การสวดมนต์แบบพุทธเพื่อให้เกิดสติปัญญา

กระทู้สนทนา
การสวดมนต์ เพื่อให้เกิดสติปัญญา


การสวดมนต์มีในทุกๆศาสนา ทุกๆความเชื่อ แต่ความต้องการและวิธีการที่ต่างกัน เช่น.

-    บางพวกก็ท่องบ่นเพื่อกล่าวสรรเสริญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งที่ตัวเองนับถือ
-    บางพวกก็สวดเพื่อวิงวอนร้องขอต่ออำนาจที่ตัวเองคิดว่ามีอยู่
-    บางพวกก็สวดเพื่อให้เกิดความสงบทางจิตใจ
-    บางพวกก็สวดเพื่อให้เกิดอำนาจกับตนเอง
-    บางพวกก็สวดเพื่อจะให้ได้อะไรๆ ที่ตัวเองอยากได้
-    บางพวกก็สวดโดยไม่รู้อะไร สวดตามๆเขาไป
-    บางพวกก็สวดเพื่อท่องบ่นวิชาความรู้หรือทบทวน ท่องจำคำสอนต่างๆ

การสวดมนต์ในลัทธิความเชื่อสำคัญๆ ก่อนเกิดพุทธศาสนานั้น มักเป็นการสาธยายมนต์
เพื่อให้เกิดศิริมงคลแก่ผู้สาธยายและผู้ที่อยู่ในปริมณฑลนั้น มักจะกระทำโดยพฤฒาจารย์
หรือพราหมณ์ผู้เป็นหัวหน้าพิธีกรรมในที่นั้นๆ

ในความเชื่อตามลัทธิต่างๆในสมัยพุทธกาล ก็มีการสาธยายมนต์ตามลัทธิของตนอยู่แล้ว
เป็นปกติ มักเป็นการสาธยายมนต์ที่เป็นความเชื่อหรือคำสอนของลัทธินั้นๆ
การสาธยายมนต์เป็นการสืบทอดคำสอนหรือความเชื่อของลัทธิตน เนื่องจากคนในสมัยนั้น
ไม่รู้จักตัวหนังสือ ไม่มีหนังสืออ่าน หรือส่วนมากไม่รู้หนังสือ การท่องจำตามกัน
ซึ่งเรียกว่า “มุขปาฐะ” จึงเป็นหนทางเดียวที่จะรักษาคำสอนไว้ได้

ศาสนาพุทธก็เช่นกัน เมื่อพระพุทธเจ้าสอนหรือเทศนากับใครที่ไหน ใครที่ได้รับฟังก็จดจำ
และท่องจำเอาไว้ว่า ได้ยินได้ฟังมาว่าอย่างไร ท่านสอนว่าอย่างไร มีอะไรเป็นเหตุ มีความพิสดารอย่างไร
สาวกบางคนหรือบางรูป หรือหลายๆรูป ไม่เคยได้พบพระพุทธเจ้าเลยก็มี แต่ก็ได้รับฟังคำสอนจากอุปัชฌาอาจารย์
และผู้ที่เคยได้ยินได้ฟัง  จากการเล่า บอกกัน ปากต่อปาก บอกต่อๆกัน บางพวกได้ฟังเรื่องหนึ่ง

ขณะที่บางพวกได้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อมาเจอกัน ก็จะพากันสาธยายคำสอนเหล่านั้นให้เพื่อนพรหมจรรย์ได้รับฟัง
เพื่อถ่ายทอดพระธรรมคำสอนและดำรงรักษาเอาไว้ หรือแม้เคยได้ยินได้ฟังมาในเรื่องเดียวกัน
ก็จะหาโอกาสสอบทานกัน เพื่อไม่ให้เกิดการผิดเพี้ยนขึ้น

การท่องออกเสียงดังๆ ทั้งมีผู้นำและท่องพร้อมๆกัน กลายเป็นพิธีหนึ่งที่ทำกันในสมัยนั้น
จนมาถึงปฐมสังคายนา ก็ใช้วิธีแบบนี้ด้วย ดังปรากฏรูปแบบในพิธีกรรม “สวดแจง” ก่อนการฌาปนกิจศพ ในปัจจุบัน


การสวดที่นอกเหนือจากวัตถุประสงค์นี้ ย่อมไม่ใช่พุทธศาสนา
เพราะพุทธศาสนาไม่ให้สวดอ้อนวอน ให้ทำเอาเอง ไม่ให้ร้องขอ
พุทธศาสนาไม่ให้เชื่อมงคล ให้เชื่อกรรม (หมายถึงมงคลแบบอื่นที่ไม่ใช่มงคล 38)

