ตอนแรกครับ >>>
http://ppantip.com/topic/30091138
ตอนที่ 2 >>>
http://ppantip.com/topic/30133118
รุ่งเช้า หลังจากพระเริ่มทยอยออกบิณทบาตกันเกือบหมดแล้ว ผมกับแฟนก็เตรียมตัวออกไปใส่บาตร จัดการล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนชุด แล้วเดินออกไปนอกวัด เพื่อไปหาซื้อข้าวปลาอาหารมาใส่บาตรกัน ...ซึ่งก็ไม่ได้หายากอะไรเลยครับ ที่หน้าวัดก็จะมีแม่ค้าพ่อค้ามาตั้งแผงขายอาหารกัน แต่ที่นี่จะแตกต่างจากที่แถวบ้านผมนิดหน่อยครับ ตรงที่แถวบ้านผมเค้าจะจัดเป็นเซตไว้ให้เลย แต่ที่นี่เราเลือกเอาเองเลยครับว่าจะเอากับอะไร เอาปลากี่ตัว เอาไข่กี่ลูก แล้วเค้าจะมีถาดมาให้เราใส่ พอเลือกเสร็จแล้วก็เอาไปให้เค้าคิดตัง ซึ่งก็ถือว่าไม่แพงเลยครับ
ซื้อของเสร็จก็ได้เวลารอใส่บาตร เราอาจจะออกมาสายไปหน่อย เพราะพระก็เริ่มจะทยอยกลับวัดกันแล้ว ญาติโยมที่มารอใส่บาตรก็มายืนรอเป็นแถวอยู่ตามสองข้างถนน แต่เนื่องจากพระที่ไปบิณทบาตบางสายท่านขึ้นรถโยม เพื่อไปเดินบิณทบาตที่ไกลๆ ขากลับก็กลับรถโยม ก็เลยไม่ได้เดินผ่านหน้าวัด เลยต้องรอให้พระที่กลับมาจากบิณทบาตสายใกล้ๆเดินกลับมากัน ซึ่งก็ดีครับถือเป็นการฝึกขันติไปในตัว และด้วยแถวผู้มารอใส่บาตรค่อนข้างยาว บางทีกว่าจะมาถึงเรา บาตรท่านก็เต็มซะแล้ว ต้องรอให้เด็กวัดเอาตะกร้ามาถ่ายบาตรออกไปก่อน ถึงจะใส่ต่อได้ แต่พระบางรูปท่านก็เมตตาครับ พอเห็นโยมมายืนรอใส่บาตรกันเยอะ ท่านเดินเข้าวัดไปถ่ายบาตรออกเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมารับบิณทบาตโยมหน้าวัดอีกรอบ
หลังจากใส่บาตรเสร็จแล้ว ผมกับแฟนก็เตรียมตัวถวายภัตตาหารและรับพรจากพระพร้อมกันที่ศาลาการเปรียญเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปรับประทานอาหารเช้ากัน ก็เลยไปเอาถาดใส่อาหารที่โรงครัวแล้วไปต่อแถวรอตักอาหารกันตามลำดับฐานะ (ณ จุดนี้..เริ่มรู้ธรรมเนียมแล้วครับ ^^") ระหว่างเดินแถวตักอาหาร ก็มีพี่ผู้ชายคนนึงเค้าว่าวอีสานประมาณว่า อย่าตักเยอะนะ ถ้ากินเหลือแล้วมันจะบาป ...น่านน เห็นมั้ยครับ คนที่นี่เค้าดีขนาดไหน มีกัลญาณมิตรคอยตักเตือนกันด้วย
หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็ไปช่วยทำความสะอาดวัดซักครู่ แล้วก็ขึ้นไปนั่งสมาธิรอที่ศาลาการเปรียญ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะมีเทศน์รอบเช้าที่ศาลา คราวนี้หลวงพ่อชื่ออะไรไม่รู้จำไม่ได้ (^^" ใครพอจะรู้ รบกวนช่วยบอกหน่อยครับ แหะๆ) ท่านเทศน์ได้น่าฟังดีเหมือนกันครับ ... ทั้งนี้ผมต้องขอชื่นชมเหล่าลูกศิษย์หลวงปู่ชาและชาวอุบลจริงๆครับ คือ เวลาที่มีครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะท่านใดก็ตามมาเทศน์ให้ฟัง ทุกคนจะนั่งตั้งใจฟังกันอย่างเงียบกริบ คือ เงียบจริงๆครับ ไม่มีเสียงพูดคุยดังเล็ดลอดมาเลย ได้ยินแต่เสียงเทศน์เพียวๆ หากไม่หันไปมองรอบตัวจะไม่รู้เลยว่า นอกจากเราแล้ว มีคนมานั่งรวมกันอยู่ที่นี่ตั้งพันกว่าคน ...นี่แหละครับ ผมว่าเป็นการเคารพในพระธรรมโดยแท้จริง
