เรื่องเกี่ยวกับ คอเลสเตอรอล ที่คนส่วนมากน่าจะไม่เคยได้ยิน
นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
ผมเคยเล่าให้ฟัง เรื่องคนเราถูกหลอกให้ลดคอเลสเตอรอลโดยไม่จำเป็น มาแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เที่ยวนี้ขอกลับมาเล่าใหม่ ดังนี้ครับ :
คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ" คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
กลับกลายเป็น "โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?
ความกลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน แต่ความกลัวก็เป็นสิ่งที่
บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนขายยายังไงเล่า
การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
คอเลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์
สร้างฮอร์โมนเพศ สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด
ต่อมามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อ
โรคหัวใจหลอดเลือด แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า คอเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้
และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ
นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยาซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ
ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า "บริษัทยาถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วยเท่านั้น
แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง คือผลิตยาขายให้กับคนสุขภาพดี ให้บริษัท
สามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"
แปลฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ นายแกดสเดนคิดว่า ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดคอเลสเตอรอล
ให้กับผู้ป่วยจริงๆ คือพวกโรคหัวใจ เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย
แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น
คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้โต๊ะ" กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐซึ่ง
มีหน้าที่กำหนดค่ามาตรฐานของคอเลสเตอรอลในเลือด ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจากเดิม
ที่ 250 ม.ก./ด.ล. มาเป็น 200 ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001
ผลก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากร
หลายสิบล้านคนทั่วโลก ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว ตื่นขึ้นมาก็พบว่า
ตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน ในปี ค.ศ.1990 จึงเพิ่มกลุ่มประชากรที่
ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดยคณะ
ผู้เชี่ยวชาญ (ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว
ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงิน
กับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9 ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยายักษ์
ใหญ่ มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน
ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่
ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ
คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะ นักบริโภคยาลดไขมัน
คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคคอเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน 250 ม.ก./ด.ล.
แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า "มีงนวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอลที่
ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล. เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250 ม.ก./ด.ล.
ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดคอเลสเตอรอลให้คุณละนะ
ไหนๆ คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว" ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างหน้าชื่น
แต่คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ ใน
การกินอาหารจนคอเลสเตอรอลสูง ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป
แล้วคอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้
ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ไขมันที่คุณกินเข้าไป
อย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด
คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ ให้ตับเก็บรับ
คอเลสเตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง
ผลก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการ
กลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง
พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ
จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย
จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว
แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนคอเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา แต่บอกผู้ป่วยว่า
"คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"
เรื่องของคอเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อ
ของการแพทย์พาณิชย์ นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้
ส่วนประเด็นที่สองก็คือ คอเลสเตอรอลสูงแท้ที่จริงไม่สำคัญเท่ากับว่า เป็นคอเลสเตอรอลชนิดไหนที่สูง
และชนิดไหนที่ต่ำ เราทราบมาจากสัปดาห์ที่แล้วว่า HDL-Chol เป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี
เราต้องการให้มันสูง ส่วน LDL-Chol เป็นไขมันชนิดไม่ดี เราต้องการให้มันต่ำ
ดังนั้น การตรวจพบว่าคอเลสเตอรอลรวม (Total Chol) สูงแล้วมัวนั่งปริวิตกนั้น เป็นเรื่องไม่สมควร ต้องดูว่าเป็นชนิดไหน
ในที่นี้ขอแนะนำตัวเลขสัดส่วนของคอเลสเตอรอล เพื่อใช้คำนวณว่าสภาพไขมันในเลือดดีหรือไม่ดี
กันแน่ มีสัดส่วนของไขมันอยู่สองค่าที่ควรรู้จัก กล่าวคือ :
1) Total Chol หารด้วย HDL-Chol จะให้ดีต้องไม่สูงกว่า 4.6
2) LDL-Chol หารด้วย HDL-Chol จะให้ดีต้องไม่สูงกว่า 3
นั่นหมายความว่า ถ้าคุณพบว่า Total-Chol ของคุณสูง แต่ถ้าคุณมีค่า HDL-Chol สูง เมื่อหารกัน
แล้วก็อาจจะต่ำกว่า 4.6 แปลว่า การสูงของคอเลสเตอรอลรวมของคุณนั้น ที่แท้แล้วมาจากการสูงของไขมันที่ดี
หรืออีกนัยหนึ่ง ดูว่าไขมันที่เลวกับไขมันที่ดี ต่างกันไม่เกินสามเท่า แปลว่าสัดส่วนของไขมันในตัว
คุณนั้น อยู่ในสภาพเยี่ยมยอด เราจะพบกรณีเช่นนี้ในผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ในคนที่กินผัก
ได้รับเบต้าแคโรทีนเหลือเฟือ หรือคนที่กินข้าวกล้อง ถั่วต่างๆ มีวิตามินอีเหลือเฟือ
ยกตัวอย่างผู้รักสุขภาพรายหนึ่ง เป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล่นเวต
ภาพลักษณ์ของไขมันในเลือดเป็น :
T-Chol 231 ม.í./ด.ล. Trigly 91 ม.ก./ด.ล.
