*เพราะลางเนื้อชอบลางยา กล่าวคือ คนเราชอบอะไรไม่เหมือนกัน จึงขอนำความคิดเห็นในแง่มุมของผมมานำเสนอแก่ทุกท่านที่แวะเข้ามา เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเปิดโลกทัศน์ซึ่งกันและกัน เพื่อเพิ่มอรรถรสแก่ภาพยนตร์ที่ได้ดูกันไป ไม่ใช่แค่ว่าดูจบแล้วก็จบกัน*
** รีวิวนี้อาศัยความทรงจำที่ได้ไปดูในโรงล้วนๆ เพราะฉะนั้น ถูกผิดบ้างให้อภัยและชี้แนะกันได้ตามสะดวกเลยขอรับ**
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าจริงๆ แล้วอยากจะทำรีวิวตั้งแต่ตอนที่ได้ไปดูหนังเรื่องนี้แล้ว (5 ม.ค.) แต่ติดโน่นถ่วงนี่เลยลากยาวมาจนถึงตอนนี้ (จากหนังใหม่แกะกล่องกลายเป็นหนังจะออกจากโรงกันเลยทีเดียว) แต่ก็ตั้งใจไว้แล้ว เลยขอรีวิวสักหน่อยแล้วกัน
พยัคฆ์ร้ายกิโยติน หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า The Guillotines ถ้าใครได้ดูหนังตัวอย่างจะคิดว่ามันคงเป็นหนังแนวกำลังภายในบู๊ล้างผลาญที่ผสมดราม่าเข้าไปเล็กน้อยตามประสาหนังแนวนี้ แต่จริงๆ แล้ว “มันไม่ใช่เลย” ครับ พูดตรงๆ ก็คือจริงๆ แล้ว “มันไม่ใช่หนังบู๊” หากแต่มันเป็นหนัง “การเมือง การปกครอง การแบ่งชั้นวรรณะ เรื่องของเชื้อชาติ และการหักหลัง ที่มีฉากกำลังภายใน ฉากรบ และ CG มาเป็นตัวเรียกคนเข้าโรง รวมไปถึงชื่อผู้กำกับที่ปะไว้ว่าสร้าง Infernal Affairs ทั้ง 3 ภาค (ซึ่งข้อสุดท้ายนี่เป็นตัวเรียกผมเข้าโรงนั่นเอง เหอๆ)”
จริงๆ แค่ชื่อผู้กำกับ หรือถ้าใครชอบผู้กำกับคนนี้จากหนังไตรภาค “2 คน 2 คม” ก็น่าจะพอคาดเดาโทนของหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แต่ผมไม่คาดว่ามันจะมาตามสูตรนั้นด้วยเนี่ยสิ เพราะผมคิดว่ามันจะเป็นหนังบู๊เต็มสูบที่มีประเด็นดราม่ามาเป็นน้ำจิ้ม
เอาเป็นว่า ผมคิดผิดถนัด เหอๆๆ
แต่ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีนะ เพียงแค่มันไม่ใช่อย่างที่คิดเท่านั้นเอง (มาเริ่มรู้ตัวขณะหนังดำเนินไป 1 ใน 3)
ในหนังมีการแสดงแสนยานุภาพทาง CG ของจีนตั้งแต่ต้นเรื่อง โดยหน่วยจักรโลหิตหรือกิโยตินจะสังหารเป้าหมายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพอผมเห็นกลุ่มนี้ปุ๊บก็คิดขึ้นมาทันทีเลยว่า “เฮ้ย! นั่นมัน Assassin's Creed นี่ฟร่า!?” (คอสตูมเป๊ะมาก 555) แล้วก็ถึงฉากโชว์เทพของหน่วยกิโยติน ซึ่งเป็นฉากที่ CG กระจาย และถือว่าเป็นฉากที่ใช้ CG เยอะที่สุดแล้วในเรื่อง มีการทะลุทะลวงแสกนเข้าไปดูถึงข้างในจักรโลหิตว่ามันถูกสร้างขึ้นมายังไงก่อนจะเอาไปเด็ดหัวคน ซึ่งฉาก CG นี้ดูไปดูมามันช่างละม้ายคล้ายฉากการสร้างเจ้าลูกกลมๆ เป็นจานๆ คล้ายๆ กงล้อที่วิ่งทะลุทะลวงบ้านช่องในเรื่อง Battleship เสียเหลือเกิน (แรงบัลดานใจน่า 555) ซึ่งสรุปเป็นกระบวนการได้ง่ายๆ ว่า เจ้าดาบตะขอกิโยติน(หรือจะดาบเคียว หรือดาบวงพระจันทร์ก็สุดแท้แต่) จะสร้างกงจักรขึ้นมาหนึ่งวง แล้วบินไปตัดหัวเป้าหมาย แต่ที่เด็ดสุดคือจักรมันสามารถไปคล้องคอเป้าหมายได้ด้วย แล้วค่อยมีเขี้ยวแหลมๆ มากมายกางออกมาและรุมสับหัวเป้าหมาย คล้ายๆ อาวุธพวกที่เอาไว้ตัดหัวคนในหนังจีนของชอว์บราเดอร์ในสมัยก่อนเลย
นับจากฉากโชว์เทพของหน่วยและโชว์ CG ที่ทำได้ดีพอสมควรแล้วนั้น เนื้อหาในหนังจะกลับไปสู่โทนดราม่าที่มีฉากแอ็คชั่นเป็นองค์ประกอบนิดๆ หน่อยๆ แต่เนื้อหาจะเน้นหนักเรื่องของการกดขี่ข่มเหงชนชาติอื่น (ฮั่นกับชิง) เนื้อเรื่องส่งให้ “สิคาน” เป็นตัวสำคัญของเรื่อง แต่ไม่ใช่ตัวเดินเรื่องนะ (แปลได้ชื่อไทยมาก ผมคิดว่าน่าจะเป็น “ข่าน” มากกว่า แต่หลายๆ ท่านที่รู้ภาษาจีนในพันทิปก็ว่าน่าจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่สิคานอยู่ดี แต่ขอเรียกตามในหนังแล้วกัน) ส่วนตัวเดินเรื่องจะเป็นรองหัวหน้าหน่วยจักรโลหิต ชายผู้มีความเป็นมาลึกลับ ส่วนหัวหน้าหน่วยจะเป็นผู้หญิง เนื่องจากสืบสายเลือดมาจากผู้บัญชาการหน่วยเลยได้เป็นหัวหน้า และมีลูกน้องอีกราวๆ 5 – 6 คน
เนื้อเรื่องช่วงนี้เดินเหมือนหนังฝรั่งแนวๆ สายลับหรือหนังชิงตัวประกันยุคนี้ คือ ตัวหัวหน้าใหญ่ฝ่ายตรงข้ามหนีไปได้โดยแผนการขั้นเทพและความจงรักภักดีของลูกน้องที่ทำเอาคนดูต้องคิด(เพราะผู้กำกับคงอยากให้คิด)ว่าใครที่เป็นคนดีกันแน่ การที่ต่างฝ่ายต่างจับตัวประกันไว้ได้ การออกตามสืบหาตัวสิคานในเมืองของกลุ่มคนที่นับถือว่าสิคานเป็นดั่งเทพเจ้า ซึ่งอารมณ์ประมาณดูหนังสหรัฐบุกอัฟกันราวๆ นั้นเลยทีเดียว
พอพ้นเนื้อหาช่วงนี้ไป ทางการเริ่มมีเอี่ยว หน่วยจักรโลหิตเริ่มหมดความสำคัญและกำลังจะถูกลบออกไปจากสารบบ(ถูกเก็บนั่นล่ะ)เนื่องจากองค์ฮ่องเต้ไม่ต้องการให้มีรอยด่างในหน้าประวัติศาสตร์ในยุคของตน และการมาถึงของปืนไฟที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่าจักรโลหิต ทำให้หนังในช่วงนี้กลายมาเป็นแนวดราม่า ตายกันอนาถและตายกันเกลื่อน ตัวรองหัวหน้าแสดงฉากร้องไห้น้ำมูกไหลย้อยอีกหลายฉาก บอกตามตรงว่าเรื่องนี้นอกจากคนแสดงเป็นเพื่อนสนิทรองหัวหน้าหน่วยที่เล่นเป็นพี่เหลียงเฉาเหว่ยตอนวัยรุ่นใน 2 คน 2 คมแล้ว ก็คุ้นหน้าแค่คนแสดงเป็นฮ่องเต้เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่รู้จักเลยสักคน