ส่วนครูบาอาจารย์ที่ขึ้นมาเทศน์แต่ละท่านนั้นก็สุดยอดจริงๆครับ นอกเหนือจากธรรมะทรงคุณค่าที่ท่านได้มาถ่ายทอดให้เราฟังแล้วนั้น ปฏิปทาของแต่ละท่านก็น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องดูที่ไหนไกลหรอกครับ แค่ตอนท่านเดินมาขึ้นธรรมาสและนั่งเทศน์ให้เราฟังก็พอแล้ว ..ท่านจะเดินอย่างสำรวมเข้ามา ก้าวขึ้นบันไดเล็กๆไปบนธรรมาส (บันไดนี้ต้องมีโยมคอยจับไว้ให้) ซึ่งผมดูๆแล้ว ก็ไม่ใช่ง่ายนะครับ บนธรรมาสก็มีพื้นที่ไม่มาก ครูบาอาจารย์ท่านก็ต้องคลานเข่าขึ้นไป แล้วต้องหมุนกลับตัวมาในท่านั่งขัดสมาธิ ไหนจะต้องประคองผ้าจีวร และสังฆาฎิเอาไว้ไม่ให้หลุด (ใครเคยบวชเป็นพระ จะทราบว่าการ ห่มคลุมจีวรโดยมีสังฆาฏิพาดบ่า แล้วคลานเข่าไปด้วย ยิ่งในพื้นที่แคบๆแบบนั้น ไม่ใช่ง่ายเลย) ไหนจะต้องระวังไม่ให้ไปโดน พวกถาดใส่แก้วน้ำ ป้านชาที่วางอยู่บนนั้นอีก และพอนั่งได้แล้ว ก็ต้องอยู่ท่านั้นไปตลอดหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น จนกว่าจะเทศน์จบ แล้วจึงค่อยๆคลานกลับลงจากธรรมาสอย่างสงบเสงี่ยม ....ผมเห็นบางรูปแม้จะแก่แค่ไหน ท่านก็ยังปฏิบัติได้อย่างเรียบร้อยงดงาม ..น่าเลื่อมใส
พอฟังเทศน์เสร็จแล้ว ก็เป็นเวลา'พักผ่อนตามอัธยาศัย ' ซึ่งผมก็ไปกวาดลานวัด และไปเดินหาซื้อของฝากที่บริเวณตลาดนอกวัด แล้วก็ไปแวะกินอะไรนิดหน่อยบริเวณโรงทาน ก่อนจะไปเข้าร่วมพิธีสำคัญในภาคบ่ายต่อไป
พิธีที่ว่านั่นก็คือ พิธีถวายสักการะหลวงปู่ชา ไงครับ ...ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของงานอาจริยบูชานี้ตลอด 5 วันมานี้ (แต่ผมอยู่แค่สองวัน) สำคัญขนาดที่ว่าทางกองอำนวยการของวัดต้องประกาศให้งดกิจกรรมโรงทานชั่วคราว เพื่อให้ผู้คนได้มาร่วมในพิธีนี้กันอย่างเต็มที่
พอใกล้ถึงเวลาเริ่มพิธี ผู้คนก็ทยอยกันมารอบริเวณรอบๆศาลากันอย่างเนืองแน่น ทุกคนได้รับแจกดอกไม้ธูปเทียนสำหรับถวายสักการะกันคนละชุด พระที่เป็นพิธีกรประกาศให้ทุกคนไปนั่งรอตามสองข้างฝั่งถนน เพราะอีกเดี๋ยว ขบวนของครูบาอาจารย์ตามด้วยบรรดาพระสงฆ์และแม่ชีทั้งหลายจะเดินผ่าน ผมก็ถอยตามกระแสฝูงชนเข้าไปรออยู่บริเวณข้างทาง อันเป็นบริเวณหน้าเต๊นของใครไม่รู้ แล้วก็คุกเข่ารออยู่ตรงนั้นเพื่อรอให้ขบวนผ่าน คุณยายที่อยู่บริเวณเต๊นนั้นคงเห็นผม นั่งคุกเข่ารออยู่นาน ก็เลยบอกให้นั่งบนเสื่อได้เลยไม่เป็นไร ผมก็เลยไหว้ขอบคุณคุณยายท่านไป
หลังจากรอกันอยู่ซักพักใหญ่ ในที่สุดขบวนก็มาถึง นำโดยหลวงปู่เลี่ยม และบรรดาพระเถระทั้งหลาย ญาติโยมทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นไหว้อย่างพร้อมเพรียง รอให้ขบวนพระ เณร และชี เดินผ่านไป แล้วเหล่าอุบาสกทั้งหลาย ก็ค่อยๆทะยอยกันเข้าร่วมเดินในขบวน ผมเองก็ขอแจมด้วยคน
