โสเภณี : “มีเกียรติ-ไม่มีเกียรติ” และเราจำเป็นต้องเปลี่ยน “กระบวนคิด” ใหม่หรือไม่?
E-Mail : siam_shinsengumi@hotmail.com
FaceBook : Siam Shinsengumi
สัปดาห์นี้มาเร็วเสียหน่อย เพราะพรุ่งนี้กับวันศุกร์ (7-8/2/2556) ที่ทำงานผมต้องเช็คยอดของทั้งหมดที่ Stock ไว้ใน Office ทำให้อาจจะไม่มีเวลาเขียนในช่วงปลายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดเสร็จไว คาดว่าปลายสัปดาห์คงได้บ่นเรื่องวาเลนไทน์กับสภานภาพ “โสดจนวันตาย” ตามที่เคยบอกไว้ในสัปดาห์ก่อนเช่นเดิม
เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง ที่รายการสอนภาษารายการหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ได้นำเสนอถึงวิธีการพูดคุยกับผู้หญิงไทย เพื่อซื้อบริการทางเพศ แน่นอนว่าคนไทยเราคงไม่ยอมที่ต่างชาติจะมาดูหมิ่นเราเช่นนี้ แม้เราจะยอมรับกันว่ามันเป็นเรื่องจริงก็ตาม และจากประเด็นนี้ คำถามที่ถกเถียงกันมาเป็นสิบๆ ปี ก็กลับมาอีกครั้ง นั่นคือ “เราจะยอมให้อาชีพอย่างว่า ถูกกฏหมายหรือไม่” สำหรับฝ่ายที่เห็นด้วย คงจะยกเหตุผลเรื่องป้องกันโรค หรือไม่ก็ต้องการตัดรายได้ใต้ดินของพวกกลุ่มอิทธิพลทั้งที่มีและไม่มีสี แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย คงยกเรื่องศีลธรรมเป็นหลัก ทั้งในแง่ศาสนาก็ดี หรือในแง่เกียรติของอาชีพก็ดี
แต่ที่จะพูดถึงในวันนี้ คือประเด็น “มุมมองความมีเกียรติ-ไม่มีเกียรติ” ของอาชีพเป็นหลัก
ถามว่าทำไมผมถึงต้องใส่ใจกับประเด็น “เกียรติ-ไม่เกียรติ” ทั้งที่มันเป็นเพียงนามธรรม ไม่ได้เป็นรูปธรรมแบบเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือรายได้ใต้ดินของกลุ่มอิทธิพลมืด นั่นเพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเฉพาะ คือถ้าลองมนุษย์บอกว่า “ชอบ” ต่อให้มันเป็นทางไปนรกอเวจีขุมไหน หรือรู้ว่าเดินไปแล้วต้องตาย ต้องทรมานก็จะไปอย่างไม่ลังเล แต่ถ้าบอกว่า “ไม่ชอบ” ต่อให้มันเป็นทางไปสวรรค์ เดินไปแล้วร่ำรวย มีเงินทอง ชีวิตสุขสบาย ยังไงก็ไม่ยอมไป และความชอบ บางครั้งไม่ได้ผูกติดกับตรรกะเหตุผล ไม่งั้นช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา รัฐบาลก็ดี กทม. ก็ดี คงแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ แต่ที่ทำไม่ได้ เพราะติดกับความรู้สึกของชาวบ้าน ทั้งในพื้นที่จมและไม่จมน้ำ เป็นแบบนี้ล้วนๆ (กรุณานึกถึงเสียงคุณชมพู่-อารยา ในหนัง “คุณนายโฮ” ที่ว่า “ก็ไม่ได้ชอบ..แต่มันเป็นฟีลลิ่งอะ.............”)