พอเห็นฉากดราม่าแล้วดราม่าอีกตอนกลางๆ เรื่องเลยเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงเลือกชายคนนี้แสดงเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่เป็นตัวเดินเรื่องหลัก อาจเป็นเพราะแสดงบทดราม่าได้เข้าถึงอารมณ์ก็เป็นได้ แต่ผู้กำกับก็ใส่มาเยอะไปหน่อย ร้องไห้น้ำมูกย้อยเกิน 2 รอบจนรู้สึกว่า “จะร้องเยอะไปไหน” มากกว่าที่จะรู้สึกสงสารในชะตากรรมอันน่ารันทดของตัวละครซะอย่างนั้น
ในหนังเรื่องนี้ผมเห็นลายเซ็นของผู้กำกับอย่างชัดเจนอยู่ฉากหนึ่ง เป็นฉากที่รองหัวหน้าหน่วยถูกเพื่อนสนิทวัยเด็กยืนเอาปืนจ่ออยู่ริมหน้าผา เห็นปุ๊บก็นึกถึงฉากพี่หลิวกับพี่เหลียงบนดาดฟ้าใน 2 คน 2 คมอีกนั่นล่ะ ดูแล้วมันใช่เลย
และแล้วตัวละครหลักก็เกือบตาย แต่ก็ไม่ตาย รอดได้แบบไม่น่ารอด แต่ตัวละครตัวอื่นๆ ตายแบบไม่น่าตายกันเรื่อยๆ เลยทีเดียว
ช่วงก่อนท้ายเรื่อง รองหัวหน้าหน่วยได้มาอยู่กับสิคานแบบไม่เต็มใจนัก และได้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮั่นที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร หนังนำเสนอให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิตว่า มนุษย์เราแค่พออยู่พอกินก็มีความสุขพอแล้ว ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น
ก่อนจะเข้าสู่ช่วงท้ายเรื่อง เอาปืนใหญ่ยิงใส่กันตูมตาม ระเบิดเขาเผากระท่อมกันให้เต็มที่ ตายๆๆ กันซะให้หมด ยกเว้นรองหัวหน้าหน่วยกับสิคานที่ไม่มีแผลอะไรจากปืนใหญ่เลย และอีกคนที่รอดก็เพื่อนรองหัวหน้าหน่วยเพราะเป็นคนสั่งยิงปืนใหญ่นั่นเอง
แล้วเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของหนังที่ออกแนว Last Samurai แบบว่า ขอตายเพื่อส่งข้อความไปหาองค์จักรพรรดิ เพื่อให้ปกครองบ้านเมืองอย่างเสมอภาค เท่าเทียม มีความเป็นประชาธิปไตย กลายเป็นหนังการเมืองการปกครองไปในที่สุด
สรุป หนังต้องการจะสื่อสารกับคนดูในหลายๆ เรื่อง หลายๆ แนว มากมายเต็มไปหมด มากจนรู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้รับรู้ ให้ตระหนัก จนรู้สึกว่าอึดอัดเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องที่เราๆ ก็พอคาดเดาหรือรู้กันอยู่แล้ว และเห็นชัดๆ ว่าแม้แต่ในปัจจุบันบ้านเมืองเขาก็ยังไม่สามารถเป็นได้อย่างที่ตัวละครหลักในหนังนี้อยากให้เป็น (หรือผู้กำกับเขาเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยผ่านหนังเรื่องนี้กันนะ?) ซึ่งตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นหนังบู๊กระจายไม่เกิน 1.30 