เพื่อทราบและเป็นข้อมูลในการพิจารณา กรณีนี้ ครับ
---------------- พอดีได้พูดคุยกับบางท่าน กรณีผุ้จัดรายการทีวี ให้ความเห็นกรณีเกี่ยวกับการบวชสตรี ได้ค้นหาข้อมูล
พบข่าว ในเพจของสำนักงานพระพุทธศาสนา ดังนี้ครับ
http://www.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=9958:2014-12-12-12-40-39&catid=170:2014-11-20-15-55-13&Itemid=422
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คณะสงฆ์ไทยไม่อาจรับรองการบวชภิกษุณี
ข่าวจากโฆษก พศ.
ภิกษุณีหมายถึงหญิงที่บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔) ในสมัยพุทธกาลพระนางมหาปชาบดีโคตมี (พระน้านาง) ถือเป็นภิกษุณีองค์แรกที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บวชสตรีเป็นภิกษุณี แต่กว่าที่พระนางจะได้บวชพระพุทธเจ้ายังได้ตรัสห้ามเสีย ๓ ครั้ง เมื่อพระอานนท์ไปขอต่อพระพุทธเจ้าพระนางจึงได้รับอนุญาตให้บวชในพระพุทธศาสนา โดยก่อนอุปสมบทพระนางจะต้องรับครุธรรม ๘ ข้อ คือ
๑. ภิกษุณีที่อุปสมบทแล้วต้องกราบไหว้พระภิกษุ
๒. ภิกษุณีจะต้องอยู่จำพรรษาในอาวาสที่มีภิกษุ
๓. ภิกษุณีจะต้องเข้าฟังโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
๔. ภิกษุณีออกพรรษาพึงปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือ
พระภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์
๕. ภิกษุณีเมื่อต้องอาบัติหนักต้องอยู่กรรม ๑๕ วัน ในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
๖. สตรีที่ศึกษาอยู่ในธรรม ๖ ข้อ เป็นเวลา ๒ ปี (กล่าวคือรักษาศีล ๑๐ ของสามเณร ตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๖ โดยไม่ขาดตลอดเวลา ๒ ปี) เรียกว่า นางสิกขมานา เมื่อได้ศึกษาแล้ว ดังนี้จึงอุปสมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่ายได้
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุโดยปริยายใด ๆ
๘. ภิกษุทั้งหลายสั่งสอนห้ามปรามภิกษุณีทั้งหลายได้ แต่ภิกษุณีทั้งหลายจะสั่งสอนห้ามปรามภิกษุทั้งหลายไม่ได้
ถึงแม้นว่า พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บวชสตรีเป็นภิกษุณีได้ แต่ด้วยการที่ต้องรับครุธรรม ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับปัญหาเรื่องสวัสดิภาพของภิกษุณีทั้งการอยู่อาศัยในป่า การอยู่อาศัยร่วมกับบุรุษทำให้ภิกษุณีค่อย ๆ หมดไป ภายหลังพุทธปรินิพพานไปแล้ว
สำหรับประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ การศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาไม่ปรากฏมีการกล่าวถึงภิกษุณี กระทั่งยุคปัจจุบันได้มีการจัดพิธีอุปสมบทภิกษุณีและบรรพชาสามเณรีกันขึ้นมา มีคณะภิกษุณีสงฆ์และคณะภิกษุสงฆ์จากศรีลังกามาเป็นอุปัชฌาย์
คณะสงฆ์ศรีลังกานับถือพระพุทธศาสนาสายเถรวาทเช่นเดียวกับประเทศไทยและพระพุทธศาสนาสายเถรวาทนั้น รับรองกันว่าภิกษุณีสงฆ์ได้ขาดสูญไปนานแล้ว มิอาจกระทำการอุปสมบทสตรีขึ้นเป็นภิกษุณีได้อีก เพราะไม่มีภิกษุณีมาทำหน้าที่อุปัชฌาย์ ในประเทศศรีลังกาก็เช่นกัน คัมภีร์มหาวงศ์บันทึกไว้ว่า