ดังนั้นถ้าจัดการกับปัญหาความชอบ-ไม่ชอบที่เป็นนามธรรมได้ โลกมนุษย์คงเจริญกว่านี้อีกมาก (แต่เชื่อว่าคงทำไม่ได้ ตราบใดที่สมองซีกขวาที่ว่าด้วยอารมณ์-ความรู้สึก ยังมีอิทธิพลอยู่มาก)
กลับมาที่หัวข้อหลัก มีคนสงสัยว่าการจัดว่าอาชีพไหน มีเกียรติ-ไม่มีเกียรติ มันเริ่มมาจากยุคไหน อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบได้ รู้แต่ว่านับตั้งแต่ที่ตัวเองเกิดมา อายุยี่สิบปีเศษๆ ใกล้จะเข้า “พระราม 3” ก็มีแบ่งกันแล้ว และมีการอธิบายไว้เสร็จสรรพ ว่าอาชีพไหนมีคุณต่อสังคมอย่างไร เช่นแพทย์-พยาบาลมีหน้าที่ดูแลคนป่วย , ทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ , ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบในบ้านเมือง (อันนี้จริงหรือเปล่าไม่รู้?) หรือแม้กระทั่งชาวนา เกษตรกรเป็นกระดูกสันหลังของชาติ รวมถึงคนกวาดถนน-เก็บขยะ-คนรับใช้ตามบ้านหรือ Office ต่างๆ อาจเป็นผู้ปิดทองหลังพระ เพราะถ้าไม่มีพวกเขา เราๆ ท่านๆ อาจจะต้องไปทำความสะอาดเอง ซึ่งจะตัดเวลาในการสร้างสรรค์งานอื่นๆ ตามความรู้และหน้าที่หลักของแต่ละคน (ดังนั้นผมถึงเห็นด้วยกับการที่คนรับใช้ตามบ้านควรจะมีสวัสดิการบ้าง ถึงไม่เหมือนคนงานในโรงงาน แต่ก็ควรจะใกล้เคียง) ทำให้ที่ผ่านมา อาชีพแทบทุกอาชีพที่ไม่ผิดกฏหมาย กลายเป็นอาชีพสุจริตไปด้วย ในสามัญสำนึกของคนทั่วไป สื่อบันเทิงหลายอย่าง ก็ยกย่องอาชีพเหล่านี้เป็นเรื่องเป็นราว ทำให้นอกจากจะสุจริต แล้วยังมีเกียรติ สามารถถูกยกย่องได้อีกต่างหาก
ปัญหาคือ ทำไมคนส่วนใหญ่..ไม่อาจรับได้ว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่มี “มีเกียรติ”
อันนี้คงต้องย้อนไปไกล ผมเองก็คงไม่ทราบได้ว่ามนุษย์เราเริ่มให้ความสำคัญกับ “รักที่บริสุทธิ์” ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าตั้งแต่ผมเกิดมา สื่อประโลมโลกย์แทบทุกชนิดทั้งภาพยนตร์ ละคร นวนิยายและหนังสือการ์ตูน แม้บางฉากจะมีเรื่องหรือฉากที่ว่าด้วยหญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย มีการบรรยายหรือการแสดงที่วาบหวิว แต่พระเอกของเรา จะต้องแสดงความ “สูงส่ง” ด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีเหล่านี้ เพื่อรอวันไปพบกับนางเอกที่ใสซื่อ (อา..โรแมนติกมากครับพี่น้อง ผมพิมพ์ไปยังหน้าแดงเลย ^_^) และมันเป็นกันแบบนี้ทุกชาติ ไม่เว้นแม้แต่โลกตะวันตก ที่พระเอกเจ้าชู้ มีอะไรกับสาวๆ ไปทั่วอย่าง James Bond 007 ระยะหลังๆ ก็ต้องเพลาๆ เรื่องดังกล่าวลงบ้าง ส่วนหนึ่งเพราะอิทธิพลจากลัทธิ Feminist ที่รับไม่ได้ที่ผู้หญิงมีค่าแค่ “ของเล่น” ของผู้ชาย กับอีกส่วนหนึ่ง ผู้ชายหลายราย คงออกอาการ “หมั่นไส้” ตาสายลับอังกฤษรายนี้ ที่เสี่ยงตายทุกภาค แต่ไม่มีกระทั่งรอยขีดข่วน แถมไปไหนก็ได้ฟาดสาวๆ ในประเทศนั้นๆ อยู่เสมอ (ทำให้ Daniel Craig ที่เป็น Bond คนปัจจุบัน ถูกมองว่าเป็นนักแสดงที่ทำให้สายลับในภาพยนตร์ กลายเป็นภาพสะท้อนของ “จารชน” ที่มีตัวตนจริงๆ มากที่สุด เพราะงานแบบนี้ ไม่มีคำว่าสำราญ มีแต่ความเครียดจากการฆ่าและถูกฆ่าเท่านั้น)
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้หญิงจึงต้องการ “รักเดียวใจเดียว” จากผู้ชาย แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องบนเตียงด้วย ขณะที่ผู้ชายเองก็ได้รับอิทธิพลจากจุดนี้ ทำให้ใครที่ทนได้ ก็ทนไป (ด้วยการทำร้ายตัวเอง - -!) หรือใครที่ทนไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในข้อหลัง เลือกที่จะระบายออกกับหญิงขายบริการทางเพศ แต่ก็ต้องปิดบังพฤติกรรมดังกล่าว ด้วยการใช้ชื่อปลอม ประวัติปลอมบ้างในการไปเที่ยว จนท้ายที่สุดเมื่อมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ก็ต้องเก็บงำอดีตที่ “ลักลั่น” เหล่านี้ไว้ เพื่อความสุขของคุณภรรยา ที่อยากจะรับรู้เพียงแค่เขามอบ “รสรัก” ให้กับเราเพียงคนเดียวเท่านั้น (ทั้งที่เรื่องจริง หนุ่มรูปงามคนนั้นอาจจะเคยเป็นนักท่องราตรีตัวยงเลยก็ได้ เอิกๆ - -!)
