ขอกราบแม่นาง Kathryn Bigelow และมือเขียนบท Mark Boal งามๆซักสามที ดูเหมือนคำว่า "ยอดเยี่ยม มหัศจรรย์" คงนิยามหนังเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว และการที่แม่นาง Kathryn Bigelow ไม่เข้าชิงออสการ์คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรงมากๆ และนี้คือรีวิวความรู้สึกของผมต่อหนังเรื่องนี้
Zero Dark Thirty คือหนังที่สร้างบรรยากาศให้คนดูมีความรู้สึกร่วมถึงแม้จะรู้ตอนจบ สเหมือนเข้าไปร่วมสืบสวนในหนังจริงๆ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่แม่นยำ ความครุมครือ และความมืดหม่นของกระบวนการทำงานของ CIA นอกจากนี้ยังแสดงให้ถึงการผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างการกำกับของ Kathryn Bigelow และบทของ Mark Boal ที่ผสมกลืนกันอย่างลงตัว จนสามารถประครองความ suspense ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นจนจบ การตัดต่อที่คมกริบไร้ที่ติ(โดยเฉพาะฉากบุกสังหาร) การแสดงที่ยอดเยี่ยม ผสานกับสกอร์ของ Alexandre Desplat ที่ให้ความรู้สึกลึกลับและคลุมเครือ ซึ่งเข้ากับบริบทของหนังเป็นอย่างมาก จนทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าโลกเราไม่ได้มีหนัง Thriller-Suspense ที่มีองค์ประกอบชั้นยอดขนาดนี้ออกมานานขนาดไหนแล้ว
ถึงจะรู้ตอนจบแล้ว แต่หนังก็ยังค่อยๆย่อยรายละเอียดการสืบสวนอย่างไม่เร่งรีบ แต่มีพลัง จากที่ภาพรางๆของ บิน-ลาเดน จนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และสามารถนำความรู้สึก ความอยากรู้อยากเห็น ไปประจบกันที่ช่วงท้ายเรื่อง จนทำให้มีความรู้สึกเหมือนอยากจะจุดระเบิดนิวเคลียร์ในที่ที่เราต้องการทำลายมากที่สุด(ไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายความรู้สึกดี) ส่งผลให้การบุกสังหารในช่วง 30 นาทีช่วงท้ายของหนัง กลายเป็นฉากบุกสังหารที่อาจจะดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่ใช่แค่ความสมจริง แต่หนังสามารถพาอารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดมาระเบิดไว้ที่ฉากนี้ฉากเดียวได้อย่างทรงพลัง(โคตรๆ)
ที่ชอบมากๆ คือคาเรคเตอร์หลักอย่าง Maya รับบทโดย Jessica Chastain เธอสามารถแสดงให้เห็นถึงความกดดันต่อความรับผิดชอบที่เธอต้องแบกรับ และความพยายามเพื่อที่จะสืบหาเป้าหมายให้สำเร็จ เราจะเห็นออร่อรอบๆตัวเธอในทุกๆครั้งที่เธออยู่ในฉาก และเราจะรู้สึกตามที่ตัวละครนี้รู้สึกไปตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ผ่านการแสดงสีหน้าและแววตาของเธอ
