ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากหหนังสือ
พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤต โดย พระไพศาล วิสาโล
Download ทั้งเล่มได้ใน
http://info.thaihealth.or.th/sukhphaaphraangkaay/10814
---------- จบ ตอนที่ 1-------------------
สาระดีๆเพิ่มเติมในหนังสือ
หน้า 268-269
ความสัมพันธ์กับรัฐและประชาชน (หรือสังคม) อย่างได้ดุลยภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำรงอยู่ของพระสงฆ์อย่างมีความหมายต่อพระศาสนา ถ้าพึ่งพิงรัฐหรือใกล้ชิดมากเกินไป จนห่างเหินจากชาวบ้านคณะสงฆ์ก็เสื่อมได้ง่ายเพราะไม่มีชาวบ้านคอยช่วยควบคุมดูแลให้ประพฤติตามพระวินัยโดยที่พระศาสนาก็ถดถอยลงเพราะคณะสงฆ์ถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐหรือผู้มีอำนาจ
ขณะเดียวกันก็ทำให้ชาวบ้านห่างเหินจากหลักธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ผลตามมาคือ พระสัทธรรมขาดผู้สืบทอด ในที่สุดก็ย่อมเลือนหายไป
-------------------
อีกเล่มที่น่าสนใจ ไว้มีโอกาสค่อยๆอ่านกันไปนะครับ
การศึกษาการอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเถรวาท
โดยคุณธีวัส บำเพ็ญบุญบารมี
http://www.sriprawat.net/9p.pdf
----------------------
-------------
ความเห็นเรื่องการบวช ที่ควรเป็นไปในสังคมไทย
1."การบวชที่มีคุณภาพ" มาก่อนปริมาณ (ถ้ามีคุณภาพแล้ว ปริมาณยิ่งมากยิ่งดี(ยิ่งฟรียิ่งดีขึ้นไปอีก )
แต่ถ้าไม่มีคุณภาพแล้ว ปริมาณยิ่งมาก พระศาสนายิ่งเสื่อมถอย
เพราะอาจมีคนที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาบวชได้(หรือพวกที่มาจากลัทธิอื่น)
กลุ่มคนเหล่านี้เองที่จะทำให้เกิดความเสื่อมในพระพุทธศาสนา
2.บวชฟรีเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน เพราะในสมัยพุทธกาลก็บวชฟรี
แต่การสืบทอดพระพุทธศาสนาที่จำเป็นต้องมีพระภิกษุสงฆ์ที่มีคุณภาพ
บวชฟรีหรือไม่คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรมาก "บวชฟรีดีแต่ควรสร้างคุณภาพ"กลับไปอ่านข้อ 1
3.ค่านิยมหรือวัฒนธรรมที่ยึดถือกันมาในสังคมไทย
วัฒนธรรมที่ดี เช่น บวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่(พ่อแม่ได้ทำบุญในบวรพระพุทธศาสนา) ,บวชเมื่ออายุ 20 ปี, บวชหน้าไฟ ,
ค่านิยมดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เช่น บวชเพราะอกหัก ,บวชเพราะแก้กรรม,บวชเพราะไปแก้บน,บวชเพื่อขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิต ชั้นดาวดึงส์
,บวชเพื่ออานิสงส์จะได้ลาภ ยศ สักการะ ,บวชหาเงิน ,บวชเพื่อได้อยู่ใกล้หนุ่มๆ,บวชเพื่อจะได้เรียนหนังสือ
บวชหนีคดี,บวชเอาหน้า,บวชก่อนแต่ง
...หากเป็นวัฒนธรรมที่ดีก็เป็นความหวังดีของคนโบร่ำโบราณ น่าอนุโมทนา
แต่ทว่าควรมีการให้ความรู้กับสังคมเพื่อแยกแยะวัฒนธรรม ค่านิยม ทั้งหลายให้
ออกจากการบวชจริงๆในพระพุทธศาสนา