HDL-Chol 54 ม.ก./ด.ล. LDL-Chol 160 ม.ก./ด.ล.
มองดูเผินๆ คนนี้มีคอเลสเตอรอลสูง และค่า LDL-Chol ก็สูงกว่าปกติ (<150 ม.ก./ด.ล.) แต่ถ้าหา
สัดส่วนไขมันจะเห็นว่า
T-Chol 231 หารด้วย HDL-Chol 54 = 4.28
LDL-Chol 160 หารด้วย HDL-Chol 54 = 2.96
ถือว่าสุขภาพดี
ตัวอย่างครูโยคะรายหนึ่ง รูปร่างดี หน้าตาสะสวย เธอมีภาพลักษณ์ไขมันในเลือดดังนี้ :
T-Chol 234 H ม.ก./ด.ล. Trigly 60 ม.ก./ด.ล.
HDL-Chol 85 ม.ก./ด.ล. LDL-Chol 137 ม.ก./ด.ล.
เนื่องจากเธอถูกตรวจด้วยเครื่องอัตโนมัติในโรงพยาบาลมันก็จะตีตัว H บอกมาในเลือด แปลว่า
ไขมันเลือดสูงแล้วนะ ทำให้เธอไม่สบายใจ อยู่มาวันหนึ่งเธอได้พบกับผม แล้วเอาตัวเลขมาดูกัน
ถ้าดูสัดส่วนจะพบว่า :
T-Chol 234 หารด้วย HDL-Chol 85 = 2.75
LDL-Chol 137 หารด้วย HDL-Chol 85 = 1.61
ถือว่าสุขภาพดีอย่างเยี่ยมยอดเพราะผลจากการฝึกโยคะสม่ำเสมอของเธอนั่นเอง เสียดายที่ว่าระบบ
ตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ใช้เครื่องตรวจไม่มีโอกาสพบแพทย์เลย ปัญหาจึงเกิดขึ้นเนืองๆ__
>>> เรื่องเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ --- เห็นว่าน่าสนใจ เลยเอามาฝากค่ะ <<<
นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
ผมเคยเล่าให้ฟัง เรื่องคนเราถูกหลอกให้ลดคอเลสเตอรอลโดยไม่จำเป็น มาแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน เที่ยวนี้ขอกลับมาเล่าใหม่ ดังนี้ครับ :
คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมจู่ๆ "ภาวะ" คอเลสเตอรอลสูงซึ่งไม่เป็นที่รู้จักเลยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว
กลับกลายเป็น "โรค" ซึ่งสร้างความกลัว ความวิตกกังวลให้กับคนนับสิบล้านทั่วโลก?