ขบวนสักการะนั้น พอเดินไปที่ใดก็จะมีคนมายืนรอขอเข้าร่วมตลอดทาง ผ่านแยกไหน ก็จะมีผู้คนมาตั้งขบวนขอเข้าแทรกด้วย ขบวนสักการะจึงค่อยๆขยายขบวนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้ว่าจะมีผู้คนเดินกันแยะมากมาย แดดตอนกลางวันนั้นก็เปรี้ยงๆ แต่ผู้คนที่เข้ามาร่วมต่างก็ล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มด้วยกันทั้งนั้น ขนาดผู้เฒ่าผู้แก่ที่หลังโกง เดินกะย่องกะแย่ง ยังให้ลูกหลานจูงพากันมาเข้าร่วมเดินด้วย ..เดินๆไป ระหว่างทางก็จะมีกลุ่มเด็กนักเรียน มาคอยยื่นสำลีชุบพิมเสนให้ป็นระยะๆ เผื่อว่าคุณยายคุณตาทั้งหลายจะเกิดเหนื่อยล้าหน้ามืดขึ้นมา ผมมองแล้วเป็นภาพที่น่ารักมากครับ .. เค้าดูแลกันดีจริงๆ
เราเดินตามขบวนกันไปซักพัก ก็เข้าสู่ทางเลี้ยวที่เข้าไปสู่ โพธิญาณเจดีย์ .... ตอนนี้ กลุ่มพระสงฆ์กำลังค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปสู่องค์เจดีย์ ส่วนบริเวณด้านล่าง ผู้คนในชุดขาวซึ่งมือถือดอกไม้คนละกำ กำลังค่อยๆเดินอย่างสำรวม มุ่งหน้าไปยังเจดีย์สีทองอร่ามตรงหน้า .... ภาพนี้เป็นภาพที่ผมเหมือนเคยเห็นมาก่อนในรูปจากอินเตอร์เน็ต หรือโปสเตอร์ทั่วไป แต่ครั้นเมื่อได้มาเห็นจากสองตาของผมเองที่เบื้องหน้า ผมรู้สึกปีติ ขนลุกวาบขึ้นมาทันที ...รู้สึกเหมือนได้สัมผัสกระแสความเมตตาของหลวงปู่ท่านได้แผ่ครอบคลุมไปทั่วทุกสารทิศ ... ผู้คนที่มาเดินอยู่รอบข้างผมนี้ มาจากทั้งใกล้ทั้งไกล บางคนบินตรงมาจากต่างประเทศ เพื่อที่จะมาเข้าร่วมพิธีนี้โดยเฉพาะ เหตุที่ทุกผู้คนทั้งหลายต่างถิ่น ต่างที่มา ต่างได้มาร่วมกันเดินอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ....จะเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า หากไม่ใช่เพราะบารมีอันสุดพ้นประมาณของพระเดชพระคุณหลวงปู่ชาท่าน บารมีอันประหนึ่งร่มโพธิ์ใหญ่ที่ได้แผ่ร่มเงา แตกกิ่งก้านสาขาปกคลุมลูกศิษย์ลูกหา อีกทั้งผู้ที่ได้ศึกษาคำสอนของท่าน ให้ได้พักพิงอาศัยอย่างสงบร่มเย็น
ขบวนค่อยๆเดินต่อไป พระสงฆ์แยกขึ้นไปบนเจดีย์ ส่วนญาติโยมที่อยู่บริเวณฐาน พวกที่มาถึงก่อนก็เริ่มจัดตั้งแถวให้พวกที่เพิ่งมาถึงได้ต่อๆกันไปจนรอบฐานเจดีย์ พระพิธีกรก็ได้กล่าวคำปฏิญาณ อันมีความหมายประมาณว่า ให้พวกเราเหล่าลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านพร้อมใจกันปฏิบัติบูชาเพื่อตอบแทนพระคุณของท่าน แล้วจากนั้นพวกเราทุกคนก็ค่อยๆทะยอยกันเอาดอกไม้ไปวาง เพื่อแสดงความสักการะต่อหลวงปู่ท่าน เสร็จแล้วก็ค่อยแยกย้ายกันไปอย่างเป็นระเบียบ
เสร็จแล้วครับ ...พิธีที่แสนจะเรียบง่าย ทว่าคงจะสร้างความตราตรึงใจให้กับทุกคนที่เข้าร่วมพิธี แม้คนจะเยอะ และแดดจะร้อน แต่ทุกคนก็มาด้วยใจจริงๆครับ พิธีเลยดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยแทบจะไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลจัดการเลยครับ
ผมกับแฟนกลับไปเจอกันที่เต๊น แล้วก็เริ่มช่วยกันเก็บเต๊นแพคของกันคนละไม้ละมือ เพราะตอนนี้ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวจะไปขึ้นเครื่องกลับไม่ทัน (ขากลับ เรากลับเครื่องบินกันครับ) ขณะกำลังจะไปเข้าห้องน้ำนั้น ผมก็บังเอิญไปเจอกับ 'ทิดจ๊อด' อดีตครูบา'ศิษย์พี่'ผมที่เคยเจอกันตอนบวช เลยทักทายกันแป๊บนึง ผมถามหาว่ามานี่เจอหลวงพ่อจันดีบ้างมั้ย (พระอาจารย์ของผมตอนที่บวชอะครับ) แกก็บอกน่าจะอยู่ที่ศาลาหลังเก่า .. แล้วเค้าก็ขอตัวไป
ผมเข้าห้องน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางกลับ (ของพะรุงพะรังกันเลยทีเดียว - -") แต่ก่อนอื่น ขอไปกราบหลวงพ่อจันดีก่อน เลยไปที่ศาลาเก่า พอเข้าไป เห็นท่านกำลังสนทนาปราศรัยอยู่กับบรรดาลูกศิษย์หลายคน ผมก็เลยไม่เข้าไปคุยดีกว่า ขอกราบท่านอยู่ห่างๆแล้วก็จากมา
เราค่อยๆหอบข้าวของเดินออกมาจากวัด ตอนนั้นก็คงราวๆ 6 โมงเห็นจะได้ รถกำลังเยอะได้ที่เลยทีเดียว แอบกังวลนิดนึงว่าจะไปขึ้นเครื่องทันรึเปล่า (จำได้ว่าเครื่องออกทุ่มนึง) เราก็เลยรีบหาแท็กซี่กันอบ่างพัลวัน (โทรไปหาลุงที่มาส่งตอนขามา เค้าบอกยังอยู่อีกไกล) แต่แล้วด้วยความโชคดีหรือบุญกุศลนำพาก็ตามที ในที่สุดเราก็เจอแท็กซี่ว่าง และไปถึงสนามบินอุบลโดยสวัสดิภาพ ( มารู้อีกทีที่สนามบินว่าจำเวลาผิด จริงๆเครื่องออกสองทุ่ม ...= =")
บทส่งท้าย ...
เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดาในสายตาของหลายๆท่าน ....แต่สำหรับผมแล้ว นี่ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของผมทีเดียวครับ แม้ผมจะไม่เคยไปวัดหนองป่าพงเลย แต่น่าแปลกที่การไปครั้งแรกของผม กลับสร้างความรู้สึกคุ้นเคยกับที่นั่น.....เหมือนกับว่าเป็นบ้าน..อีกหลังของผม หรืออาจเป็นเพราะว่า นี่คือสถานที่ที่ครูบาอาจารย์ของผมเคยอยู่มาก่อน .... ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะกลับมาที่นี่อีก ผมกับแฟนยังคุยกันอยู่เลยว่า ถ้ามีเวลา เราอยากจะมาอยู่ปฏิบัติกันให้ครบตั้งแต่วัน ... เพราะผมรู้สึกว่าสองวันที่ผมมาอยู่นี่ อาจจะน้อยเกินไป ก่อนจะกลับผมยังแอบลังเลอยู่เลยว่าอยากอยู่ต่ออีกวัน จะได้ร่วมฟังเทศน์ตลอดคืน.... แต่คราวนี้คงไม่ได้จริงๆ เพราะต้องรีบกลับไปเตรียมตัวบินกลับไปทำงานที่ออสเตรเลีย
และสุดท้ายนี้ ผมรู้สึกชื่นชมพี่น้องชาวอุบล พวกท่านเป็นเจ้าบ้านที่น่ารักมาก มีน้ำใจและเป็นกันเองกับแขกอย่างพวกเรา แม้เรื่องภาษา ผมอาจจะฟังไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมด (ถ้าเป็นระดับแอดวานซ์มากๆ) แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงไมตรีของพวกท่านที่กลั่นออกมาจากใจ จนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอยากกลับไปที่นั่นอีก
ขอบคุณหลายเด้อ ^^"