ในสมัยพุทธกาล กว่าผู้ที่ต้องการบวชจะได้บวช เป็นเรื่องที่ต้องมีขั้นตอนการกลั่นกรองอยู่มาก เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้มาปลอมบวช หรือใช้พระศาสนาหากินเยี่ยงอลัชชี
(จะว่าไปแล้ว หากคนในสังคมเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ น่าจะนำแบบอย่างในครั้งพุทธกาลมาใช้ ตัดเสียซึ่งค่านิยมต่างๆออกไป เพื่อเห็นแก่พระศาสนา)
ตัวอย่างคุณภาพของการบวชในสมัยพุทธกาล เรียกว่า การเข้าปริวาสกรรม (เรียก ติตถิยปริวาส)
อ้างอิง
http://vimuttisuk.com/main/monk/parivas.html
ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์
เนื่องด้วยมีคฤหัสถ์จำนวนมากที่ไม่เคยนับถือพระพุทธศาสนามาก่อน คือ ไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่น ๆ มาก่อน ที่เรียกว่า “เดียรถีย์” แต่ภายหลังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และต้องการที่จะนับถือพุทธศาสนาด้วยการจะขอบวชหรือไม่ก็ได้ พระพุทธเจ้าจะทรงพิจารณาให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนเสียก่อนเป็นเวลา ๔ เดือน ปริวาสประเภทนี้เรียกว่า “ติตถิยปริวาส”
แต่เดิมผู้ที่ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๔ เดือนนั้น หมายถึง อัญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่านั้น, แต่ต่อมาได้แก้ไขให้หมายถึง
“อาชีวกหรืออเจลกะผู้เป็นปริพาชกเปลือยเท่านั้นฯ” ส่วนเดียรถีย์ผู้ไม่เคยบวชในพระพุทธศาสนานี้ การอยู่ปริวาส ๔ เดือน
ท่านเรียกว่า “อัปปฏิจฉันนปริวาส” ฯ (สมนต.๓/๕๓-๕๔)
**ติดอาวุธทางปัญญา** กรณีศึกษา การกลั่นกรองและกล่อมเกลาผู้มาบวชในบวรพระพุทธศาสนา ตอนที่ 1
จากหหนังสือ
พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤต โดย พระไพศาล วิสาโล
Download ทั้งเล่มได้ใน
http://info.thaihealth.or.th/sukhphaaphraangkaay/10814
---------- จบ ตอนที่ 1-------------------
สาระดีๆเพิ่มเติมในหนังสือ
หน้า 268-269
ความสัมพันธ์กับรัฐและประชาชน (หรือสังคม) อย่างได้ดุลยภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำรงอยู่ของพระสงฆ์อย่างมีความหมายต่อพระศาสนา ถ้าพึ่งพิงรัฐหรือใกล้ชิดมากเกินไป จนห่างเหินจากชาวบ้านคณะสงฆ์ก็เสื่อมได้ง่ายเพราะไม่มีชาวบ้านคอยช่วยควบคุมดูแลให้ประพฤติตามพระวินัยโดยที่พระศาสนาก็ถดถอยลงเพราะคณะสงฆ์ถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐหรือผู้มีอำนาจ
ขณะเดียวกันก็ทำให้ชาวบ้านห่างเหินจากหลักธรรมคำสอนที่ถูกต้อง ผลตามมาคือ พระสัทธรรมขาดผู้สืบทอด ในที่สุดก็ย่อมเลือนหายไป
-------------------
อีกเล่มที่น่าสนใจ ไว้มีโอกาสค่อยๆอ่านกันไปนะครับ
การศึกษาการอุปสมบทในพระพุทธศาสนาเถรวาท
โดยคุณธีวัส บำเพ็ญบุญบารมี
http://www.sriprawat.net/9p.pdf
----------------------
-------------
ความเห็นเรื่องการบวช ที่ควรเป็นไปในสังคมไทย
1."การบวชที่มีคุณภาพ" มาก่อนปริมาณ (ถ้ามีคุณภาพแล้ว ปริมาณยิ่งมากยิ่งดี(ยิ่งฟรียิ่งดีขึ้นไปอีก )