ชม. กลับกลายเป็นหนังอภิมหาดราม่าแถมอุดมไปด้วยฉากโหดร้ายพอสมควร(แสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายของสงคราม) เบ็ดเสร็จเวลารวมของหนังราวๆ 2 ชม. เลยทีเดียว ต้องบอกว่าเป็นหนังเพียงไม่กี่เรื่องที่ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูบ่อยมากพร้อมกับคิดว่า “เมื่อไรจะจบได้เสียที” และ “ควรจะจบได้แล้วมั้ง” ซึ่งไม่ใช่หนังไม่สนุก แต่มันยัดเยียดหลายประเด็นมากมายจนรู้สึกว่ามันกระจัดกระจายพอสมควร ถึงจะลื่นไหลก็เถอะ (ออกแนวพยายามทำเนื้อเรื่องให้กลมกลืนเต็มที่)
สำหรับผม ให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 7 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ดูได้เพลินๆ ครับ
เพื่อนๆ มีความคิดเห็นว่าอย่างไรก็พูดคุยกันได้นะครับผม
^ ^
ปล. เป็นครั้งแรกที่ได้ดูหนังที่เซนจูรี่ ทั้งโรงมีอยู่ 4 คน คงเพราะเป็นรอบแรกของวันเสาร์ด้วย และหน้าหนังไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับบุคคลทั่วไปนัก แต่บริเวณโรงหนังกว้างมาก จนน่าตกใจว่าทำไมไม่ค่อยมีคนดู(รู้แต่ว่าเครือสหมงคลฟิล์มแน่ๆ) ตอนเดินออกจากโรงไปห้องน้ำนี่เกือบหลอนไปเหมือนกัน ไม่มีคนเลย แถมในห้องน้ำชายเจอป้ายประกาศ “ห้ามกระทำการลามกอนาจาร” ด้วย สงสัยเพราะคนน้อยๆ แบบนี้เลยมีคนมาแอบทำกันบ่อย เครียดกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็พอทำให้ขำแห้งๆ สำหรับคนที่อ่านป้ายได้ล่ะมั้งนะ
[CR] ดูแล้วเลยบอกต่อ ตอน “พยัคฆ์ร้ายกิโยติน – หนังจีนย้อนยุคที่ไม่ได้มีแค่กำลังภายใน”
** รีวิวนี้อาศัยความทรงจำที่ได้ไปดูในโรงล้วนๆ เพราะฉะนั้น ถูกผิดบ้างให้อภัยและชี้แนะกันได้ตามสะดวกเลยขอรับ**
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าจริงๆ แล้วอยากจะทำรีวิวตั้งแต่ตอนที่ได้ไปดูหนังเรื่องนี้แล้ว (5 ม.ค.) แต่ติดโน่นถ่วงนี่เลยลากยาวมาจนถึงตอนนี้ (จากหนังใหม่แกะกล่องกลายเป็นหนังจะออกจากโรงกันเลยทีเดียว) แต่ก็ตั้งใจไว้แล้ว เลยขอรีวิวสักหน่อยแล้วกัน
พยัคฆ์ร้ายกิโยติน หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า The Guillotines ถ้าใครได้ดูหนังตัวอย่างจะคิดว่ามันคงเป็นหนังแนวกำลังภายในบู๊ล้างผลาญที่ผสมดราม่าเข้าไปเล็กน้อยตามประสาหนังแนวนี้ แต่จริงๆ แล้ว “มันไม่ใช่เลย” ครับ พูดตรงๆ ก็คือจริงๆ แล้ว “มันไม่ใช่หนังบู๊” หากแต่มันเป็นหนัง “การเมือง การปกครอง การแบ่งชั้นวรรณะ เรื่องของเชื้อชาติ และการหักหลัง ที่มีฉากกำลังภายใน ฉากรบ และ CG มาเป็นตัวเรียกคนเข้าโรง รวมไปถึงชื่อผู้กำกับที่ปะไว้ว่าสร้าง Infernal Affairs ทั้ง 3 ภาค (ซึ่งข้อสุดท้ายนี่เป็นตัวเรียกผมเข้าโรงนั่นเอง เหอๆ)”