ความกลัวคือความทุกข์ประการหนึ่ง เป็นสิ่งที่บั่นทอนความสุขของผู้คน แต่ความกลัวก็เป็นสิ่งที่
บันดาลความสุขให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ คนขายยายังไงเล่า
การสร้างความกลัวดังกล่าวให้รายได้กับบริษัทยาทั่วโลกมากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
คอเลสเตอรอลเป็นสารองค์ประกอบที่จำเป็นตัวหนึ่งในร่างกายของเรา เราใช้มันสร้างเยื่อหุ้มเซลล์
สร้างฮอร์โมนเพศ สร้างฮอร์โมนคอร์ติโซลเพื่อช่วยระบบร่างกายแบกรับความเครียด
ต่อมามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงว่า ระดับคอเลสเตอรอลสูงในเลือดมีความสัมพันธ์ต่อ
โรคหัวใจหลอดเลือด แต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า คอเลสเตอรอลที่ระดับเท่าไหร่จึงจะเสี่ยงต่อโรคกลุ่มนี้
และมีประชากรจำนวนกี่คนที่จะเสี่ยงต่อเรื่องนี้จริงๆ
นายเฮนรี แกดสเดน ซึ่งเป็นประธานบริษัทเมิร์ก ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจยาซึ่งกำลังจะเกษียณอายุ
ได้ให้สัมภาษณ์นิตยสารฟอร์จูนว่า "บริษัทยาถูกจำกัดศักยภาพไว้ให้อยู่เฉพาะกับผู้เจ็บป่วยเท่านั้น
แท้จริงแล้วบริษัทเมิร์กควรทำแบบบริษัทขายหมากฝรั่ง คือผลิตยาขายให้กับคนสุขภาพดี ให้บริษัท
สามารถขายยาให้แก่ทุกๆ คน"
แปลฝรั่งพูดไทยให้คนไทยฟังก็คือ นายแกดสเดนคิดว่า ถ้าเขามัวแต่ขายยาลดคอเลสเตอรอล
ให้กับผู้ป่วยจริงๆ คือพวกโรคหัวใจ เขาก็จะรวยช้า จำเป็นอยู่เองที่เขาจะต้องทำให้คนปกติที่ไม่ป่วย
แต่เข้าใจว่าตัวเองป่วย และหันมากินยาลดไขมันของเขา เขาจะได้รวยเร็วขึ้น
คิดได้ดังนั้นแล้ว นายเฮนรี แกดสเดน ก็จัดการทำ "ใต้โต๊ะ" กับคณะผู้เชี่ยวชาญชุดหนึ่งในสหรัฐซึ่ง
มีหน้าที่กำหนดค่ามาตรฐานของคอเลสเตอรอลในเลือด ให้ปรับค่าปกติของคอเลสเตอรอลจากเดิม
ที่ 250 ม.ก./ด.ล. มาเป็น 200 ม.ก./ด.ล. งานนี้ประชุมกันในปลายปี ค.ศ.2001
ผลก็คือ หลังการประชุมในคืนนั้นคนทั่วโลกนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็พบว่ามีประชากร
หลายสิบล้านคนทั่วโลก ซึ่งเมื่อวานนี้ยังเป็นคนปกติอยู่ แต่นอนหลับไปคืนเดียว ตื่นขึ้นมาก็พบว่า
ตนกลายเป็นผู้ป่วยไปเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้ยาสแตตินซึ่งครอบคลุมชาวอเมริกัน 13 ล้านคน ในปี ค.ศ.1990 จึงเพิ่มกลุ่มประชากรที่
ต้องบริโภคยาเป็น 36 ล้านคน ภายในชั่วข้ามคืนเดียวตามกำหนดของหลักเกณฑ์ใหม่โดยคณะ
ผู้เชี่ยวชาญ (ด้านการใช้ยา) ในปีดังกล่าว
ซึ่งต่อมามีความจริงที่พบว่า คณะผู้เชี่ยวชาญคณะนี้มี 14 คน มี 5 คน ที่มีความสัมพันธ์ด้านการเงิน
กับผู้ผลิตสแตติน 8 ใน 9 ของคนคณะนี้รับจ้างบรรยาย เป็นที่ปรึกษา หรือทำวิจัยให้บริษัทยายักษ์
ใหญ่ มีผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งรับเงินจากบริษัทถึง 10 บริษัทด้วยกัน
ความเชื่อมโยงเหล่านี้ไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะ จนมีองค์กรสื่อในอเมริกานำมาเปิดโปง และเกิดวิวาทะครั้งใหญ่
ใครที่สนใจเรื่องนี้ไปหาอ่านได้ในหนังสือ "อุบายขายโรค" พิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน เป็นบรรณาธิการ
คุณเป็นอีกคนหนึ่งใช่ไหมที่ตกอยู่ในฐานะ นักบริโภคยาลดไขมัน
คงจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้หมอเคยชี้ว่าคุณเป็นโรคคอเลสเตอรอลสูงเมื่อระดับเกิน 250 ม.ก./ด.ล.