สรุปง่ายๆ กระบวนคิดของคนทั่วไปในสังคม (โดยเฉพาะทางฝั่งเอเชีย) มักนำ Sex ไปผูกติดกับความรัก ทำให้เมื่อมีความรัก ซึ่งในที่นี่แฝงด้วยนัยยะของ “การครอบครอง” (เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา ย่อมอยากเป็นของกันและกัน)ก็ต้องคาดหวังว่า เมื่อตกลงมีอะไรกันแล้ว จะต้องเสมือนมีพันธะต่อกัน จะไปมีอะไรกับคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นฝ่ายชายจะโกรธแค้นเมื่อฝ่ายหญิงมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับชายอื่น (ชู้) ขณะเดียวกัน ฝ่ายหญิงก็จะโกรธแค้น เมื่อฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับหญิงอื่น (กิ๊ก เมียน้อย) และสังคมจะยิ่งประณาม หากสาเหตุของการมีชู้ กิ๊ก บ้านเล็กบ้านน้อย มาจาก “ความต้องการทางเพศ” ที่คู่ของตนตอบสนองให้ไม่ได้ (ซึ่งในความเป็นจริง ก็ต้องยอมรับอีกว่าชายหญิงแต่ละคน มีดีกรีเรื่องนี้ไม่เท่ากัน แต่ล้วนถูกบรรทัดฐานทางสังคมกดทับอยู่)
ดังนั้นสาเหตุที่เราไม่ยอมรับว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เพราะอาชีพนี้อยู่กับเรื่องอย่างว่าโดยตรง และบรรทัดฐานทางสังคมส่วนใหญ่ ก็ล้วนมองว่าเรื่อง Sex เป็นเรื่องน่าอาย น่ารังเกียจ แม้จะมีการสอนเพศศึกษา แต่ก็จะสอนกันแค่ระบบร่างกาย หรืออย่างมากก็เพียงการมี Sex อย่างปลอดภัย ซึ่งก็ไม่พ้นการรักนวลสงวนตัว หรือการทำร้ายตัวเองเพื่อดับอารมณ์หื่นกระหาย หรือการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับการท้องไม่พร้อมเท่านั้น แต่ไม่มีสถาบันใดอย่างเป็นทางการบนโลกใบนี้ ที่สอนการมี Sex อย่างมีรสชาติ (และไม่ค่อยมีใครกล้าถาม หรือถึงถามก็ต้องปิดบังตัวตน อย่างคอลัมน์ใน นสพ. หัวสีฉบับหนึ่ง ที่มีคนเขียนจดหมายไปถามเยอะมาก จนปัจจุบันแม้ว่าแพทย์ที่ริเริ่มคอลัมน์นี้ ท่านเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีคนเขียนเข้าไปถามอยู่เช่นเดิม)
เมื่อเรามอง “รัก” เป็นสีขาวบริสุทธิ์ Sex ที่มากับรักที่บริสุทธิ์ มักจะออกแนวนุ่มนวล ทะนุถนอมไปด้วย ท่านดูในภาพยนตร์เถอะครับ บทรักที่เร่าร้อนรุนแรง มักไม่เกิดกับนางเอกที่ใสซื่อไร้เดียงสา และ/หรือเป็นรักแท้ของพระเอกหรอกครับ แม้กระทั่งภาพยนตร์ฝรั่งตะวันตกเองก็ตาม แต่ไปเกิดกับตัวละครฝ่ายหญิง ที่ไม่ได้เป็นนางเอกมากกว่า (และมันชัดมากในโซนเอเชีย) ในทางกลับกัน ในยุคใหม่ เพศชายที่มักมากในเรื่องนี้ ก็ไม่อาจแสดงตัวตนได้มากนัก เพราะสิทธิสตรีเริ่มเท่าเทียมมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ คนทั่วไปทั้งชายหญิง จึงไม่ยอมรับการมีตัวตน ซึ่งหมายถึงการมีเกียรติของโสเภณี เพราะเมื่อยอมรับตัวตน ก็ต้องยอมรับการมีเกียรติไปด้วยในตัว ซึ่งเมื่อมีเกียรติ ก็อาจตามมาซึ่งการเรียกร้อง จนวันหนึ่งสามารถเข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมือง ซึ่งคนทั่วไปก็ถืออีกว่าการเมืองเป็นเรื่อง “ของสูง” คือหมายถึงเป็นเรื่องของปัญญาชน (ปัญญาชนไม่ได้หมายความแค่คนจบมหา’ลัยขึ้นไปเท่านั้น แต่เป็นใครก็ได้ที่ชอบคิด ชอบวิเคราะห์ ติดตามปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคม) เพราะต้องใช้ความรู้ ทฤษฎี หลักการมาโต้แย้งกัน และก็คนทั่วไปอีก ที่อนุญาตให้เฉพาะ “อาชีพที่มีเกียรติ” เท่านั้น ที่สามารถแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองได้..วันนี้เราเห็นการเมืองภาคชาวนา-เกษตรกร เราเห็นการเมืองภาคผู้ใช้แรงงาน-กรรมกร เราเห็นการเมืองภาคชนชั้นกลาง ภาคผู้นำนักศึกษา ภาคนักธุรกิจ ฯลฯ คนกลุ่มนี้เข้าไปอยู่ในสภาฯ ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. หรือแกนนำม็อบต่างๆ หรือแม้แต่เป็น NGO
ถามว่าคุณพร้อม หรือรับได้ที่จะเห็น “การเมืองภาคผู้ขายบริการทางเพศ” ทั้งในสภาและนอกสภาหรือเปล่า?