จริงๆ แค่ชื่อผู้กำกับ หรือถ้าใครชอบผู้กำกับคนนี้จากหนังไตรภาค “2 คน 2 คม” ก็น่าจะพอคาดเดาโทนของหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แต่ผมไม่คาดว่ามันจะมาตามสูตรนั้นด้วยเนี่ยสิ เพราะผมคิดว่ามันจะเป็นหนังบู๊เต็มสูบที่มีประเด็นดราม่ามาเป็นน้ำจิ้ม
เอาเป็นว่า ผมคิดผิดถนัด เหอๆๆ
แต่ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีนะ เพียงแค่มันไม่ใช่อย่างที่คิดเท่านั้นเอง (มาเริ่มรู้ตัวขณะหนังดำเนินไป 1 ใน 3)
ในหนังมีการแสดงแสนยานุภาพทาง CG ของจีนตั้งแต่ต้นเรื่อง โดยหน่วยจักรโลหิตหรือกิโยตินจะสังหารเป้าหมายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพอผมเห็นกลุ่มนี้ปุ๊บก็คิดขึ้นมาทันทีเลยว่า “เฮ้ย! นั่นมัน Assassin's Creed นี่ฟร่า!?” (คอสตูมเป๊ะมาก 555) แล้วก็ถึงฉากโชว์เทพของหน่วยกิโยติน ซึ่งเป็นฉากที่ CG กระจาย และถือว่าเป็นฉากที่ใช้ CG เยอะที่สุดแล้วในเรื่อง มีการทะลุทะลวงแสกนเข้าไปดูถึงข้างในจักรโลหิตว่ามันถูกสร้างขึ้นมายังไงก่อนจะเอาไปเด็ดหัวคน ซึ่งฉาก CG นี้ดูไปดูมามันช่างละม้ายคล้ายฉากการสร้างเจ้าลูกกลมๆ เป็นจานๆ คล้ายๆ กงล้อที่วิ่งทะลุทะลวงบ้านช่องในเรื่อง Battleship เสียเหลือเกิน (แรงบัลดานใจน่า 555) ซึ่งสรุปเป็นกระบวนการได้ง่ายๆ ว่า เจ้าดาบตะขอกิโยติน(หรือจะดาบเคียว หรือดาบวงพระจันทร์ก็สุดแท้แต่) จะสร้างกงจักรขึ้นมาหนึ่งวง แล้วบินไปตัดหัวเป้าหมาย แต่ที่เด็ดสุดคือจักรมันสามารถไปคล้องคอเป้าหมายได้ด้วย แล้วค่อยมีเขี้ยวแหลมๆ มากมายกางออกมาและรุมสับหัวเป้าหมาย คล้ายๆ อาวุธพวกที่เอาไว้ตัดหัวคนในหนังจีนของชอว์บราเดอร์ในสมัยก่อนเลย
นับจากฉากโชว์เทพของหน่วยและโชว์ CG ที่ทำได้ดีพอสมควรแล้วนั้น เนื้อหาในหนังจะกลับไปสู่โทนดราม่าที่มีฉากแอ็คชั่นเป็นองค์ประกอบนิดๆ หน่อยๆ แต่เนื้อหาจะเน้นหนักเรื่องของการกดขี่ข่มเหงชนชาติอื่น (ฮั่นกับชิง) เนื้อเรื่องส่งให้ “สิคาน” เป็นตัวสำคัญของเรื่อง แต่ไม่ใช่ตัวเดินเรื่องนะ (แปลได้ชื่อไทยมาก ผมคิดว่าน่าจะเป็น “ข่าน” มากกว่า แต่หลายๆ ท่านที่รู้ภาษาจีนในพันทิปก็ว่าน่าจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่สิคานอยู่ดี แต่ขอเรียกตามในหนังแล้วกัน) ส่วนตัวเดินเรื่องจะเป็นรองหัวหน้าหน่วยจักรโลหิต ชายผู้มีความเป็นมาลึกลับ ส่วนหัวหน้าหน่วยจะเป็นผู้หญิง เนื่องจากสืบสายเลือดมาจากผู้บัญชาการหน่วยเลยได้เป็นหัวหน้า และมีลูกน้องอีกราวๆ 5 – 6 คน
