Zero Dark Thirty (2012)
Genre : History, Drama, Thriller, Little Action
Director : Kathryn Bigelow
Screenplay : Mark Boal
ข้อควรรู้ก่อนดู Zero Dark Thirty
1. ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน ยิ่งถ้าคาดหวังสืบสวนขั้นเทพ หรือคาดหวังแอคชั่นมัน ๆ บอกผ่านได้เลย
2. นี่คือหนังแนวสืบสวนแกะรอยเพื่อเข้าถึงตัวโอซามะ บิน ลาเดน และเทครึ่งชั่วโมงสุดท้ายให้ปฏิบัติการ "Operation Neptune Spear" ซึ่งก็คือการบุกฝ่าพรมแดนปากีสถานเข้าไปสังหารบิน ลาเดน
3. ในความเห็นผม หนังโปรอเมริกาครับ เหมือนเป็นการหาความชอบธรรมในการกำจัดผู้ก่อการร้าย และในอีกแง่การมาพร้อมกับ Argo ทำให้ผมมองว่าโลก Hollywood กำลังเชิดชู CIA ครับ
4. ชื่อหนังเป็นศัพท์แสลงของทหารครับ หมายถึงเวลาที่ไม่แน่นอนหลังเที่ยงคืนครึ่งจนถึงเช้าครับ
ด้วยข้อจำกัดความเป็นหนัง"อ้างอิงจากเรื่องจริง" แถมยังพึ่งเกิดเมื่อ 2 พฤษภาคม 2011 ทำให้ Mark Boal ไม่สามารถเขียนบทใส่สีตีไข่ได้มากเท่าที่ควร แต่ถึงแม้อ้างอิงจากเรื่องจริงก็ต้องชมฝีมือการกำกับของ Kathryn Bigelow ที่สามารถสร้างความกดดันให้คนดูได้ในหลาย ๆ ฉาก บางช่วงของหนังสร้างความกดดันจากการไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ถัดไปได้ เป็นอารมณ์คล้ายเมื่อครั้งที่ผมดู The Hurt Locker ของผู้กำกับคนเดียวกันนี้ (ซึ่งต่างจาก Argo ที่เรื่องผ่านมานานและ Ben Affleck ก็แต่งเติมนู่นนี่จนกลายเป็นหนังที่ลุ้นระทึก)
กว่าสองชั่วโมงที่หนังเริ่มต้นสร้างอารมณ์คนดูตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 จนถึงการค้นเจอสถานที่ที่เชื่อว่าเป็นที่ซ่อนตัวของบิน ลาเดน ผู้กำกับเริ่มตั้งต้นด้วยภาพการทรมานผู้ต้องหาก่อนจะใช้ปากคำต่าง ๆ ค่อยรวบรวมเข้ากับข้อมูลที่มีเพื่อจะหาคนกลางที่สามารถเข้าถึงตัวบิน ลาเดนได้ โดยแทรกเหตุการณ์จริงระเบิดฆ่าตัวตายของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเข้ามาเพื่อบอกช่วงเวลาของหนัง
แนวทาง Thriller สืบสวนสอบสวนแกะรอยของ Zero Dark Thirty ไม่เข้มข้นเท่าที่ควรครับ อาจจะด้วยข้อจำกัดของความลับทางราชการหรือไม่สามารถเปิดเผยได้ก็แล้วแต่ ทำให้หลาย ๆ จุดของการสืบสวนเป็นการบอกผู้ชมผ่าน ๆ มากกว่า (และบางฉากผมก็ชอบมาก เช่นการระบุเพศและจำนวนครอบครัวในบ้านของบิน ลาเดนจากภาพถ่ายดาวเทียม โดยคาดคะเนจากธรรมชาติของมุสลิม) ซึ่งอย่างน้อยก็ไม่ได้บกพร่องอะไร เพราะคนดูสามารถปะติดปะต่อฉากต่อฉากจากจุดเริ่มต้นจนถึงตอนจบได้อยู่ดีครับ
ไฮไลท์ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือ "Operation Neptune Spear" ตอนท้ายเรื่องนั่นเองครับ ภาพปฏิบัติการในเวลากลางคืนออกมาสมจริงมาก ไม่มีดนตรีประกอบ เสียงในฉากล้วนมาจากธรรมชาติ มืดเป็นมืด แสงน้อยเป็นแสงน้อย เข้าใจว่าไม่ได้มีการจัดแสงช่วยด้วยครับ ขั้นตอนปฏิบัติภารกิจก็ถอดยุทธวิธีหน่วยซีลมาเลยครับ และหนังยังเพิ่มความสมจริงด้วยการให้คนดูอยู่ในโหมด Night Visions เหมือนสายตาหน่วยซีลในบางฉาก ยังไม่นับว่ามุมกล้องที่ถ่ายทอดความกดดันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนเดินตามหลังหน่วยซีลต้อย ๆ ครับ
ขอพูดถึงนิดนึงเรื่องทำไมต้องจับตายและยิงซ้ำคนนอกเหนือเป้าหมาย คือเวลาปฏิบัติการเขาจะเซฟชีวิตทีมของเขามากกว่าครับ ไม่เห็นมือหรือไม่แน่ใจเขาจะยิงทันทีครับ กลัวซ่อนระเบิด กลัวหยิบอาวุธอะไรแบบนี้น่ะครับ ดังนั้นที่เห็นในหนังจึงไม่ต้องแปลกใจครับ
