MOS กับ Upside ตางกันอย่างไรมีคนตั้งคำถามใน thaivi
คุณ rattypor ตอบคำถามโดยอ้างคุณ yoyo ว่า
จริงๆแล้ว MOS กับ Upside นั้นหลักการเหมือนกันครับ .. คือซื้อหุ้นให้ได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นทั้งคู่...
แต่ความแตกต่างกันอยู่ที่สูตรคำนวณครับ
Upside นั้นมีสูตรคำนวณตายตัว = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาตลาด
ส่วน MOS นั้นผมยังไม่เคยเห็นสูตรชัวร์ๆที่ไหนนะครับ แต่เท่าที่เห็นเพื่อนๆพี่ๆ VI ใช้กันก็คือ = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาเหมาะสม
สมมติหุ้น A ราคาตลาดอยู่ที่ 10 บาท ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 13 บาท
แบบ นี้มี Upside 30% ในขณะที่มี MOS 23% ... หุ้นที่ผมจะถือก็ควรจะต้องมี Upside 30% ขึ้นไป ... แต่ถ้าจะหาหุ้นที่มี MOS 30% นี่คงจะหาหุ้นลงทุนได้ยากหน่อย เพราะว่าหุ้นที่มี MOS 30% นั้นจะมี Upside เกือบๆ 50% เลยทีเดียว
สรุปว่าตอนนี้คงหายากหน่อยครับ ในตอนนี้ที่ set 1400 ^_^
คุณ Simply ได้โพสเสริมว่า
ผมว่าคงต้องกลับไปพิจารณาจากสูตรของการคิด MOS มีปัจจัยสองส่วนสำคัญคือ
1.ราคาแท้จริง(Intrinsic Price/Value)
2.ราคาตลาด(Market Price)
Intrinsic Price/Valueนั้นแต่ละคนอาจคำนวณได้แตกต่างกัน ขึ้นกับแต่ละคนให้คุณค่าอะไรในบริษัท เรียกว่าราคาในใจของแต่ละคนก็ได้. ที่ราคาตลาดเดียวกัน ความต่างของIntrinsic PriceกับMarket Priceนั้นจะต่างกันตามราคาในใจแม้ราคาตลาดเดียวกัน MOSที่ได้ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันในราคาตลาดที่ซื้อเดียวกัน
MOSที่ว่ากันว่าน่าจะอยู่ที่50%น่าจะมาจากQuoteของปู่บัฟเฟตต์ที่ว่า..."ถ้า คุณทนเห็นราคาหุ้นตกลงมาถึง50เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ก็อย่าซื้อมัน" เช่นเดียวกับที่ปีเตอร์ ลินซ์เคยถือหุ้นตัวหนึ่งจนราคาตกลงมาถึง 80%แล้วยังไม่Cut Loss แถมกระโจนเข้าไปซื้อเพิ่มอีก สุดท้ายกลับมาได้กำไรเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์
ทั้งสองส่วนที่ว่ามานั้นมันเกี่ยวกับMarket Priceเป็นหลัก ส่วนMarket Priceนั้นมันขึ้นๆลงๆตามอารมณ์นายตลาด มันสำคัญที่ว่าตอนนายตลาดบอกว่าลดราคาให้แล้ว เราจะกล้าซื้อไหม เรารู้ไหมว่าที่ราคามันลงเพราะพื้นฐานเปลี่ยน หรือมีวิกฤติการณ์สำคัญ
MOSที่เท่าไหร่ก็อยู่ว่าคุณมองบริษัทนั้นยังไง คุณโลภเท่าไหร่ ถ้าคุณโลภมาก คุณก็กล้าแม้MOSจะแคบ จริงไหมครับ
แต่ยังไง MOS ก็ยังหายากอยู่ดี เพราะแค่ราคาเป้าหมายก็หายากแล้ว ดู downside ด้วยจะเห็นภาพง่ายกว่าครับ คุณ sipoonya ได้โพสเสริมเกี่ยวกับเรื่อง downside ไว้น่าสนใจครับ
ขอร่วมด้วยคนนะฮะ งั้นน่าจะมีคำว่า downside ด้วย
ถ้าในนิยามของ upside = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาตลาด
mos = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาเหมาะสม
ถ้าอย่างนั้น downside ควรจะมีสูตรเป็นยังไง
นอกจากนั้น ยังมีประเมินแบบ best case, base case(normal,nautral), worst case อีก
น่าจะพอเป็นไอเดียได้นะครับ ว่าจริงๆแล้ว การประเมินมูลค่าได้ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด
แต่การเข้าใจ ปัจจัยและความเสี่ยงต่างๆ ต่างหากเป็นตัวที่ปกป้องเราจากการลงทุนแล้วขาดทุน
อาจารย์นิเวศน์ เคยเขียนว่า ท่านจะซื้อเมื่อราคามันต่ำกว่า valuation ค่าที่ต่ำสุดที่ท่านคิดได้
หรือ ปู่บัฟฟ์เอง เวลาซื้อ ก็จะเริ่มต้นจากความกลัวก่อนนะครับ ซึ่งก็คงนำไปสู่กฎของการไม่ขาดทุน
คำถามว่า แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ หรือเลวร้ายที่สุดมันจะเป็นยังไง ราคานี้ใส่ความคาดหวังไปเท่าไหร่
น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการประเมินมูลค่าหุ้น และหาmosที่ดีนะครับ พอไม่ขาดทุนก็ค่อยมองไปที่กำไรต่อไปครับ
ป.ล. ความเห็นส่วนตัว อาจไม่ตรงกับแนวที่พี่ๆเพื่อน ลงทุนก็ได้ครับ
แต่ก็คิดว่าที่พี่ดำตอบตอนแรก ถูกแล้วครับ mos,upside เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่มีคำตอบ
แม้ผมเอง ในหุ้นแต่ละตัว ก็มองไว้ไม่เท่ากัน บางตัวupside 5% ผมก็ซื้อนะ
ถ้าผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากกว่าความเสี่ยงในการลงทุน
แต่ทุกคนควรจะ มี downside เป็น 0 นะครับ ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ
http://value.exteen.com/20130110/mos-upside-downside
MOS กับ Upside และ downside คือ?
คุณ rattypor ตอบคำถามโดยอ้างคุณ yoyo ว่า
จริงๆแล้ว MOS กับ Upside นั้นหลักการเหมือนกันครับ .. คือซื้อหุ้นให้ได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นทั้งคู่...
แต่ความแตกต่างกันอยู่ที่สูตรคำนวณครับ
Upside นั้นมีสูตรคำนวณตายตัว = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาตลาด
ส่วน MOS นั้นผมยังไม่เคยเห็นสูตรชัวร์ๆที่ไหนนะครับ แต่เท่าที่เห็นเพื่อนๆพี่ๆ VI ใช้กันก็คือ = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาเหมาะสม
สมมติหุ้น A ราคาตลาดอยู่ที่ 10 บาท ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 13 บาท
แบบ นี้มี Upside 30% ในขณะที่มี MOS 23% ... หุ้นที่ผมจะถือก็ควรจะต้องมี Upside 30% ขึ้นไป ... แต่ถ้าจะหาหุ้นที่มี MOS 30% นี่คงจะหาหุ้นลงทุนได้ยากหน่อย เพราะว่าหุ้นที่มี MOS 30% นั้นจะมี Upside เกือบๆ 50% เลยทีเดียว
สรุปว่าตอนนี้คงหายากหน่อยครับ ในตอนนี้ที่ set 1400 ^_^
คุณ Simply ได้โพสเสริมว่า
ผมว่าคงต้องกลับไปพิจารณาจากสูตรของการคิด MOS มีปัจจัยสองส่วนสำคัญคือ
1.ราคาแท้จริง(Intrinsic Price/Value)
2.ราคาตลาด(Market Price)
Intrinsic Price/Valueนั้นแต่ละคนอาจคำนวณได้แตกต่างกัน ขึ้นกับแต่ละคนให้คุณค่าอะไรในบริษัท เรียกว่าราคาในใจของแต่ละคนก็ได้. ที่ราคาตลาดเดียวกัน ความต่างของIntrinsic PriceกับMarket Priceนั้นจะต่างกันตามราคาในใจแม้ราคาตลาดเดียวกัน MOSที่ได้ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันในราคาตลาดที่ซื้อเดียวกัน