ใน พ.ศ. ๑๕๖๐ ทมิฬโจฬะจากภาคใต้ของอินเดียได้เข้ายึดครองเมืองอนุราธปุระแล้วบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเรื่อยมาจนกระทั่งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ขาดสูญไปจากประเทศศรีลังกา ต่อมากษัตริย์ศรีลังกาพระนามว่าพระเจ้าวิชัยพาหุสามารถขับไล่ทมิฬโจฬะออกไปจากประเทศได้สำเร็จ เมื่อ พ.ศ. ๑๖๒๙ แล้วทรงฟื้นการอุปสมบทภิกษุณีในศรีลังกาด้วยการอาราธนาคณะภิกษุสงฆ์จากประเทศพม่าไปเป็นผู้ดำเนินการ แต่การอุปสมบทภิกษุณีสงฆ์ไม่ได้รับการฟื้นฟูในครั้งนั้น เพราะไม่มีภิกษุณีสงฆ์ในประเทศพม่า ด้วยเหตุนี้ภิกษุณีสงฆ์ในศรีลังกาจึงขาดสูญไปตั้งแต่บัดนั้น
คณะสงฆ์ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมาสืบเชื้อสายมาจากคณะสงฆ์สายเถรวาทจากประเทศศรีลังกา เรียกว่าลัทธิลังกาวงศ์จึงไม่ปรากฏการอุปสมบทภิกษุณี แต่ยังมีคณะบุคคลพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีขึ้นในประเทศไทยทำให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พระสังฆราชเจ้า ทรงประกาศห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต ความว่า
“หญิงซึ่งจักได้สมมติตนเป็นสามเณรี โดยถูกต้องพระพุทธานุญาตนั้น ต้องสำเร็จด้วยนางภิกษุณีให้บรรพชา เพราะพระองค์ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีมีพรรษา ๑๒ ล่วงแล้วเป็น ปวัตตินีคือเป็นอุปัชฌาย์ ไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุเป็นอุปัชฌาย์ นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสายมานานแล้ว เมื่อนางภิกษุณีผู้รักษาขนบธรรมเนียมสืบต่อสามเณรีไม่มีแล้ว สามเณรีผู้บวชสืบต่อมาจากภิกษุณีก็ไม่มี เป็นอันเสื่อมสูญไปตามกัน ผู้ใดให้บรรพชาเป็นสามเณรี ผู้นั้นชื่อว่าบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เลิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนา เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเพราะเหตุนี้ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกาย บวชหญิงเป็นภิกษุณีเป็นสิกขมานา และเป็นสามเณรี ตั้งแต่นี้ไป ฯ ประกาศแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑”
ในการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการบวชภิกษุณีในประเทศไทย แล้วเห็นว่าประเทศไทยนับถือพระพุทธศาสนาสายเถรวาทและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎก พระพุทธศาสนาสายเถรวาทนี้ไม่อาจบรรพชาสามเณรีและอุปสมบทสตรีเป็นภิกษุณีขึ้นได้อีก พร้อมกับมีมติให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกระดับกวดขันให้มีการถือปฏิบัติตามประกาศพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์พระสังฆราชเจ้า เรื่องห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต พ.ศ.๒๔๗๑ และพระวรธรรมคติของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก และมติมหาเถรสมาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เรื่องการบวชภิกษุณีอย่างเคร่งครัด
“ขอทำความเข้าใจแก่สาธารณชนว่าการบวชสามเณรีและภิกษุณีในคณะสงฆ์ สายเถรวาทในปัจจุบันนี้ไม่อาจทำได้และคณะสงฆ์ไม่อาจรับรองการบวชดังกล่าว”
ดร.สมชาย สุรชาตรี
ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
โฆษกประจำสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
--- ข่าวจากโฆษกประจำสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรณี คณะสงฆ์ไทยไม่อาจรับรองการบวชภิกษุณี --- เพื่อทราบและเป็นข้อมูลใน..