ส่วนเรื่องโรคนั้น ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าเราจะไม่ได้ยกอาชีพนี้ขึ้นมาไว้บนดิน แต่ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขก็ดี สภากาชาดไทย (ในส่วนของศูนย์วิจัยโรคเอดส์) ก็ดี ได้มีงบก้อนหนึ่งเพื่อจัดการกับปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว (น่า..กลาโหมยังมีงบลับได้เลย ปชช. ไม่รู้ด้วยว่าเอาไปทำอะไร แต่ สธ. เอางบลับมาทำแบบนี้ เห็นผลชัดเจน สมควรสนับสนุน) ซึ่งงบก้อนนี้ ถูกนำไปทำอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งสั่งผลิตถุงยางอนามัยมาแจกให้คนที่ต้องการใช้ ซึ่งก็เน้นไปที่กลุ่มผู้ขายบริการทางเพศเป็นหลัก ทั้งการให้ความรู้และเน้นย้ำว่าหากจะมีอาชีพนี้ ต้องป้องกันทุกครั้ง ถ้าลูกค้าไม่ใส่ ก็ต้องปฏิเสธเพื่อความปลอดภัยของตนเอง หรือการเพิ่มคลินิกนิรนาม ที่ผู้ต้องการตรวจเลือด ไม่ต้องใช้ชื่อ-สกุลจริงก็ได้ ทำให้ในรอบ 10 ปีหลังสุด ผู้ขายบริการทางเพศ ไม่ใช่พาหะหลักของโรคเอดส์อีกต่อไป แต่ปัญหา HIV กลับไปลุกลามในกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน ที่เปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น และไม่ใช้ถุงยางอนามัย ด้วยความเชื่อผิดๆ ว่าคู่นอนนี้ไม่ใช่ผู้ขายบริการทางเพศ จึงไม่จำเป็นต้องป้องกัน (ปัจจุบัน กลุ่มเสี่ยงอันดับ 1 คือกลุ่มชายรักชาย อันดับ 2 กลุ่มผู้นิยมเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ และ อันดับ 3 เท่ากัน คือผู้ขายบริการทางเพศ และพวกเสพยาด้วยการฉีดเข้าเส้น) อันนี้น่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ
ส่วนปัญหาความยากจน หากเป็นสมัยก่อน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เลือกอาชีพนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนจนตรอก ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ (ฐานะยากจน) และปัจจัยทางสังคม (สมัยก่อนพ่อแม่ไม่ค่อยให้ลูกสาวเรียนหนังสือในชั้นสูงๆ) ทำให้เมื่อเกิดการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ คนกลุ่มดังกล่าวตามไม่ทัน ก็จะเป็นได้แค่แรงงานระดับล่างๆ และเมื่อเงินไม่พอใช้ ก็ต้องเข้าสู่วงจรทะเลทุกข์ดังกล่าว..ทว่ายุคหลังๆ คงไม่ใช่สาเหตุดังกล่าวอีกแล้ว ถามว่าหลักฐานคืออะไร ท่านไปดูน้องๆ ในวงการนี้รุ่นใหม่ๆ เถอะครับ เรียนพาณิชย์-มหา’ลัยทั้งนั้น และขั้นต่ำ มีมอเตอร์ไซค์ขับ (บางรายมีรถยนต์) มีมือถือหรูๆ มีของแบรนด์เนมใช้ ขณะที่รัฐบาลระยะหลังๆ มีสารพัดมาตรการ เพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจกับประชาชนมาโดยตลอด ทำให้ภาพของผู้ขายบริการทางเพศที่ฐานะยากจน หลงเหลือแต่เพียงรุ่นเก่าๆ อายุมากๆ ตามแหล่งเก่าแก่ไม่กี่แห่งใน กทม. ขณะที่รุ่นใหม่ๆ ในจำพวกนี้ มักจะเดินทางมาจากภายนอกประเทศ ทั้งจากประเทศเพื่อนบ้าน ไปไกลถึงจีนบ้าง ยุโรปตะวันออกบ้างที่หนีความแร้นแค้นในประเทศของตนเข้ามาในบ้านเรา
(ต่อด้านล่าง)
-----------------------
Siam Shinsengumi
โสเภณี : “มีเกียรติ-ไม่มีเกียรติ” และเราจำเป็นต้องเปลี่ยน “กระบวนคิด” ใหม่หรือไม่?
