต่างที่มา ต่างได้มาร่วมกันเดินอยู่ ณ ที่แห่งนี้   ....จะเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า หากไม่ใช่เพราะบารมีอันสุดพ้นประมาณของพระเดชพระคุณหลวงปู่ชาท่าน    บารมีอันประหนึ่งร่มโพธิ์ใหญ่ที่ได้แผ่ร่มเงา แตกกิ่งก้านสาขาปกคลุมลูกศิษย์ลูกหา อีกทั้งผู้ที่ได้ศึกษาคำสอนของท่าน ให้ได้พักพิงอาศัยอย่างสงบร่มเย็น      

ขบวนค่อยๆเดินต่อไป  พระสงฆ์แยกขึ้นไปบนเจดีย์  ส่วนญาติโยมที่อยู่บริเวณฐาน พวกที่มาถึงก่อนก็เริ่มจัดตั้งแถวให้พวกที่เพิ่งมาถึงได้ต่อๆกันไปจนรอบฐานเจดีย์  พระพิธีกรก็ได้กล่าวคำปฏิญาณ อันมีความหมายประมาณว่า ให้พวกเราเหล่าลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านพร้อมใจกันปฏิบัติบูชาเพื่อตอบแทนพระคุณของท่าน  แล้วจากนั้นพวกเราทุกคนก็ค่อยๆทะยอยกันเอาดอกไม้ไปวาง เพื่อแสดงความสักการะต่อหลวงปู่ท่าน  เสร็จแล้วก็ค่อยแยกย้ายกันไปอย่างเป็นระเบียบ

เสร็จแล้วครับ  ...พิธีที่แสนจะเรียบง่าย  ทว่าคงจะสร้างความตราตรึงใจให้กับทุกคนที่เข้าร่วมพิธี   แม้คนจะเยอะ และแดดจะร้อน  แต่ทุกคนก็มาด้วยใจจริงๆครับ   พิธีเลยดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยแทบจะไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลจัดการเลยครับ
ผมกับแฟนกลับไปเจอกันที่เต๊น  แล้วก็เริ่มช่วยกันเก็บเต๊นแพคของกันคนละไม้ละมือ  เพราะตอนนี้ก็เย็นแล้ว  เดี๋ยวจะไปขึ้นเครื่องกลับไม่ทัน (ขากลับ เรากลับเครื่องบินกันครับ)   ขณะกำลังจะไปเข้าห้องน้ำนั้น ผมก็บังเอิญไปเจอกับ 'ทิดจ๊อด'  อดีตครูบา'ศิษย์พี่'ผมที่เคยเจอกันตอนบวช เลยทักทายกันแป๊บนึง ผมถามหาว่ามานี่เจอหลวงพ่อจันดีบ้างมั้ย (พระอาจารย์ของผมตอนที่บวชอะครับ) แกก็บอกน่าจะอยู่ที่ศาลาหลังเก่า  .. แล้วเค้าก็ขอตัวไป

ผมเข้าห้องน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางกลับ (ของพะรุงพะรังกันเลยทีเดียว - -") แต่ก่อนอื่น ขอไปกราบหลวงพ่อจันดีก่อน  เลยไปที่ศาลาเก่า  พอเข้าไป เห็นท่านกำลังสนทนาปราศรัยอยู่กับบรรดาลูกศิษย์หลายคน  ผมก็เลยไม่เข้าไปคุยดีกว่า  ขอกราบท่านอยู่ห่างๆแล้วก็จากมา
เราค่อยๆหอบข้าวของเดินออกมาจากวัด  ตอนนั้นก็คงราวๆ 6 โมงเห็นจะได้  รถกำลังเยอะได้ที่เลยทีเดียว  แอบกังวลนิดนึงว่าจะไปขึ้นเครื่องทันรึเปล่า (จำได้ว่าเครื่องออกทุ่มนึง) เราก็เลยรีบหาแท็กซี่กันอบ่างพัลวัน (โทรไปหาลุงที่มาส่งตอนขามา เค้าบอกยังอยู่อีกไกล)   แต่แล้วด้วยความโชคดีหรือบุญกุศลนำพาก็ตามที  ในที่สุดเราก็เจอแท็กซี่ว่าง  และไปถึงสนามบินอุบลโดยสวัสดิภาพ  (  มารู้อีกทีที่สนามบินว่าจำเวลาผิด   จริงๆเครื่องออกสองทุ่ม ...= =")

บทส่งท้าย  ...  
เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดาในสายตาของหลายๆท่าน   ....แต่สำหรับผมแล้ว นี่ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของผมทีเดียวครับ     แม้ผมจะไม่เคยไปวัดหนองป่าพงเลย  แต่น่าแปลกที่การไปครั้งแรกของผม กลับสร้างความรู้สึกคุ้นเคยกับที่นั่น.....เหมือนกับว่าเป็นบ้าน..อีกหลังของผม หรืออาจเป็นเพราะว่า นี่คือสถานที่ที่ครูบาอาจารย์ของผมเคยอยู่มาก่อน  .... ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะกลับมาที่นี่อีก  ผมกับแฟนยังคุยกันอยู่เลยว่า  ถ้ามีเวลา เราอยากจะมาอยู่ปฏิบัติกันให้ครบตั้งแต่วัน   ...    เพราะผมรู้สึกว่าสองวันที่ผมมาอยู่นี่ อาจจะน้อยเกินไป  ก่อนจะกลับผมยังแอบลังเลอยู่เลยว่าอยากอยู่ต่ออีกวัน  จะได้ร่วมฟังเทศน์ตลอดคืน....  แต่คราวนี้คงไม่ได้จริงๆ เพราะต้องรีบกลับไปเตรียมตัวบินกลับไปทำงานที่ออสเตรเลีย

และสุดท้ายนี้ ผมรู้สึกชื่นชมพี่น้องชาวอุบล  พวกท่านเป็นเจ้าบ้านที่น่ารักมาก  มีน้ำใจและเป็นกันเองกับแขกอย่างพวกเรา   แม้เรื่องภาษา ผมอาจจะฟังไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมด (ถ้าเป็นระดับแอดวานซ์มากๆ) แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงไมตรีของพวกท่านที่กลั่นออกมาจากใจ  จนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอยากกลับไปที่นั่นอีก

ขอบคุณหลายเด้อ ^^"  
ซงย้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่