---------------- พอดีได้พูดคุยกับบางท่าน กรณีผุ้จัดรายการทีวี ให้ความเห็นกรณีเกี่ยวกับการบวชสตรี ได้ค้นหาข้อมูล
พบข่าว ในเพจของสำนักงานพระพุทธศาสนา ดังนี้ครับ
http://www.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=9958:2014-12-12-12-40-39&catid=170:2014-11-20-15-55-13&Itemid=422
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คณะสงฆ์ไทยไม่อาจรับรองการบวชภิกษุณี
ข่าวจากโฆษก พศ.
ภิกษุณีหมายถึงหญิงที่บวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔) ในสมัยพุทธกาลพระนางมหาปชาบดีโคตมี (พระน้านาง) ถือเป็นภิกษุณีองค์แรกที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บวชสตรีเป็นภิกษุณี แต่กว่าที่พระนางจะได้บวชพระพุทธเจ้ายังได้ตรัสห้ามเสีย ๓ ครั้ง เมื่อพระอานนท์ไปขอต่อพระพุทธเจ้าพระนางจึงได้รับอนุญาตให้บวชในพระพุทธศาสนา โดยก่อนอุปสมบทพระนางจะต้องรับครุธรรม ๘ ข้อ คือ
๑. ภิกษุณีที่อุปสมบทแล้วต้องกราบไหว้พระภิกษุ
๒. ภิกษุณีจะต้องอยู่จำพรรษาในอาวาสที่มีภิกษุ
๓. ภิกษุณีจะต้องเข้าฟังโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
๔. ภิกษุณีออกพรรษาพึงปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือ
พระภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์
๕. ภิกษุณีเมื่อต้องอาบัติหนักต้องอยู่กรรม ๑๕ วัน ในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
๖. สตรีที่ศึกษาอยู่ในธรรม ๖ ข้อ เป็นเวลา ๒ ปี (กล่าวคือรักษาศีล ๑๐ ของสามเณร ตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๖ โดยไม่ขาดตลอดเวลา ๒ ปี) เรียกว่า นางสิกขมานา เมื่อได้ศึกษาแล้ว ดังนี้จึงอุปสมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่ายได้
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุโดยปริยายใด ๆ
๘. ภิกษุทั้งหลายสั่งสอนห้ามปรามภิกษุณีทั้งหลายได้ แต่ภิกษุณีทั้งหลายจะสั่งสอนห้ามปรามภิกษุทั้งหลายไม่ได้
ถึงแม้นว่า พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้บวชสตรีเป็นภิกษุณีได้ แต่ด้วยการที่ต้องรับครุธรรม ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับปัญหาเรื่องสวัสดิภาพของภิกษุณีทั้งการอยู่อาศัยในป่า การอยู่อาศัยร่วมกับบุรุษทำให้ภิกษุณีค่อย ๆ หมดไป ภายหลังพุทธปรินิพพานไปแล้ว
สำหรับประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ การศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาไม่ปรากฏมีการกล่าวถึงภิกษุณี กระทั่งยุคปัจจุบันได้มีการจัดพิธีอุปสมบทภิกษุณีและบรรพชาสามเณรีกันขึ้นมา มีคณะภิกษุณีสงฆ์และคณะภิกษุสงฆ์จากศรีลังกามาเป็นอุปัชฌาย์
คณะสงฆ์ศรีลังกานับถือพระพุทธศาสนาสายเถรวาทเช่นเดียวกับประเทศไทยและพระพุทธศาสนาสายเถรวาทนั้น รับรองกันว่าภิกษุณีสงฆ์ได้ขาดสูญไปนานแล้ว มิอาจกระทำการอุปสมบทสตรีขึ้นเป็นภิกษุณีได้อีก เพราะไม่มีภิกษุณีมาทำหน้าที่อุปัชฌาย์ ในประเทศศรีลังกาก็เช่นกัน คัมภีร์มหาวงศ์บันทึกไว้ว่า