ซงย้ง
ผมจะเป็นชาวพุทธที่ดี ตอน ครั้งหนึ่งในชีวิตกับงานอาจริยบูชาหลวงปู่ชา (ตอนจบ)
ตอนที่ 2 >>> http://ppantip.com/topic/30133118
รุ่งเช้า หลังจากพระเริ่มทยอยออกบิณทบาตกันเกือบหมดแล้ว ผมกับแฟนก็เตรียมตัวออกไปใส่บาตร จัดการล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนชุด แล้วเดินออกไปนอกวัด เพื่อไปหาซื้อข้าวปลาอาหารมาใส่บาตรกัน ...ซึ่งก็ไม่ได้หายากอะไรเลยครับ ที่หน้าวัดก็จะมีแม่ค้าพ่อค้ามาตั้งแผงขายอาหารกัน แต่ที่นี่จะแตกต่างจากที่แถวบ้านผมนิดหน่อยครับ ตรงที่แถวบ้านผมเค้าจะจัดเป็นเซตไว้ให้เลย แต่ที่นี่เราเลือกเอาเองเลยครับว่าจะเอากับอะไร เอาปลากี่ตัว เอาไข่กี่ลูก แล้วเค้าจะมีถาดมาให้เราใส่ พอเลือกเสร็จแล้วก็เอาไปให้เค้าคิดตัง ซึ่งก็ถือว่าไม่แพงเลยครับ
ซื้อของเสร็จก็ได้เวลารอใส่บาตร เราอาจจะออกมาสายไปหน่อย เพราะพระก็เริ่มจะทยอยกลับวัดกันแล้ว ญาติโยมที่มารอใส่บาตรก็มายืนรอเป็นแถวอยู่ตามสองข้างถนน แต่เนื่องจากพระที่ไปบิณทบาตบางสายท่านขึ้นรถโยม เพื่อไปเดินบิณทบาตที่ไกลๆ ขากลับก็กลับรถโยม ก็เลยไม่ได้เดินผ่านหน้าวัด เลยต้องรอให้พระที่กลับมาจากบิณทบาตสายใกล้ๆเดินกลับมากัน ซึ่งก็ดีครับถือเป็นการฝึกขันติไปในตัว และด้วยแถวผู้มารอใส่บาตรค่อนข้างยาว บางทีกว่าจะมาถึงเรา บาตรท่านก็เต็มซะแล้ว ต้องรอให้เด็กวัดเอาตะกร้ามาถ่ายบาตรออกไปก่อน ถึงจะใส่ต่อได้ แต่พระบางรูปท่านก็เมตตาครับ พอเห็นโยมมายืนรอใส่บาตรกันเยอะ ท่านเดินเข้าวัดไปถ่ายบาตรออกเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมารับบิณทบาตโยมหน้าวัดอีกรอบ
หลังจากใส่บาตรเสร็จแล้ว ผมกับแฟนก็เตรียมตัวถวายภัตตาหารและรับพรจากพระพร้อมกันที่ศาลาการเปรียญเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปรับประทานอาหารเช้ากัน ก็เลยไปเอาถาดใส่อาหารที่โรงครัวแล้วไปต่อแถวรอตักอาหารกันตามลำดับฐานะ (ณ จุดนี้..เริ่มรู้ธรรมเนียมแล้วครับ ^^") ระหว่างเดินแถวตักอาหาร ก็มีพี่ผู้ชายคนนึงเค้าว่าวอีสานประมาณว่า อย่าตักเยอะนะ ถ้ากินเหลือแล้วมันจะบาป ...น่านน เห็นมั้ยครับ คนที่นี่เค้าดีขนาดไหน มีกัลญาณมิตรคอยตักเตือนกันด้วย
หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็ไปช่วยทำความสะอาดวัดซักครู่ แล้วก็ขึ้นไปนั่งสมาธิรอที่ศาลาการเปรียญ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะมีเทศน์รอบเช้าที่ศาลา คราวนี้หลวงพ่อชื่ออะไรไม่รู้จำไม่ได้ (^^" ใครพอจะรู้ รบกวนช่วยบอกหน่อยครับ แหะๆ) ท่านเทศน์ได้น่าฟังดีเหมือนกันครับ ... ทั้งนี้ผมต้องขอชื่นชมเหล่าลูกศิษย์หลวงปู่ชาและชาวอุบลจริงๆครับ คือ เวลาที่มีครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะท่านใดก็ตามมาเทศน์ให้ฟัง ทุกคนจะนั่งตั้งใจฟังกันอย่างเงียบกริบ คือ เงียบจริงๆครับ ไม่มีเสียงพูดคุยดังเล็ดลอดมาเลย ได้ยินแต่เสียงเทศน์เพียวๆ หากไม่หันไปมองรอบตัวจะไม่รู้เลยว่า นอกจากเราแล้ว มีคนมานั่งรวมกันอยู่ที่นี่ตั้งพันกว่าคน ...นี่แหละครับ ผมว่าเป็นการเคารพในพระธรรมโดยแท้จริง