แต่ต่อมาไม่นานกลับไปหาหมอคนเดิม ทีนี้ท่านบอกคุณว่า "มีงนวิจัยใหม่แล้วว่าคอเลสเตอรอลที่
ปลอดภัยต้องไม่เกิน 200 ม.ก./ด.ล. เพราะคนที่ระดับคอเลสเตอรอลระหว่าง 200-250 ม.ก./ด.ล.
ก็มีสิทธิตายด้วยหัวใจหลอดเลือดอีกตั้งเยอะ เห็นท่าจะจำเป็นจ่ายยาลดคอเลสเตอรอลให้คุณละนะ
ไหนๆ คุณก็เบิกค่ารักษาพยาบาลได้อยู่แล้ว" ดังนั้น คุณก็ยอมรับอย่างหน้าชื่น
แต่คุณรู้ไหมว่า ยาลดไขมันเหล่านี้เข้าไปทำหน้าที่อย่างไรในร่างกาย ทำไมจู่ๆ คนมีนิสัยแย่ๆ ใน
การกินอาหารจนคอเลสเตอรอลสูง ครั้นหันมากินยาลดไขมันแต่ยังคงดำเนินชีวิตแย่ๆ ต่อไป
แล้วคอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลงได้
ตามหลักฟิสิกส์แล้ว สสารย่อมไม่สูญสลายไปไหน แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ไขมันที่คุณกินเข้าไป
อย่างตามใจปาก มันหายไปไหนหมด
คำตอบก็คือ ยาลดไขมันไปทำหน้าที่เพิ่มปุ่มรับ (receptor) บนเซลล์ตับ ให้ตับเก็บรับ
คอเลสเตอรอลจากกระแสเลือด แล้วไปซุกอยู่ในเซลล์ตับนั่นเอง
ผลก็คือการหลอกลวงว่า ในเลือดของเราหลังกินยาแล้วหลอดเลือดสะอาด แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการ
กลบเกลื่อนหลักฐานของนิสัยบริโภคนิยมที่เหลวไหล เหมือนการกวาดเอาขยะไปซุกอยู่ใต้พรมนั่นเอง
พูดง่ายๆ ว่าไขมันเหล่านั้นย้ายที่อยู่ไปซุกอยู่ในตับ
จึงพบความจริงว่าใครก็ตามกินยาลดไขมันไป 3-5 ปี ขอท้าพิสูจน์ให้ไปตรวจอัลตราซาวด์ตับได้เลย
จะพบผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว
แถมปัจจุบันนี้คนที่กินยาจนคอเลสเตอรอลต่ำมากแล้ว หมอยังไม่ยอมเลิกจ่ายยา แต่บอกผู้ป่วยว่า
"คุณต้องกินยาตลอดชีวิต"
เรื่องของคอเลสเตอรอลจึงมีเรื่องราวซ่อนเงื่อนทางธุรกิจอยู่มากมาย และผู้บริโภคก็ตกเป็นเหยื่อ
ของการแพทย์พาณิชย์ นี่คือประเด็นที่หนึ่งที่จะชี้ให้เห็นในวันนี้
ส่วนประเด็นที่สองก็คือ คอเลสเตอรอลสูงแท้ที่จริงไม่สำคัญเท่ากับว่า เป็นคอเลสเตอรอลชนิดไหนที่สูง
และชนิดไหนที่ต่ำ เราทราบมาจากสัปดาห์ที่แล้วว่า HDL-Chol เป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี
เราต้องการให้มันสูง ส่วน LDL-Chol เป็นไขมันชนิดไม่ดี เราต้องการให้มันต่ำ