เนื้อเรื่องช่วงนี้เดินเหมือนหนังฝรั่งแนวๆ สายลับหรือหนังชิงตัวประกันยุคนี้ คือ ตัวหัวหน้าใหญ่ฝ่ายตรงข้ามหนีไปได้โดยแผนการขั้นเทพและความจงรักภักดีของลูกน้องที่ทำเอาคนดูต้องคิด(เพราะผู้กำกับคงอยากให้คิด)ว่าใครที่เป็นคนดีกันแน่ การที่ต่างฝ่ายต่างจับตัวประกันไว้ได้ การออกตามสืบหาตัวสิคานในเมืองของกลุ่มคนที่นับถือว่าสิคานเป็นดั่งเทพเจ้า ซึ่งอารมณ์ประมาณดูหนังสหรัฐบุกอัฟกันราวๆ นั้นเลยทีเดียว
พอพ้นเนื้อหาช่วงนี้ไป ทางการเริ่มมีเอี่ยว หน่วยจักรโลหิตเริ่มหมดความสำคัญและกำลังจะถูกลบออกไปจากสารบบ(ถูกเก็บนั่นล่ะ)เนื่องจากองค์ฮ่องเต้ไม่ต้องการให้มีรอยด่างในหน้าประวัติศาสตร์ในยุคของตน และการมาถึงของปืนไฟที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่าจักรโลหิต ทำให้หนังในช่วงนี้กลายมาเป็นแนวดราม่า ตายกันอนาถและตายกันเกลื่อน ตัวรองหัวหน้าแสดงฉากร้องไห้น้ำมูกไหลย้อยอีกหลายฉาก บอกตามตรงว่าเรื่องนี้นอกจากคนแสดงเป็นเพื่อนสนิทรองหัวหน้าหน่วยที่เล่นเป็นพี่เหลียงเฉาเหว่ยตอนวัยรุ่นใน 2 คน 2 คมแล้ว ก็คุ้นหน้าแค่คนแสดงเป็นฮ่องเต้เท่านั้นเอง นอกนั้นไม่รู้จักเลยสักคน พอเห็นฉากดราม่าแล้วดราม่าอีกตอนกลางๆ เรื่องเลยเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงเลือกชายคนนี้แสดงเป็นรองหัวหน้าหน่วยที่เป็นตัวเดินเรื่องหลัก อาจเป็นเพราะแสดงบทดราม่าได้เข้าถึงอารมณ์ก็เป็นได้ แต่ผู้กำกับก็ใส่มาเยอะไปหน่อย ร้องไห้น้ำมูกย้อยเกิน 2 รอบจนรู้สึกว่า “จะร้องเยอะไปไหน” มากกว่าที่จะรู้สึกสงสารในชะตากรรมอันน่ารันทดของตัวละครซะอย่างนั้น
ในหนังเรื่องนี้ผมเห็นลายเซ็นของผู้กำกับอย่างชัดเจนอยู่ฉากหนึ่ง เป็นฉากที่รองหัวหน้าหน่วยถูกเพื่อนสนิทวัยเด็กยืนเอาปืนจ่ออยู่ริมหน้าผา เห็นปุ๊บก็นึกถึงฉากพี่หลิวกับพี่เหลียงบนดาดฟ้าใน 2 คน 2 คมอีกนั่นล่ะ ดูแล้วมันใช่เลย
และแล้วตัวละครหลักก็เกือบตาย แต่ก็ไม่ตาย รอดได้แบบไม่น่ารอด แต่ตัวละครตัวอื่นๆ ตายแบบไม่น่าตายกันเรื่อยๆ เลยทีเดียว
ช่วงก่อนท้ายเรื่อง รองหัวหน้าหน่วยได้มาอยู่กับสิคานแบบไม่เต็มใจนัก และได้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮั่นที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร หนังนำเสนอให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิตว่า มนุษย์เราแค่พออยู่พอกินก็มีความสุขพอแล้ว ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น