E-Mail : siam_shinsengumi@hotmail.com
FaceBook : Siam Shinsengumi
สัปดาห์นี้มาเร็วเสียหน่อย เพราะพรุ่งนี้กับวันศุกร์ (7-8/2/2556) ที่ทำงานผมต้องเช็คยอดของทั้งหมดที่ Stock ไว้ใน Office ทำให้อาจจะไม่มีเวลาเขียนในช่วงปลายสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดเสร็จไว คาดว่าปลายสัปดาห์คงได้บ่นเรื่องวาเลนไทน์กับสภานภาพ “โสดจนวันตาย” ตามที่เคยบอกไว้ในสัปดาห์ก่อนเช่นเดิม
เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน กลายเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง ที่รายการสอนภาษารายการหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ได้นำเสนอถึงวิธีการพูดคุยกับผู้หญิงไทย เพื่อซื้อบริการทางเพศ แน่นอนว่าคนไทยเราคงไม่ยอมที่ต่างชาติจะมาดูหมิ่นเราเช่นนี้ แม้เราจะยอมรับกันว่ามันเป็นเรื่องจริงก็ตาม และจากประเด็นนี้ คำถามที่ถกเถียงกันมาเป็นสิบๆ ปี ก็กลับมาอีกครั้ง นั่นคือ “เราจะยอมให้อาชีพอย่างว่า ถูกกฏหมายหรือไม่” สำหรับฝ่ายที่เห็นด้วย คงจะยกเหตุผลเรื่องป้องกันโรค หรือไม่ก็ต้องการตัดรายได้ใต้ดินของพวกกลุ่มอิทธิพลทั้งที่มีและไม่มีสี แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย คงยกเรื่องศีลธรรมเป็นหลัก ทั้งในแง่ศาสนาก็ดี หรือในแง่เกียรติของอาชีพก็ดี
แต่ที่จะพูดถึงในวันนี้ คือประเด็น “มุมมองความมีเกียรติ-ไม่มีเกียรติ” ของอาชีพเป็นหลัก
ถามว่าทำไมผมถึงต้องใส่ใจกับประเด็น “เกียรติ-ไม่เกียรติ” ทั้งที่มันเป็นเพียงนามธรรม ไม่ได้เป็นรูปธรรมแบบเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือรายได้ใต้ดินของกลุ่มอิทธิพลมืด นั่นเพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเฉพาะ คือถ้าลองมนุษย์บอกว่า “ชอบ” ต่อให้มันเป็นทางไปนรกอเวจีขุมไหน หรือรู้ว่าเดินไปแล้วต้องตาย ต้องทรมานก็จะไปอย่างไม่ลังเล แต่ถ้าบอกว่า “ไม่ชอบ” ต่อให้มันเป็นทางไปสวรรค์ เดินไปแล้วร่ำรวย มีเงินทอง ชีวิตสุขสบาย ยังไงก็ไม่ยอมไป และความชอบ บางครั้งไม่ได้ผูกติดกับตรรกะเหตุผล ไม่งั้นช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา รัฐบาลก็ดี กทม. ก็ดี คงแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ แต่ที่ทำไม่ได้ เพราะติดกับความรู้สึกของชาวบ้าน ทั้งในพื้นที่จมและไม่จมน้ำ เป็นแบบนี้ล้วนๆ (กรุณานึกถึงเสียงคุณชมพู่-อารยา ในหนัง “คุณนายโฮ” ที่ว่า “ก็ไม่ได้ชอบ..แต่มันเป็นฟีลลิ่งอะ.............”)