MOSที่ว่ากันว่าน่าจะอยู่ที่50%น่าจะมาจากQuoteของปู่บัฟเฟตต์ที่ว่า..."ถ้า คุณทนเห็นราคาหุ้นตกลงมาถึง50เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ก็อย่าซื้อมัน" เช่นเดียวกับที่ปีเตอร์ ลินซ์เคยถือหุ้นตัวหนึ่งจนราคาตกลงมาถึง 80%แล้วยังไม่Cut Loss แถมกระโจนเข้าไปซื้อเพิ่มอีก สุดท้ายกลับมาได้กำไรเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์
ทั้งสองส่วนที่ว่ามานั้นมันเกี่ยวกับMarket Priceเป็นหลัก ส่วนMarket Priceนั้นมันขึ้นๆลงๆตามอารมณ์นายตลาด มันสำคัญที่ว่าตอนนายตลาดบอกว่าลดราคาให้แล้ว เราจะกล้าซื้อไหม เรารู้ไหมว่าที่ราคามันลงเพราะพื้นฐานเปลี่ยน หรือมีวิกฤติการณ์สำคัญ
MOSที่เท่าไหร่ก็อยู่ว่าคุณมองบริษัทนั้นยังไง คุณโลภเท่าไหร่ ถ้าคุณโลภมาก คุณก็กล้าแม้MOSจะแคบ จริงไหมครับ
แต่ยังไง MOS ก็ยังหายากอยู่ดี เพราะแค่ราคาเป้าหมายก็หายากแล้ว ดู downside ด้วยจะเห็นภาพง่ายกว่าครับ คุณ sipoonya ได้โพสเสริมเกี่ยวกับเรื่อง downside ไว้น่าสนใจครับ
ขอร่วมด้วยคนนะฮะ งั้นน่าจะมีคำว่า downside ด้วย
ถ้าในนิยามของ upside = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาตลาด
mos = (ราคาเหมาะสม-ราคาตลาด)/ราคาเหมาะสม
ถ้าอย่างนั้น downside ควรจะมีสูตรเป็นยังไง
นอกจากนั้น ยังมีประเมินแบบ best case, base case(normal,nautral), worst case อีก
น่าจะพอเป็นไอเดียได้นะครับ ว่าจริงๆแล้ว การประเมินมูลค่าได้ถูกต้องอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด
แต่การเข้าใจ ปัจจัยและความเสี่ยงต่างๆ ต่างหากเป็นตัวที่ปกป้องเราจากการลงทุนแล้วขาดทุน
อาจารย์นิเวศน์ เคยเขียนว่า ท่านจะซื้อเมื่อราคามันต่ำกว่า valuation ค่าที่ต่ำสุดที่ท่านคิดได้
หรือ ปู่บัฟฟ์เอง เวลาซื้อ ก็จะเริ่มต้นจากความกลัวก่อนนะครับ ซึ่งก็คงนำไปสู่กฎของการไม่ขาดทุน
คำถามว่า แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ หรือเลวร้ายที่สุดมันจะเป็นยังไง ราคานี้ใส่ความคาดหวังไปเท่าไหร่
น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการประเมินมูลค่าหุ้น และหาmosที่ดีนะครับ พอไม่ขาดทุนก็ค่อยมองไปที่กำไรต่อไปครับ
ป.ล. ความเห็นส่วนตัว อาจไม่ตรงกับแนวที่พี่ๆเพื่อน ลงทุนก็ได้ครับ
แต่ก็คิดว่าที่พี่ดำตอบตอนแรก ถูกแล้วครับ mos,upside เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่มีคำตอบ
แม้ผมเอง ในหุ้นแต่ละตัว ก็มองไว้ไม่เท่ากัน บางตัวupside 5% ผมก็ซื้อนะ
ถ้าผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากกว่าความเสี่ยงในการลงทุน
แต่ทุกคนควรจะ มี downside เป็น 0 นะครับ ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ
http://value.exteen.com/20130110/mos-upside-downside