ก่อนจะเข้าสู่ช่วงท้ายเรื่อง เอาปืนใหญ่ยิงใส่กันตูมตาม ระเบิดเขาเผากระท่อมกันให้เต็มที่ ตายๆๆ กันซะให้หมด ยกเว้นรองหัวหน้าหน่วยกับสิคานที่ไม่มีแผลอะไรจากปืนใหญ่เลย และอีกคนที่รอดก็เพื่อนรองหัวหน้าหน่วยเพราะเป็นคนสั่งยิงปืนใหญ่นั่นเอง
แล้วเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของหนังที่ออกแนว Last Samurai แบบว่า ขอตายเพื่อส่งข้อความไปหาองค์จักรพรรดิ เพื่อให้ปกครองบ้านเมืองอย่างเสมอภาค เท่าเทียม มีความเป็นประชาธิปไตย กลายเป็นหนังการเมืองการปกครองไปในที่สุด
สรุป หนังต้องการจะสื่อสารกับคนดูในหลายๆ เรื่อง หลายๆ แนว มากมายเต็มไปหมด มากจนรู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้รับรู้ ให้ตระหนัก จนรู้สึกว่าอึดอัดเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องที่เราๆ ก็พอคาดเดาหรือรู้กันอยู่แล้ว และเห็นชัดๆ ว่าแม้แต่ในปัจจุบันบ้านเมืองเขาก็ยังไม่สามารถเป็นได้อย่างที่ตัวละครหลักในหนังนี้อยากให้เป็น (หรือผู้กำกับเขาเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยผ่านหนังเรื่องนี้กันนะ?) ซึ่งตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นหนังบู๊กระจายไม่เกิน 1.30 ชม. กลับกลายเป็นหนังอภิมหาดราม่าแถมอุดมไปด้วยฉากโหดร้ายพอสมควร(แสดงให้เห็นถึงความเลวร้ายของสงคราม) เบ็ดเสร็จเวลารวมของหนังราวๆ 2 ชม. เลยทีเดียว ต้องบอกว่าเป็นหนังเพียงไม่กี่เรื่องที่ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูบ่อยมากพร้อมกับคิดว่า “เมื่อไรจะจบได้เสียที” และ “ควรจะจบได้แล้วมั้ง” ซึ่งไม่ใช่หนังไม่สนุก แต่มันยัดเยียดหลายประเด็นมากมายจนรู้สึกว่ามันกระจัดกระจายพอสมควร ถึงจะลื่นไหลก็เถอะ (ออกแนวพยายามทำเนื้อเรื่องให้กลมกลืนเต็มที่)
สำหรับผม ให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 7 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ดูได้เพลินๆ ครับ
เพื่อนๆ มีความคิดเห็นว่าอย่างไรก็พูดคุยกันได้นะครับผม
^ ^
ปล. เป็นครั้งแรกที่ได้ดูหนังที่เซนจูรี่ ทั้งโรงมีอยู่ 4 คน คงเพราะเป็นรอบแรกของวันเสาร์ด้วย และหน้าหนังไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับบุคคลทั่วไปนัก แต่บริเวณโรงหนังกว้างมาก จนน่าตกใจว่าทำไมไม่ค่อยมีคนดู(รู้แต่ว่าเครือสหมงคลฟิล์มแน่ๆ) ตอนเดินออกจากโรงไปห้องน้ำนี่เกือบหลอนไปเหมือนกัน ไม่มีคนเลย แถมในห้องน้ำชายเจอป้ายประกาศ “ห้ามกระทำการลามกอนาจาร” ด้วย สงสัยเพราะคนน้อยๆ แบบนี้เลยมีคนมาแอบทำกันบ่อย เครียดกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็พอทำให้ขำแห้งๆ สำหรับคนที่อ่านป้ายได้ล่ะมั้งนะ