ดังนั้นถ้าจัดการกับปัญหาความชอบ-ไม่ชอบที่เป็นนามธรรมได้ โลกมนุษย์คงเจริญกว่านี้อีกมาก (แต่เชื่อว่าคงทำไม่ได้ ตราบใดที่สมองซีกขวาที่ว่าด้วยอารมณ์-ความรู้สึก ยังมีอิทธิพลอยู่มาก)
กลับมาที่หัวข้อหลัก มีคนสงสัยว่าการจัดว่าอาชีพไหน มีเกียรติ-ไม่มีเกียรติ มันเริ่มมาจากยุคไหน อันนี้ผมเองก็ไม่ทราบได้ รู้แต่ว่านับตั้งแต่ที่ตัวเองเกิดมา อายุยี่สิบปีเศษๆ ใกล้จะเข้า “พระราม 3” ก็มีแบ่งกันแล้ว และมีการอธิบายไว้เสร็จสรรพ ว่าอาชีพไหนมีคุณต่อสังคมอย่างไร เช่นแพทย์-พยาบาลมีหน้าที่ดูแลคนป่วย , ทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ , ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบในบ้านเมือง (อันนี้จริงหรือเปล่าไม่รู้?) หรือแม้กระทั่งชาวนา เกษตรกรเป็นกระดูกสันหลังของชาติ รวมถึงคนกวาดถนน-เก็บขยะ-คนรับใช้ตามบ้านหรือ Office ต่างๆ อาจเป็นผู้ปิดทองหลังพระ เพราะถ้าไม่มีพวกเขา เราๆ ท่านๆ อาจจะต้องไปทำความสะอาดเอง ซึ่งจะตัดเวลาในการสร้างสรรค์งานอื่นๆ ตามความรู้และหน้าที่หลักของแต่ละคน (ดังนั้นผมถึงเห็นด้วยกับการที่คนรับใช้ตามบ้านควรจะมีสวัสดิการบ้าง ถึงไม่เหมือนคนงานในโรงงาน แต่ก็ควรจะใกล้เคียง) ทำให้ที่ผ่านมา อาชีพแทบทุกอาชีพที่ไม่ผิดกฏหมาย กลายเป็นอาชีพสุจริตไปด้วย ในสามัญสำนึกของคนทั่วไป สื่อบันเทิงหลายอย่าง ก็ยกย่องอาชีพเหล่านี้เป็นเรื่องเป็นราว ทำให้นอกจากจะสุจริต แล้วยังมีเกียรติ สามารถถูกยกย่องได้อีกต่างหาก
ปัญหาคือ ทำไมคนส่วนใหญ่..ไม่อาจรับได้ว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่มี “มีเกียรติ”
อันนี้คงต้องย้อนไปไกล ผมเองก็คงไม่ทราบได้ว่ามนุษย์เราเริ่มให้ความสำคัญกับ “รักที่บริสุทธิ์” ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าตั้งแต่ผมเกิดมา สื่อประโลมโลกย์แทบทุกชนิดทั้งภาพยนตร์ ละคร นวนิยายและหนังสือการ์ตูน แม้บางฉากจะมีเรื่องหรือฉากที่ว่าด้วยหญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย มีการบรรยายหรือการแสดงที่วาบหวิว แต่พระเอกของเรา จะต้องแสดงความ “สูงส่ง” ด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีเหล่านี้ เพื่อรอวันไปพบกับนางเอกที่ใสซื่อ (อา..โรแมนติกมากครับพี่น้อง ผมพิมพ์ไปยังหน้าแดงเลย ^_^) และมันเป็นกันแบบนี้ทุกชาติ ไม่เว้นแม้แต่โลกตะวันตก ที่พระเอกเจ้าชู้ มีอะไรกับสาวๆ ไปทั่วอย่าง James Bond 007 ระยะหลังๆ ก็ต้องเพลาๆ เรื่องดังกล่าวลงบ้าง ส่วนหนึ่งเพราะอิทธิพลจากลัทธิ Feminist ที่รับไม่ได้ที่ผู้หญิงมีค่าแค่ “ของเล่น” ของผู้ชาย กับอีกส่วนหนึ่ง ผู้ชายหลายราย คงออกอาการ “หมั่นไส้” ตาสายลับอังกฤษรายนี้ ที่เสี่ยงตายทุกภาค แต่ไม่มีกระทั่งรอยขีดข่วน แถมไปไหนก็ได้ฟาดสาวๆ ในประเทศนั้นๆ อยู่เสมอ (ทำให้ Daniel Craig ที่เป็น Bond คนปัจจุบัน ถูกมองว่าเป็นนักแสดงที่ทำให้สายลับในภาพยนตร์ กลายเป็นภาพสะท้อนของ “จารชน” ที่มีตัวตนจริงๆ มากที่สุด เพราะงานแบบนี้ ไม่มีคำว่าสำราญ มีแต่ความเครียดจากการฆ่าและถูกฆ่าเท่านั้น)
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้หญิงจึงต้องการ “รักเดียวใจเดียว” จากผู้ชาย แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องบนเตียงด้วย ขณะที่ผู้ชายเองก็ได้รับอิทธิพลจากจุดนี้ ทำให้ใครที่ทนได้ ก็ทนไป (ด้วยการทำร้ายตัวเอง - -!) หรือใครที่ทนไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในข้อหลัง เลือกที่จะระบายออกกับหญิงขายบริการทางเพศ แต่ก็ต้องปิดบังพฤติกรรมดังกล่าว ด้วยการใช้ชื่อปลอม ประวัติปลอมบ้างในการไปเที่ยว จนท้ายที่สุดเมื่อมีแฟนเป็นตัวเป็นตน ก็ต้องเก็บงำอดีตที่ “ลักลั่น” เหล่านี้ไว้ เพื่อความสุขของคุณภรรยา ที่อยากจะรับรู้เพียงแค่เขามอบ “รสรัก” ให้กับเราเพียงคนเดียวเท่านั้น (ทั้งที่เรื่องจริง หนุ่มรูปงามคนนั้นอาจจะเคยเป็นนักท่องราตรีตัวยงเลยก็ได้ เอิกๆ - -!)