การแสดงของ Jessica Chastain ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมครับ เธอมีดีพอจะคว้าออสการ์ครับ อารมณ์มือใหม่ สายตาเริ่มท้อ สีหน้ายามมีความหวัง แม้กระทั่งการแสดงช่วงจบเรื่องราว เธอแสดงได้เหมือนถอดบุคลิกและเข้าถึงความรู้สึกตัวละครจริง ๆ ผมชอบผลงานการแสดงของเธอทุกเรื่องเลย ตอนมีชื่อเข้าชิงออสการ์สมทบหญิงจาก The Help ผมก็เชียร์เธอให้ได้ออสการ์ หรือผลงานอย่าง Take Shelter, The Tree of Life, The Debt เธอแสดงดีมาตลอดครับ ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะแบกหนังอย่าง Zero Dark Thirty ได้อยู่หมัด
ถึงตรงนี้ผมขอใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นตัวบอกว่าผมชอบ Zero Dark Thirty ครับ Kathryn Bigelow และ Mark Boal ย่อขั้นตอนการแกะรอยบิน ลาเดนออกมาให้เข้าใจง่าย ดูจริงจังสมจริงด้วยขั้นตอนในแบบ CIA ความกดดันที่ใส่เข้ามาเป็นช่วง ๆ ก็ถือว่าทำได้ดี ยิ่งไฮไลท์ช่วงท้ายนั้นผมบอกได้เลยว่ายอดเยี่ยมมาก ๆ และถ้าหากต้องเปรียบเทียบกับ The Hurt Locker ซึ่งถึงแม้จะเป็น Drama Thriller เหมือนกันแต่ต่างกันที่ข้อจำกัดการทำหนังอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงเนี่ยแหละครับ ผมอาจจะชอบ The Hurt Locker มากกว่าในแง่ความรู้สึกกดดันตลอดทั้งเรื่อง แต่ Zero Dark Thirty ก็มีดีในแบบตัวเองครับ
Why You Can't Miss : คุณไม่อยากรู้ขั้นตอนภารกิจปลิดชีวิตบิน ลาเดนหรอครับ?
9/10
[CR] [Review] Zero Dark Thirty หนังสืบสวนแกะรอย Bin Laden ที่ดำเนินเรื่องสมจริงและปล่อยของฉากปฏิบัติการอย่างยอดเยี่ยม
Genre : History, Drama, Thriller, Little Action
Director : Kathryn Bigelow
Screenplay : Mark Boal
ข้อควรรู้ก่อนดู Zero Dark Thirty
1. ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน ยิ่งถ้าคาดหวังสืบสวนขั้นเทพ หรือคาดหวังแอคชั่นมัน ๆ บอกผ่านได้เลย
2. นี่คือหนังแนวสืบสวนแกะรอยเพื่อเข้าถึงตัวโอซามะ บิน ลาเดน และเทครึ่งชั่วโมงสุดท้ายให้ปฏิบัติการ "Operation Neptune Spear" ซึ่งก็คือการบุกฝ่าพรมแดนปากีสถานเข้าไปสังหารบิน ลาเดน
3. ในความเห็นผม หนังโปรอเมริกาครับ เหมือนเป็นการหาความชอบธรรมในการกำจัดผู้ก่อการร้าย และในอีกแง่การมาพร้อมกับ Argo ทำให้ผมมองว่าโลก Hollywood กำลังเชิดชู CIA ครับ
4. ชื่อหนังเป็นศัพท์แสลงของทหารครับ หมายถึงเวลาที่ไม่แน่นอนหลังเที่ยงคืนครึ่งจนถึงเช้าครับ
ด้วยข้อจำกัดความเป็นหนัง"อ้างอิงจากเรื่องจริง" แถมยังพึ่งเกิดเมื่อ 2 พฤษภาคม 2011 ทำให้ Mark Boal ไม่สามารถเขียนบทใส่สีตีไข่ได้มากเท่าที่ควร แต่ถึงแม้อ้างอิงจากเรื่องจริงก็ต้องชมฝีมือการกำกับของ Kathryn Bigelow ที่สามารถสร้างความกดดันให้คนดูได้ในหลาย ๆ ฉาก บางช่วงของหนังสร้างความกดดันจากการไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ถัดไปได้ เป็นอารมณ์คล้ายเมื่อครั้งที่ผมดู The Hurt Locker ของผู้กำกับคนเดียวกันนี้ (ซึ่งต่างจาก Argo ที่เรื่องผ่านมานานและ Ben Affleck ก็แต่งเติมนู่นนี่จนกลายเป็นหนังที่ลุ้นระทึก)