แต่ถ้าไม่มีคุณภาพแล้ว ปริมาณยิ่งมาก พระศาสนายิ่งเสื่อมถอย
เพราะอาจมีคนที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาบวชได้(หรือพวกที่มาจากลัทธิอื่น)
กลุ่มคนเหล่านี้เองที่จะทำให้เกิดความเสื่อมในพระพุทธศาสนา
2.บวชฟรีเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน เพราะในสมัยพุทธกาลก็บวชฟรี
แต่การสืบทอดพระพุทธศาสนาที่จำเป็นต้องมีพระภิกษุสงฆ์ที่มีคุณภาพ
บวชฟรีหรือไม่คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรมาก "บวชฟรีดีแต่ควรสร้างคุณภาพ"กลับไปอ่านข้อ 1
3.ค่านิยมหรือวัฒนธรรมที่ยึดถือกันมาในสังคมไทย
วัฒนธรรมที่ดี เช่น บวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่(พ่อแม่ได้ทำบุญในบวรพระพุทธศาสนา) ,บวชเมื่ออายุ 20 ปี, บวชหน้าไฟ ,
ค่านิยมดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เช่น บวชเพราะอกหัก ,บวชเพราะแก้กรรม,บวชเพราะไปแก้บน,บวชเพื่อขึ้นสวรรค์ชั้นดุสิต ชั้นดาวดึงส์
,บวชเพื่ออานิสงส์จะได้ลาภ ยศ สักการะ ,บวชหาเงิน ,บวชเพื่อได้อยู่ใกล้หนุ่มๆ,บวชเพื่อจะได้เรียนหนังสือ
บวชหนีคดี,บวชเอาหน้า,บวชก่อนแต่ง
...หากเป็นวัฒนธรรมที่ดีก็เป็นความหวังดีของคนโบร่ำโบราณ น่าอนุโมทนา
แต่ทว่าควรมีการให้ความรู้กับสังคมเพื่อแยกแยะวัฒนธรรม ค่านิยม ทั้งหลายให้
ออกจากการบวชจริงๆในพระพุทธศาสนา
ในสมัยพุทธกาล กว่าผู้ที่ต้องการบวชจะได้บวช เป็นเรื่องที่ต้องมีขั้นตอนการกลั่นกรองอยู่มาก เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้มาปลอมบวช หรือใช้พระศาสนาหากินเยี่ยงอลัชชี
(จะว่าไปแล้ว หากคนในสังคมเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ น่าจะนำแบบอย่างในครั้งพุทธกาลมาใช้ ตัดเสียซึ่งค่านิยมต่างๆออกไป เพื่อเห็นแก่พระศาสนา)
ตัวอย่างคุณภาพของการบวชในสมัยพุทธกาล เรียกว่า การเข้าปริวาสกรรม (เรียก ติตถิยปริวาส)
อ้างอิง
http://vimuttisuk.com/main/monk/parivas.html
ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์
เนื่องด้วยมีคฤหัสถ์จำนวนมากที่ไม่เคยนับถือพระพุทธศาสนามาก่อน คือ ไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่น ๆ มาก่อน ที่เรียกว่า “เดียรถีย์” แต่ภายหลังเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และต้องการที่จะนับถือพุทธศาสนาด้วยการจะขอบวชหรือไม่ก็ได้ พระพุทธเจ้าจะทรงพิจารณาให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนเสียก่อนเป็นเวลา ๔ เดือน ปริวาสประเภทนี้เรียกว่า “ติตถิยปริวาส”
แต่เดิมผู้ที่ต้องอยู่ติตถิยปริวาส ๔ เดือนนั้น หมายถึง อัญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่านั้น, แต่ต่อมาได้แก้ไขให้หมายถึง
“อาชีวกหรืออเจลกะผู้เป็นปริพาชกเปลือยเท่านั้นฯ” ส่วนเดียรถีย์ผู้ไม่เคยบวชในพระพุทธศาสนานี้ การอยู่ปริวาส ๔ เดือน
ท่านเรียกว่า “อัปปฏิจฉันนปริวาส” ฯ (สมนต.๓/๕๓-๕๔)