สรุปง่ายๆ กระบวนคิดของคนทั่วไปในสังคม (โดยเฉพาะทางฝั่งเอเชีย) มักนำ Sex ไปผูกติดกับความรัก ทำให้เมื่อมีความรัก ซึ่งในที่นี่แฝงด้วยนัยยะของ “การครอบครอง” (เป็นแฟน เป็นสามีภรรยา ย่อมอยากเป็นของกันและกัน)ก็ต้องคาดหวังว่า เมื่อตกลงมีอะไรกันแล้ว จะต้องเสมือนมีพันธะต่อกัน จะไปมีอะไรกับคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นฝ่ายชายจะโกรธแค้นเมื่อฝ่ายหญิงมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับชายอื่น (ชู้) ขณะเดียวกัน ฝ่ายหญิงก็จะโกรธแค้น เมื่อฝ่ายชายไปมีความสัมพันธ์เชิงลึกกับหญิงอื่น (กิ๊ก เมียน้อย) และสังคมจะยิ่งประณาม หากสาเหตุของการมีชู้ กิ๊ก บ้านเล็กบ้านน้อย มาจาก “ความต้องการทางเพศ” ที่คู่ของตนตอบสนองให้ไม่ได้ (ซึ่งในความเป็นจริง ก็ต้องยอมรับอีกว่าชายหญิงแต่ละคน มีดีกรีเรื่องนี้ไม่เท่ากัน แต่ล้วนถูกบรรทัดฐานทางสังคมกดทับอยู่)
ดังนั้นสาเหตุที่เราไม่ยอมรับว่าโสเภณีเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เพราะอาชีพนี้อยู่กับเรื่องอย่างว่าโดยตรง และบรรทัดฐานทางสังคมส่วนใหญ่ ก็ล้วนมองว่าเรื่อง Sex เป็นเรื่องน่าอาย น่ารังเกียจ แม้จะมีการสอนเพศศึกษา แต่ก็จะสอนกันแค่ระบบร่างกาย หรืออย่างมากก็เพียงการมี Sex อย่างปลอดภัย ซึ่งก็ไม่พ้นการรักนวลสงวนตัว หรือการทำร้ายตัวเองเพื่อดับอารมณ์หื่นกระหาย หรือการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับการท้องไม่พร้อมเท่านั้น แต่ไม่มีสถาบันใดอย่างเป็นทางการบนโลกใบนี้ ที่สอนการมี Sex อย่างมีรสชาติ (และไม่ค่อยมีใครกล้าถาม หรือถึงถามก็ต้องปิดบังตัวตน อย่างคอลัมน์ใน นสพ. หัวสีฉบับหนึ่ง ที่มีคนเขียนจดหมายไปถามเยอะมาก จนปัจจุบันแม้ว่าแพทย์ที่ริเริ่มคอลัมน์นี้ ท่านเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังมีคนเขียนเข้าไปถามอยู่เช่นเดิม)
เมื่อเรามอง “รัก” เป็นสีขาวบริสุทธิ์ Sex ที่มากับรักที่บริสุทธิ์ มักจะออกแนวนุ่มนวล ทะนุถนอมไปด้วย ท่านดูในภาพยนตร์เถอะครับ บทรักที่เร่าร้อนรุนแรง มักไม่เกิดกับนางเอกที่ใสซื่อไร้เดียงสา และ/หรือเป็นรักแท้ของพระเอกหรอกครับ แม้กระทั่งภาพยนตร์ฝรั่งตะวันตกเองก็ตาม แต่ไปเกิดกับตัวละครฝ่ายหญิง ที่ไม่ได้เป็นนางเอกมากกว่า (และมันชัดมากในโซนเอเชีย) ในทางกลับกัน ในยุคใหม่ เพศชายที่มักมากในเรื่องนี้ ก็ไม่อาจแสดงตัวตนได้มากนัก เพราะสิทธิสตรีเริ่มเท่าเทียมมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ คนทั่วไปทั้งชายหญิง จึงไม่ยอมรับการมีตัวตน ซึ่งหมายถึงการมีเกียรติของโสเภณี เพราะเมื่อยอมรับตัวตน ก็ต้องยอมรับการมีเกียรติไปด้วยในตัว ซึ่งเมื่อมีเกียรติ ก็อาจตามมาซึ่งการเรียกร้อง จนวันหนึ่งสามารถเข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ทางการเมือง ซึ่งคนทั่วไปก็ถืออีกว่าการเมืองเป็นเรื่อง “ของสูง” คือหมายถึงเป็นเรื่องของปัญญาชน (ปัญญาชนไม่ได้หมายความแค่คนจบมหา’ลัยขึ้นไปเท่านั้น แต่เป็นใครก็ได้ที่ชอบคิด ชอบวิเคราะห์ ติดตามปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคม) เพราะต้องใช้ความรู้ ทฤษฎี หลักการมาโต้แย้งกัน และก็คนทั่วไปอีก ที่อนุญาตให้เฉพาะ “อาชีพที่มีเกียรติ” เท่านั้น ที่สามารถแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองได้..วันนี้เราเห็นการเมืองภาคชาวนา-เกษตรกร เราเห็นการเมืองภาคผู้ใช้แรงงาน-กรรมกร เราเห็นการเมืองภาคชนชั้นกลาง ภาคผู้นำนักศึกษา ภาคนักธุรกิจ ฯลฯ คนกลุ่มนี้เข้าไปอยู่ในสภาฯ ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. หรือแกนนำม็อบต่างๆ หรือแม้แต่เป็น NGO
ถามว่าคุณพร้อม หรือรับได้ที่จะเห็น “การเมืองภาคผู้ขายบริการทางเพศ” ทั้งในสภาและนอกสภาหรือเปล่า?