ดังนั้น การตรวจพบว่าคอเลสเตอรอลรวม (Total Chol) สูงแล้วมัวนั่งปริวิตกนั้น เป็นเรื่องไม่สมควร ต้องดูว่าเป็นชนิดไหน
ในที่นี้ขอแนะนำตัวเลขสัดส่วนของคอเลสเตอรอล เพื่อใช้คำนวณว่าสภาพไขมันในเลือดดีหรือไม่ดี
กันแน่ มีสัดส่วนของไขมันอยู่สองค่าที่ควรรู้จัก กล่าวคือ :
1) Total Chol หารด้วย HDL-Chol จะให้ดีต้องไม่สูงกว่า 4.6
2) LDL-Chol หารด้วย HDL-Chol จะให้ดีต้องไม่สูงกว่า 3
นั่นหมายความว่า ถ้าคุณพบว่า Total-Chol ของคุณสูง แต่ถ้าคุณมีค่า HDL-Chol สูง เมื่อหารกัน
แล้วก็อาจจะต่ำกว่า 4.6 แปลว่า การสูงของคอเลสเตอรอลรวมของคุณนั้น ที่แท้แล้วมาจากการสูงของไขมันที่ดี
หรืออีกนัยหนึ่ง ดูว่าไขมันที่เลวกับไขมันที่ดี ต่างกันไม่เกินสามเท่า แปลว่าสัดส่วนของไขมันในตัว
คุณนั้น อยู่ในสภาพเยี่ยมยอด เราจะพบกรณีเช่นนี้ในผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ในคนที่กินผัก
ได้รับเบต้าแคโรทีนเหลือเฟือ หรือคนที่กินข้าวกล้อง ถั่วต่างๆ มีวิตามินอีเหลือเฟือ
ยกตัวอย่างผู้รักสุขภาพรายหนึ่ง เป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล่นเวต
ภาพลักษณ์ของไขมันในเลือดเป็น :
T-Chol 231 ม.í./ด.ล. Trigly 91 ม.ก./ด.ล.
HDL-Chol 54 ม.ก./ด.ล. LDL-Chol 160 ม.ก./ด.ล.
มองดูเผินๆ คนนี้มีคอเลสเตอรอลสูง และค่า LDL-Chol ก็สูงกว่าปกติ (<150 ม.ก./ด.ล.) แต่ถ้าหา
สัดส่วนไขมันจะเห็นว่า
T-Chol 231 หารด้วย HDL-Chol 54 = 4.28
LDL-Chol 160 หารด้วย HDL-Chol 54 = 2.96
ถือว่าสุขภาพดี
ตัวอย่างครูโยคะรายหนึ่ง รูปร่างดี หน้าตาสะสวย เธอมีภาพลักษณ์ไขมันในเลือดดังนี้ :
T-Chol 234 H ม.ก./ด.ล. Trigly 60 ม.ก./ด.ล.
HDL-Chol 85 ม.ก./ด.ล. LDL-Chol 137 ม.ก./ด.ล.
เนื่องจากเธอถูกตรวจด้วยเครื่องอัตโนมัติในโรงพยาบาลมันก็จะตีตัว H บอกมาในเลือด แปลว่า
ไขมันเลือดสูงแล้วนะ ทำให้เธอไม่สบายใจ อยู่มาวันหนึ่งเธอได้พบกับผม แล้วเอาตัวเลขมาดูกัน
ถ้าดูสัดส่วนจะพบว่า :
T-Chol 234 หารด้วย HDL-Chol 85 = 2.75
LDL-Chol 137 หารด้วย HDL-Chol 85 = 1.61
ถือว่าสุขภาพดีอย่างเยี่ยมยอดเพราะผลจากการฝึกโยคะสม่ำเสมอของเธอนั่นเอง เสียดายที่ว่าระบบ
ตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ใช้เครื่องตรวจไม่มีโอกาสพบแพทย์เลย ปัญหาจึงเกิดขึ้นเนืองๆ__