ไม่ใช่แค่การไล่ล่า บิน-ลาเดน แต่หนังแอบตั้งคำถามกับเกี่ยวกับศีลธรรม ในแง่การทำงานของ CIA ที่ทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะสังหารเป้าหมายให้สำเร็จ ไม่ว่าจะในแง่ของการทรมานนักโทษเพื่อเค้นหาความจริง หรือการบุกอย่างอุจอาจเพื่่อเข้าไปสังหารเป้าหมายที่ต้องการ โดยที่ทางเจ้าของประเทศไม่รู้เรื่อง และดูเหมือนไม่แคร์ถ้าเป้าหมายที่สังหารเกิดไม่ใช่บุคคลที่ตามล่า ซึ่งตรงนี้คนดูจะเป็นผู้ตัดสินเอง โดยเมื่อมองย้อนการกระของผู้ก่อการร้ายรายนี้มันมีความจำเป็นพอรึเปล่าที่จะใช้วิธีการแบบนี้ และยังแสดงเห็นถึงว่ากระบวนการทำงานของหน่วยงานนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบและชัดเจน อย่างที่ภาพลักษณ์ในหนังหลายๆเรื่องแสดงให้เห็น มันยังคงมี Human Error เกิดขึ้นบ้าง
ฉากสุดท้าย หยดน้ำตาของ Jessica Chastain เป็นอะไรที่มูฟความรู้สึกมากๆ สำหรับผมนี้คือฉากจบที่ดีที่สุดในปีที่ผ่านมา(อ้างตามเวลาฉายในอเมริกา) มันเป็นความรู้สึกปิติกับความสำเร็จ ความโล่งใจ เพราะสิ่งที่เธอทำมันอาจช่วยชีวิตชาวอเมริกันได้นับพันๆคน และหนังทั้งเรื่องยังสามารถดีเวลล็อปความรู้สึกนี้มาถึงคนดูให้รับรู้เช่นเดียวกับที่เธอรู้สึก ซึ่งเป็นอะไรที่แทบจะหาไม่ได้เลยในหนังแนวนี้
สุดท้ายนี้อยากให้ Zero Dark Thirty คว้าออสการ์มาครอง เพราะนี้คือ Masterpiece of Filmmaking ชัดๆ ปกติผมไม่ค่อยยกย่องหนังแนวนี้เท่าไหร่ เฉยๆกับ The Hurt Locker (ที่ดูนานจนลืมไปแล้ว) แต่กับเรื่องนี้สุดๆจริงๆ ( ตอนแรกเชียร์ Amour กับ Beasts of.... แต่เปลี่ยนใจและ )
*แก้ไขคำพิมพ์ตกหล่น
Zero Dark Thirty : ขอคารวะแม่นาง Kathryn Bigelow คุณสุดยอดมากๆ (Spoil)
ขอกราบแม่นาง Kathryn Bigelow และมือเขียนบท Mark Boal งามๆซักสามที ดูเหมือนคำว่า "ยอดเยี่ยม มหัศจรรย์" คงนิยามหนังเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว และการที่แม่นาง Kathryn Bigelow ไม่เข้าชิงออสการ์คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรงมากๆ และนี้คือรีวิวความรู้สึกของผมต่อหนังเรื่องนี้
Zero Dark Thirty คือหนังที่สร้างบรรยากาศให้คนดูมีความรู้สึกร่วมถึงแม้จะรู้ตอนจบ สเหมือนเข้าไปร่วมสืบสวนในหนังจริงๆ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่แม่นยำ ความครุมครือ และความมืดหม่นของกระบวนการทำงานของ CIA นอกจากนี้ยังแสดงให้ถึงการผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างการกำกับของ Kathryn Bigelow และบทของ Mark Boal ที่ผสมกลืนกันอย่างลงตัว จนสามารถประครองความ suspense ได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้นจนจบ การตัดต่อที่คมกริบไร้ที่ติ(โดยเฉพาะฉากบุกสังหาร) การแสดงที่ยอดเยี่ยม ผสานกับสกอร์ของ Alexandre Desplat ที่ให้ความรู้สึกลึกลับและคลุมเครือ ซึ่งเข้ากับบริบทของหนังเป็นอย่างมาก จนทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าโลกเราไม่ได้มีหนัง Thriller-Suspense ที่มีองค์ประกอบชั้นยอดขนาดนี้ออกมานานขนาดไหนแล้ว