ส่วนครูบาอาจารย์ที่ขึ้นมาเทศน์แต่ละท่านนั้นก็สุดยอดจริงๆครับ นอกเหนือจากธรรมะทรงคุณค่าที่ท่านได้มาถ่ายทอดให้เราฟังแล้วนั้น ปฏิปทาของแต่ละท่านก็น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องดูที่ไหนไกลหรอกครับ แค่ตอนท่านเดินมาขึ้นธรรมาสและนั่งเทศน์ให้เราฟังก็พอแล้ว ..ท่านจะเดินอย่างสำรวมเข้ามา ก้าวขึ้นบันไดเล็กๆไปบนธรรมาส (บันไดนี้ต้องมีโยมคอยจับไว้ให้) ซึ่งผมดูๆแล้ว ก็ไม่ใช่ง่ายนะครับ บนธรรมาสก็มีพื้นที่ไม่มาก ครูบาอาจารย์ท่านก็ต้องคลานเข่าขึ้นไป แล้วต้องหมุนกลับตัวมาในท่านั่งขัดสมาธิ ไหนจะต้องประคองผ้าจีวร และสังฆาฎิเอาไว้ไม่ให้หลุด (ใครเคยบวชเป็นพระ จะทราบว่าการ ห่มคลุมจีวรโดยมีสังฆาฏิพาดบ่า แล้วคลานเข่าไปด้วย ยิ่งในพื้นที่แคบๆแบบนั้น ไม่ใช่ง่ายเลย) ไหนจะต้องระวังไม่ให้ไปโดน พวกถาดใส่แก้วน้ำ ป้านชาที่วางอยู่บนนั้นอีก และพอนั่งได้แล้ว ก็ต้องอยู่ท่านั้นไปตลอดหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น จนกว่าจะเทศน์จบ แล้วจึงค่อยๆคลานกลับลงจากธรรมาสอย่างสงบเสงี่ยม ....ผมเห็นบางรูปแม้จะแก่แค่ไหน ท่านก็ยังปฏิบัติได้อย่างเรียบร้อยงดงาม ..น่าเลื่อมใส
พอฟังเทศน์เสร็จแล้ว ก็เป็นเวลา'พักผ่อนตามอัธยาศัย ' ซึ่งผมก็ไปกวาดลานวัด และไปเดินหาซื้อของฝากที่บริเวณตลาดนอกวัด แล้วก็ไปแวะกินอะไรนิดหน่อยบริเวณโรงทาน ก่อนจะไปเข้าร่วมพิธีสำคัญในภาคบ่ายต่อไป
พิธีที่ว่านั่นก็คือ พิธีถวายสักการะหลวงปู่ชา ไงครับ ...ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของงานอาจริยบูชานี้ตลอด 5 วันมานี้ (แต่ผมอยู่แค่สองวัน) สำคัญขนาดที่ว่าทางกองอำนวยการของวัดต้องประกาศให้งดกิจกรรมโรงทานชั่วคราว เพื่อให้ผู้คนได้มาร่วมในพิธีนี้กันอย่างเต็มที่
พอใกล้ถึงเวลาเริ่มพิธี ผู้คนก็ทยอยกันมารอบริเวณรอบๆศาลากันอย่างเนืองแน่น ทุกคนได้รับแจกดอกไม้ธูปเทียนสำหรับถวายสักการะกันคนละชุด พระที่เป็นพิธีกรประกาศให้ทุกคนไปนั่งรอตามสองข้างฝั่งถนน เพราะอีกเดี๋ยว ขบวนของครูบาอาจารย์ตามด้วยบรรดาพระสงฆ์และแม่ชีทั้งหลายจะเดินผ่าน ผมก็ถอยตามกระแสฝูงชนเข้าไปรออยู่บริเวณข้างทาง อันเป็นบริเวณหน้าเต๊นของใครไม่รู้ แล้วก็คุกเข่ารออยู่ตรงนั้นเพื่อรอให้ขบวนผ่าน คุณยายที่อยู่บริเวณเต๊นนั้นคงเห็นผม นั่งคุกเข่ารออยู่นาน ก็เลยบอกให้นั่งบนเสื่อได้เลยไม่เป็นไร ผมก็เลยไหว้ขอบคุณคุณยายท่านไป
หลังจากรอกันอยู่ซักพักใหญ่ ในที่สุดขบวนก็มาถึง นำโดยหลวงปู่เลี่ยม และบรรดาพระเถระทั้งหลาย ญาติโยมทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นไหว้อย่างพร้อมเพรียง รอให้ขบวนพระ เณร และชี เดินผ่านไป แล้วเหล่าอุบาสกทั้งหลาย ก็ค่อยๆทะยอยกันเข้าร่วมเดินในขบวน ผมเองก็ขอแจมด้วยคน