กว่าสองชั่วโมงที่หนังเริ่มต้นสร้างอารมณ์คนดูตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 จนถึงการค้นเจอสถานที่ที่เชื่อว่าเป็นที่ซ่อนตัวของบิน ลาเดน ผู้กำกับเริ่มตั้งต้นด้วยภาพการทรมานผู้ต้องหาก่อนจะใช้ปากคำต่าง ๆ ค่อยรวบรวมเข้ากับข้อมูลที่มีเพื่อจะหาคนกลางที่สามารถเข้าถึงตัวบิน ลาเดนได้ โดยแทรกเหตุการณ์จริงระเบิดฆ่าตัวตายของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเข้ามาเพื่อบอกช่วงเวลาของหนัง
แนวทาง Thriller สืบสวนสอบสวนแกะรอยของ Zero Dark Thirty ไม่เข้มข้นเท่าที่ควรครับ อาจจะด้วยข้อจำกัดของความลับทางราชการหรือไม่สามารถเปิดเผยได้ก็แล้วแต่ ทำให้หลาย ๆ จุดของการสืบสวนเป็นการบอกผู้ชมผ่าน ๆ มากกว่า (และบางฉากผมก็ชอบมาก เช่นการระบุเพศและจำนวนครอบครัวในบ้านของบิน ลาเดนจากภาพถ่ายดาวเทียม โดยคาดคะเนจากธรรมชาติของมุสลิม) ซึ่งอย่างน้อยก็ไม่ได้บกพร่องอะไร เพราะคนดูสามารถปะติดปะต่อฉากต่อฉากจากจุดเริ่มต้นจนถึงตอนจบได้อยู่ดีครับ
ไฮไลท์ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือ "Operation Neptune Spear" ตอนท้ายเรื่องนั่นเองครับ ภาพปฏิบัติการในเวลากลางคืนออกมาสมจริงมาก ไม่มีดนตรีประกอบ เสียงในฉากล้วนมาจากธรรมชาติ มืดเป็นมืด แสงน้อยเป็นแสงน้อย เข้าใจว่าไม่ได้มีการจัดแสงช่วยด้วยครับ ขั้นตอนปฏิบัติภารกิจก็ถอดยุทธวิธีหน่วยซีลมาเลยครับ และหนังยังเพิ่มความสมจริงด้วยการให้คนดูอยู่ในโหมด Night Visions เหมือนสายตาหน่วยซีลในบางฉาก ยังไม่นับว่ามุมกล้องที่ถ่ายทอดความกดดันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนเดินตามหลังหน่วยซีลต้อย ๆ ครับ
ขอพูดถึงนิดนึงเรื่องทำไมต้องจับตายและยิงซ้ำคนนอกเหนือเป้าหมาย คือเวลาปฏิบัติการเขาจะเซฟชีวิตทีมของเขามากกว่าครับ ไม่เห็นมือหรือไม่แน่ใจเขาจะยิงทันทีครับ กลัวซ่อนระเบิด กลัวหยิบอาวุธอะไรแบบนี้น่ะครับ ดังนั้นที่เห็นในหนังจึงไม่ต้องแปลกใจครับ
การแสดงของ Jessica Chastain ต้องบอกว่ายอดเยี่ยมครับ เธอมีดีพอจะคว้าออสการ์ครับ อารมณ์มือใหม่ สายตาเริ่มท้อ สีหน้ายามมีความหวัง แม้กระทั่งการแสดงช่วงจบเรื่องราว เธอแสดงได้เหมือนถอดบุคลิกและเข้าถึงความรู้สึกตัวละครจริง ๆ ผมชอบผลงานการแสดงของเธอทุกเรื่องเลย ตอนมีชื่อเข้าชิงออสการ์สมทบหญิงจาก The Help ผมก็เชียร์เธอให้ได้ออสการ์ หรือผลงานอย่าง Take Shelter, The Tree of Life, The Debt เธอแสดงดีมาตลอดครับ ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะแบกหนังอย่าง Zero Dark Thirty ได้อยู่หมัด
ถึงตรงนี้ผมขอใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นตัวบอกว่าผมชอบ Zero Dark Thirty ครับ Kathryn Bigelow และ Mark Boal ย่อขั้นตอนการแกะรอยบิน ลาเดนออกมาให้เข้าใจง่าย ดูจริงจังสมจริงด้วยขั้นตอนในแบบ CIA ความกดดันที่ใส่เข้ามาเป็นช่วง ๆ ก็ถือว่าทำได้ดี ยิ่งไฮไลท์ช่วงท้ายนั้นผมบอกได้เลยว่ายอดเยี่ยมมาก ๆ และถ้าหากต้องเปรียบเทียบกับ The Hurt Locker ซึ่งถึงแม้จะเป็น Drama Thriller เหมือนกันแต่ต่างกันที่ข้อจำกัดการทำหนังอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงเนี่ยแหละครับ ผมอาจจะชอบ The Hurt Locker มากกว่าในแง่ความรู้สึกกดดันตลอดทั้งเรื่อง แต่ Zero Dark Thirty ก็มีดีในแบบตัวเองครับ
Why You Can't Miss : คุณไม่อยากรู้ขั้นตอนภารกิจปลิดชีวิตบิน ลาเดนหรอครับ?
9/10