ส่วนเรื่องโรคนั้น ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าเราจะไม่ได้ยกอาชีพนี้ขึ้นมาไว้บนดิน แต่ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขก็ดี สภากาชาดไทย (ในส่วนของศูนย์วิจัยโรคเอดส์) ก็ดี ได้มีงบก้อนหนึ่งเพื่อจัดการกับปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว (น่า..กลาโหมยังมีงบลับได้เลย ปชช. ไม่รู้ด้วยว่าเอาไปทำอะไร แต่ สธ. เอางบลับมาทำแบบนี้ เห็นผลชัดเจน สมควรสนับสนุน) ซึ่งงบก้อนนี้ ถูกนำไปทำอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งสั่งผลิตถุงยางอนามัยมาแจกให้คนที่ต้องการใช้ ซึ่งก็เน้นไปที่กลุ่มผู้ขายบริการทางเพศเป็นหลัก ทั้งการให้ความรู้และเน้นย้ำว่าหากจะมีอาชีพนี้ ต้องป้องกันทุกครั้ง ถ้าลูกค้าไม่ใส่ ก็ต้องปฏิเสธเพื่อความปลอดภัยของตนเอง หรือการเพิ่มคลินิกนิรนาม ที่ผู้ต้องการตรวจเลือด ไม่ต้องใช้ชื่อ-สกุลจริงก็ได้ ทำให้ในรอบ 10 ปีหลังสุด ผู้ขายบริการทางเพศ ไม่ใช่พาหะหลักของโรคเอดส์อีกต่อไป แต่ปัญหา HIV กลับไปลุกลามในกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน ที่เปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น และไม่ใช้ถุงยางอนามัย ด้วยความเชื่อผิดๆ ว่าคู่นอนนี้ไม่ใช่ผู้ขายบริการทางเพศ จึงไม่จำเป็นต้องป้องกัน (ปัจจุบัน กลุ่มเสี่ยงอันดับ 1 คือกลุ่มชายรักชาย อันดับ 2 กลุ่มผู้นิยมเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ และ อันดับ 3 เท่ากัน คือผู้ขายบริการทางเพศ และพวกเสพยาด้วยการฉีดเข้าเส้น) อันนี้น่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ
ส่วนปัญหาความยากจน หากเป็นสมัยก่อน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เลือกอาชีพนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนจนตรอก ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ (ฐานะยากจน) และปัจจัยทางสังคม (สมัยก่อนพ่อแม่ไม่ค่อยให้ลูกสาวเรียนหนังสือในชั้นสูงๆ) ทำให้เมื่อเกิดการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ คนกลุ่มดังกล่าวตามไม่ทัน ก็จะเป็นได้แค่แรงงานระดับล่างๆ และเมื่อเงินไม่พอใช้ ก็ต้องเข้าสู่วงจรทะเลทุกข์ดังกล่าว..ทว่ายุคหลังๆ คงไม่ใช่สาเหตุดังกล่าวอีกแล้ว ถามว่าหลักฐานคืออะไร ท่านไปดูน้องๆ ในวงการนี้รุ่นใหม่ๆ เถอะครับ เรียนพาณิชย์-มหา’ลัยทั้งนั้น และขั้นต่ำ มีมอเตอร์ไซค์ขับ (บางรายมีรถยนต์) มีมือถือหรูๆ มีของแบรนด์เนมใช้ ขณะที่รัฐบาลระยะหลังๆ มีสารพัดมาตรการ เพื่อช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจกับประชาชนมาโดยตลอด ทำให้ภาพของผู้ขายบริการทางเพศที่ฐานะยากจน หลงเหลือแต่เพียงรุ่นเก่าๆ อายุมากๆ ตามแหล่งเก่าแก่ไม่กี่แห่งใน กทม. ขณะที่รุ่นใหม่ๆ ในจำพวกนี้ มักจะเดินทางมาจากภายนอกประเทศ ทั้งจากประเทศเพื่อนบ้าน ไปไกลถึงจีนบ้าง ยุโรปตะวันออกบ้างที่หนีความแร้นแค้นในประเทศของตนเข้ามาในบ้านเรา
(ต่อด้านล่าง)
-----------------------
Siam Shinsengumi