ขบวนสักการะนั้น พอเดินไปที่ใดก็จะมีคนมายืนรอขอเข้าร่วมตลอดทาง ผ่านแยกไหน ก็จะมีผู้คนมาตั้งขบวนขอเข้าแทรกด้วย ขบวนสักการะจึงค่อยๆขยายขบวนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้ว่าจะมีผู้คนเดินกันแยะมากมาย แดดตอนกลางวันนั้นก็เปรี้ยงๆ แต่ผู้คนที่เข้ามาร่วมต่างก็ล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มด้วยกันทั้งนั้น ขนาดผู้เฒ่าผู้แก่ที่หลังโกง เดินกะย่องกะแย่ง ยังให้ลูกหลานจูงพากันมาเข้าร่วมเดินด้วย ..เดินๆไป ระหว่างทางก็จะมีกลุ่มเด็กนักเรียน มาคอยยื่นสำลีชุบพิมเสนให้ป็นระยะๆ เผื่อว่าคุณยายคุณตาทั้งหลายจะเกิดเหนื่อยล้าหน้ามืดขึ้นมา ผมมองแล้วเป็นภาพที่น่ารักมากครับ .. เค้าดูแลกันดีจริงๆ
เราเดินตามขบวนกันไปซักพัก ก็เข้าสู่ทางเลี้ยวที่เข้าไปสู่ โพธิญาณเจดีย์ .... ตอนนี้ กลุ่มพระสงฆ์กำลังค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปสู่องค์เจดีย์ ส่วนบริเวณด้านล่าง ผู้คนในชุดขาวซึ่งมือถือดอกไม้คนละกำ กำลังค่อยๆเดินอย่างสำรวม มุ่งหน้าไปยังเจดีย์สีทองอร่ามตรงหน้า .... ภาพนี้เป็นภาพที่ผมเหมือนเคยเห็นมาก่อนในรูปจากอินเตอร์เน็ต หรือโปสเตอร์ทั่วไป แต่ครั้นเมื่อได้มาเห็นจากสองตาของผมเองที่เบื้องหน้า ผมรู้สึกปีติ ขนลุกวาบขึ้นมาทันที ...รู้สึกเหมือนได้สัมผัสกระแสความเมตตาของหลวงปู่ท่านได้แผ่ครอบคลุมไปทั่วทุกสารทิศ ... ผู้คนที่มาเดินอยู่รอบข้างผมนี้ มาจากทั้งใกล้ทั้งไกล บางคนบินตรงมาจากต่างประเทศ เพื่อที่จะมาเข้าร่วมพิธีนี้โดยเฉพาะ เหตุที่ทุกผู้คนทั้งหลายต่างถิ่น ต่างที่มา ต่างได้มาร่วมกันเดินอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ....จะเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า หากไม่ใช่เพราะบารมีอันสุดพ้นประมาณของพระเดชพระคุณหลวงปู่ชาท่าน บารมีอันประหนึ่งร่มโพธิ์ใหญ่ที่ได้แผ่ร่มเงา แตกกิ่งก้านสาขาปกคลุมลูกศิษย์ลูกหา อีกทั้งผู้ที่ได้ศึกษาคำสอนของท่าน ให้ได้พักพิงอาศัยอย่างสงบร่มเย็น
ขบวนค่อยๆเดินต่อไป พระสงฆ์แยกขึ้นไปบนเจดีย์ ส่วนญาติโยมที่อยู่บริเวณฐาน พวกที่มาถึงก่อนก็เริ่มจัดตั้งแถวให้พวกที่เพิ่งมาถึงได้ต่อๆกันไปจนรอบฐานเจดีย์ พระพิธีกรก็ได้กล่าวคำปฏิญาณ อันมีความหมายประมาณว่า ให้พวกเราเหล่าลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านพร้อมใจกันปฏิบัติบูชาเพื่อตอบแทนพระคุณของท่าน แล้วจากนั้นพวกเราทุกคนก็ค่อยๆทะยอยกันเอาดอกไม้ไปวาง เพื่อแสดงความสักการะต่อหลวงปู่ท่าน เสร็จแล้วก็ค่อยแยกย้ายกันไปอย่างเป็นระเบียบ
เสร็จแล้วครับ ...พิธีที่แสนจะเรียบง่าย ทว่าคงจะสร้างความตราตรึงใจให้กับทุกคนที่เข้าร่วมพิธี แม้คนจะเยอะ และแดดจะร้อน แต่ทุกคนก็มาด้วยใจจริงๆครับ พิธีเลยดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยแทบจะไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลจัดการเลยครับ
ผมกับแฟนกลับไปเจอกันที่เต๊น แล้วก็เริ่มช่วยกันเก็บเต๊นแพคของกันคนละไม้ละมือ เพราะตอนนี้ก็เย็นแล้ว เดี๋ยวจะไปขึ้นเครื่องกลับไม่ทัน (ขากลับ เรากลับเครื่องบินกันครับ) ขณะกำลังจะไปเข้าห้องน้ำนั้น ผมก็บังเอิญไปเจอกับ 'ทิดจ๊อด' อดีตครูบา'ศิษย์พี่'ผมที่เคยเจอกันตอนบวช เลยทักทายกันแป๊บนึง ผมถามหาว่ามานี่เจอหลวงพ่อจันดีบ้างมั้ย (พระอาจารย์ของผมตอนที่บวชอะครับ) แกก็บอกน่าจะอยู่ที่ศาลาหลังเก่า .. แล้วเค้าก็ขอตัวไป
ผมเข้าห้องน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยพร้อมออกเดินทางกลับ (ของพะรุงพะรังกันเลยทีเดียว - -") แต่ก่อนอื่น ขอไปกราบหลวงพ่อจันดีก่อน เลยไปที่ศาลาเก่า พอเข้าไป เห็นท่านกำลังสนทนาปราศรัยอยู่กับบรรดาลูกศิษย์หลายคน ผมก็เลยไม่เข้าไปคุยดีกว่า ขอกราบท่านอยู่ห่างๆแล้วก็จากมา
เราค่อยๆหอบข้าวของเดินออกมาจากวัด ตอนนั้นก็คงราวๆ 6 โมงเห็นจะได้ รถกำลังเยอะได้ที่เลยทีเดียว แอบกังวลนิดนึงว่าจะไปขึ้นเครื่องทันรึเปล่า (จำได้ว่าเครื่องออกทุ่มนึง) เราก็เลยรีบหาแท็กซี่กันอบ่างพัลวัน (โทรไปหาลุงที่มาส่งตอนขามา เค้าบอกยังอยู่อีกไกล) แต่แล้วด้วยความโชคดีหรือบุญกุศลนำพาก็ตามที ในที่สุดเราก็เจอแท็กซี่ว่าง และไปถึงสนามบินอุบลโดยสวัสดิภาพ ( มารู้อีกทีที่สนามบินว่าจำเวลาผิด จริงๆเครื่องออกสองทุ่ม ...= =")
บทส่งท้าย ...
เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องธรรมด๊าธรรมดาในสายตาของหลายๆท่าน ....แต่สำหรับผมแล้ว นี่ถือเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของผมทีเดียวครับ แม้ผมจะไม่เคยไปวัดหนองป่าพงเลย แต่น่าแปลกที่การไปครั้งแรกของผม กลับสร้างความรู้สึกคุ้นเคยกับที่นั่น.....เหมือนกับว่าเป็นบ้าน..อีกหลังของผม หรืออาจเป็นเพราะว่า นี่คือสถานที่ที่ครูบาอาจารย์ของผมเคยอยู่มาก่อน .... ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะกลับมาที่นี่อีก ผมกับแฟนยังคุยกันอยู่เลยว่า ถ้ามีเวลา เราอยากจะมาอยู่ปฏิบัติกันให้ครบตั้งแต่วัน ... เพราะผมรู้สึกว่าสองวันที่ผมมาอยู่นี่ อาจจะน้อยเกินไป ก่อนจะกลับผมยังแอบลังเลอยู่เลยว่าอยากอยู่ต่ออีกวัน จะได้ร่วมฟังเทศน์ตลอดคืน.... แต่คราวนี้คงไม่ได้จริงๆ เพราะต้องรีบกลับไปเตรียมตัวบินกลับไปทำงานที่ออสเตรเลีย
และสุดท้ายนี้ ผมรู้สึกชื่นชมพี่น้องชาวอุบล พวกท่านเป็นเจ้าบ้านที่น่ารักมาก มีน้ำใจและเป็นกันเองกับแขกอย่างพวกเรา แม้เรื่องภาษา ผมอาจจะฟังไม่ค่อยเข้าใจทั้งหมด (ถ้าเป็นระดับแอดวานซ์มากๆ) แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงไมตรีของพวกท่านที่กลั่นออกมาจากใจ จนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอยากกลับไปที่นั่นอีก
ขอบคุณหลายเด้อ ^^"
ซงย้ง