ใน พ.ศ. ๑๕๖๐ ทมิฬโจฬะจากภาคใต้ของอินเดียได้เข้ายึดครองเมืองอนุราธปุระแล้วบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเรื่อยมาจนกระทั่งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ขาดสูญไปจากประเทศศรีลังกา ต่อมากษัตริย์ศรีลังกาพระนามว่าพระเจ้าวิชัยพาหุสามารถขับไล่ทมิฬโจฬะออกไปจากประเทศได้สำเร็จ เมื่อ พ.ศ. ๑๖๒๙ แล้วทรงฟื้นการอุปสมบทภิกษุณีในศรีลังกาด้วยการอาราธนาคณะภิกษุสงฆ์จากประเทศพม่าไปเป็นผู้ดำเนินการ แต่การอุปสมบทภิกษุณีสงฆ์ไม่ได้รับการฟื้นฟูในครั้งนั้น เพราะไม่มีภิกษุณีสงฆ์ในประเทศพม่า ด้วยเหตุนี้ภิกษุณีสงฆ์ในศรีลังกาจึงขาดสูญไปตั้งแต่บัดนั้น
คณะสงฆ์ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมาสืบเชื้อสายมาจากคณะสงฆ์สายเถรวาทจากประเทศศรีลังกา เรียกว่าลัทธิลังกาวงศ์จึงไม่ปรากฏการอุปสมบทภิกษุณี แต่ยังมีคณะบุคคลพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีขึ้นในประเทศไทยทำให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พระสังฆราชเจ้า ทรงประกาศห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต ความว่า
“หญิงซึ่งจักได้สมมติตนเป็นสามเณรี โดยถูกต้องพระพุทธานุญาตนั้น ต้องสำเร็จด้วยนางภิกษุณีให้บรรพชา เพราะพระองค์ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีมีพรรษา ๑๒ ล่วงแล้วเป็น ปวัตตินีคือเป็นอุปัชฌาย์ ไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุเป็นอุปัชฌาย์ นางภิกษุณีหมดสาบสูญขาดเชื้อสายมานานแล้ว เมื่อนางภิกษุณีผู้รักษาขนบธรรมเนียมสืบต่อสามเณรีไม่มีแล้ว สามเณรีผู้บวชสืบต่อมาจากภิกษุณีก็ไม่มี เป็นอันเสื่อมสูญไปตามกัน ผู้ใดให้บรรพชาเป็นสามเณรี ผู้นั้นชื่อว่าบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เลิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนา เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเพราะเหตุนี้ห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกาย บวชหญิงเป็นภิกษุณีเป็นสิกขมานา และเป็นสามเณรี ตั้งแต่นี้ไป ฯ ประกาศแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๑”
ในการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการบวชภิกษุณีในประเทศไทย แล้วเห็นว่าประเทศไทยนับถือพระพุทธศาสนาสายเถรวาทและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎก พระพุทธศาสนาสายเถรวาทนี้ไม่อาจบรรพชาสามเณรีและอุปสมบทสตรีเป็นภิกษุณีขึ้นได้อีก พร้อมกับมีมติให้เจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกระดับกวดขันให้มีการถือปฏิบัติตามประกาศพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์พระสังฆราชเจ้า เรื่องห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต พ.ศ.๒๔๗๑ และพระวรธรรมคติของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก และมติมหาเถรสมาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เรื่องการบวชภิกษุณีอย่างเคร่งครัด
“ขอทำความเข้าใจแก่สาธารณชนว่าการบวชสามเณรีและภิกษุณีในคณะสงฆ์ สายเถรวาทในปัจจุบันนี้ไม่อาจทำได้และคณะสงฆ์ไม่อาจรับรองการบวชดังกล่าว”
ดร.สมชาย สุรชาตรี
ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
โฆษกประจำสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------