แนวทางแก้ค่าเงินแข็งควรเพิ่มการลงทุนและลดดอบเบี้ยเป็นศูนย์

วันนี้การพิมพ์ในสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่นคาดว่าจะเกิดขึ้นไม่น้อยกว่า  2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ ซึ่งผลจะทำให้เกิด reflexitivity effect ในการเพิ่มปริมาณเงินทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 150 ล้านล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่าเงินทุนน่าจะเข้าไทย 1-2 ล้านล้านบาท เป็นอย่างน้อย ซึ่งการพิมพ์ในสหรัฐฯ คาดว่าจะเกิดอีก 3 ปีเป็นอย่างน้อยคือถึงปี 2015

การแก้ปัญหาค่าเงินควรทำที่ต้นเหตุคือ ไทยมีการลงทุนที่น้อยเกินไป รัฐควรกระตุ้นการลงทุน ในการเปิดเสรีอาเซียน ไทยสุดท้ายจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประชากรเกือบ 600 ล้านคน ควรที่จะเร่งพัฒนาการเดินทาง และสาธารณูปโภค และควรให้อาเซียนมาร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งท่าเรือ ถนน รถไฟฟ้า การขนส่งทางเรือ ซึ่งการลงทุนจะทำให้ไทยต้องนำเข้าเพิ่มและลดการเกินดุลการค้าในระยะยาว

อีกด้านคือแก้ที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่างกัน วันนี้ ธปท ควรลดดอกเบี้ยทันที ไปที่ร้อยละ 0 เพิ่มหยุดกรแสเงินไหลเข้าเพื่อเก็งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะลดเงินทุนไหลเข้าได้มากพอควร และเป็นการลดต้นทุนการเงินในประชาชนด้วย ภายใต้ต้นทุนคนต่างชาติที่จะได้ดอกเบี้ยจากไทยต่ำ แต่วันนี้ ธปท กลับคงดอกเบี้ยสูง โดยคนไทยกู้แพง แต่ช่วยให้ต่างชาติได้ดอกเบี้ยสูงด้วย นี่มันช่วยคนต่างชาติ แต่ซ้ำเติมคนไทย การลดดอกเบี้ยยังทำได้สบาย เพราะเป้าเงินเฟ้อคือเป้าหมายระยะกลาง แน่นอนว่าแนวโน้มเงินเฟ้อไทยยังอยู่ระดับต่ำ การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายย่อมทำได้

รัฐควรเน้นปทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการเงิน ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าของนักลงทุนต่างชาติในรูปเงินบาท วันนี้เขาเอาเงินเข้า ไม่ใช่แค่เข้าไทย แต่ไปพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ในรูปแบบบริษัทที่จดทะเบียนในไทย เราควรปรับปรุงให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินที่รองรับสกุลเงินหลายรูปแบบ ซึ่งจะลดการแปลงค่าเงินมาเป็นบาทก่อน

ก็คงต้องหาแนวทางเชิงสร้างสรรค์ เพราะเงินทุนไหลเข้า ไม่ใช่ปัจจัยลบให้ส่งออกได้รับผลกระทบ แต่ภาครัฐและแบงค์ชาติต้องพร้อมนำประโยชน์เงินทุนไหลเข้ามาพัฒนาและสร้างให้ไทยเจริญยิ่งขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่