ถึงจะรู้ตอนจบแล้ว แต่หนังก็ยังค่อยๆย่อยรายละเอียดการสืบสวนอย่างไม่เร่งรีบ แต่มีพลัง จากที่ภาพรางๆของ บิน-ลาเดน จนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และสามารถนำความรู้สึก ความอยากรู้อยากเห็น ไปประจบกันที่ช่วงท้ายเรื่อง จนทำให้มีความรู้สึกเหมือนอยากจะจุดระเบิดนิวเคลียร์ในที่ที่เราต้องการทำลายมากที่สุด(ไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายความรู้สึกดี) ส่งผลให้การบุกสังหารในช่วง 30 นาทีช่วงท้ายของหนัง กลายเป็นฉากบุกสังหารที่อาจจะดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่ใช่แค่ความสมจริง แต่หนังสามารถพาอารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดมาระเบิดไว้ที่ฉากนี้ฉากเดียวได้อย่างทรงพลัง(โคตรๆ)
ที่ชอบมากๆ คือคาเรคเตอร์หลักอย่าง Maya รับบทโดย Jessica Chastain เธอสามารถแสดงให้เห็นถึงความกดดันต่อความรับผิดชอบที่เธอต้องแบกรับ และความพยายามเพื่อที่จะสืบหาเป้าหมายให้สำเร็จ เราจะเห็นออร่อรอบๆตัวเธอในทุกๆครั้งที่เธออยู่ในฉาก และเราจะรู้สึกตามที่ตัวละครนี้รู้สึกไปตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ผ่านการแสดงสีหน้าและแววตาของเธอ
ไม่ใช่แค่การไล่ล่า บิน-ลาเดน แต่หนังแอบตั้งคำถามกับเกี่ยวกับศีลธรรม ในแง่การทำงานของ CIA ที่ทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะสังหารเป้าหมายให้สำเร็จ ไม่ว่าจะในแง่ของการทรมานนักโทษเพื่อเค้นหาความจริง หรือการบุกอย่างอุจอาจเพื่่อเข้าไปสังหารเป้าหมายที่ต้องการ โดยที่ทางเจ้าของประเทศไม่รู้เรื่อง และดูเหมือนไม่แคร์ถ้าเป้าหมายที่สังหารเกิดไม่ใช่บุคคลที่ตามล่า ซึ่งตรงนี้คนดูจะเป็นผู้ตัดสินเอง โดยเมื่อมองย้อนการกระของผู้ก่อการร้ายรายนี้มันมีความจำเป็นพอรึเปล่าที่จะใช้วิธีการแบบนี้ และยังแสดงเห็นถึงว่ากระบวนการทำงานของหน่วยงานนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบและชัดเจน อย่างที่ภาพลักษณ์ในหนังหลายๆเรื่องแสดงให้เห็น มันยังคงมี Human Error เกิดขึ้นบ้าง
ฉากสุดท้าย หยดน้ำตาของ Jessica Chastain เป็นอะไรที่มูฟความรู้สึกมากๆ สำหรับผมนี้คือฉากจบที่ดีที่สุดในปีที่ผ่านมา(อ้างตามเวลาฉายในอเมริกา) มันเป็นความรู้สึกปิติกับความสำเร็จ ความโล่งใจ เพราะสิ่งที่เธอทำมันอาจช่วยชีวิตชาวอเมริกันได้นับพันๆคน และหนังทั้งเรื่องยังสามารถดีเวลล็อปความรู้สึกนี้มาถึงคนดูให้รับรู้เช่นเดียวกับที่เธอรู้สึก ซึ่งเป็นอะไรที่แทบจะหาไม่ได้เลยในหนังแนวนี้
สุดท้ายนี้อยากให้ Zero Dark Thirty คว้าออสการ์มาครอง เพราะนี้คือ Masterpiece of Filmmaking ชัดๆ ปกติผมไม่ค่อยยกย่องหนังแนวนี้เท่าไหร่ เฉยๆกับ The Hurt Locker (ที่ดูนานจนลืมไปแล้ว) แต่กับเรื่องนี้สุดๆจริงๆ ( ตอนแรกเชียร์ Amour กับ Beasts of.... แต่เปลี่ยนใจและ )
*แก้ไขคำพิมพ์ตกหล่น