นั่นแปลว่า การสวดมนต์เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เกิดอำนาจแปลกๆ เกิดทรัพย์ เกิดลาภ เกิดยศ
ที่ศาสนาพุทธสอนให้ลดละ ย่อมไม่ใช่ศาสนาพุทธ
และการสวดนั้น(สาธยาย) คำที่สวดออกไป ผู้สวดไม่รู้ ไม่เข้าใจ แปลไม่ได้ ฟังไม่ออก ไม่เป็นภาษาคน
ก็จะยิ่งเป็นความหลงผิด เป็นการนำเอาความเชื่อนอกศาสนาพุทธมาใส่ชื่อพุทธอย่างที่นิยมทำกันอยู่

และที่แย่ไปกว่านั้น คนที่เชื่อออกนอกแนวพุทธ ใช้การสวดมนต์แบบนอกพุทธ
มักมีความไม่พอใจความคิดเห็นอื่นๆที่เห็นแย้งกับตน อันเป็นผลของโมหะจริตและศีลพตปรามาส ซึ่งมีในคนทั่วไป

และกล่าวประณามหรือพยายามบิดเบือนความเชื่อให้เข้ากับที่ตนเชื่อ
โดยอ้างคำโบราณบ้าง อ้างชื่อพระภิกษุหลายๆรูปที่เชื่อกันเองว่าเป็นผู้วิเศษบ้าง
ซึ่งไม่อาจทำความผิดให้เป็นความถูก และไม่สามารถทำให้คนที่หลับตาอยู่มองเห็นได้
นอกจะคนเหล่านั้นจะลืมตาขึ้นและมองความจริงให้แจ่มชัดเท่านั้น

ใครจะสวดมนต์บทอะไร เพื่อให้เกิดผลอะไร หรือจะสวดอย่างไร ควรใช้สติปัญญาตรองดูก่อน
หรือจะยินดีในแบบที่เชื่ออยู่ก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร เรื่องของกรรมแลวิบากนั้น
เป็นเรื่องใครทำอย่างใดได้อย่างนั้น ทำอย่างหนึ่งเพื่อจะให้ได้อีกอย่างหนึ่ง
คือเหตุแลผลไม่พ้องกัน ย่อมเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งสิ้น

การสวดมนต์หรือสาธยายมนต์ที่ถูกต้องและได้ผลตามหลักของพุทธศาสนา (ได้ปัญญา)
เพื่อเอามาใช้เป็นวิธีคิดในการดำรงชีวิตที่ไม่มีโทษ ควรเลือกเอาบทที่เราเข้าใจและสอนใจเรา มักจะเริ่มต้นด้วย

1.    การแสดงความเคารพพระพุทธเจ้า คือ นมการคาถา = นะโมตัสสะ... 3 จบ
2.    การกล่าวแสดงตนว่า เราเอาพระรัตนตรัย (พระพุทธเจ้า/พระธรรม/พระสงฆ์)
       เป็นที่ยึดเหนี่ยว คือ สรณะคมปาฐะ = พุทธังสะระณังคัจฉามิ ...3 จบ
3.   กล่าวแสดงตนว่าเราจะรักษาศีล(5) เป็นปกติ คือ สมาทานศีล 5 = ปาณาติปาตาเวระมะณีสิกขา ปะทังสะมาทิยามิ......(ให้ครบ5ข้อ)
4.   อิติปิโส เพื่อให้ทราบว่า พระพุทธเจ้ามีลักษณะอย่างไร  พระธรรมมีลักษณะอย่างไร  พระสงฆ์มีลักษณะอย่างไร
5.   บทพิจารณาสังขาร คือบท อภิณหปัจจเวกขณะ 5 เริ่มตั้งแต่ ชะราธัมโมมหิ ชะรัง....
6.   บทเตือนตนให้ยึดมั่นในที่พึ่งที่ถูกต้อง คือ เขมาเขมสรณทีปิกคาถา เริ่มตั้งแต่ พะหุง เว สะระณัง
7.   บทแสดงถึงแนวความคิดที่ทำให้เราไม่เครียดคือ ภัทเทกรัตตคาถา ตั้งแต่ อะตีตัง.......
8.   เพื่อให้ได้แนวทางในธรรมนูญหลักของพุทธศาสนา คือ โอวาทปาฏิโมกขคาถา เริ่มตั้งแต่ สัพพะปาปัสสะ....
9.   เพื่อให้ไม่ประมาท ให้ระลึกถึงคำสั่งก่อนตายของพระพุทธเจ้าเสมอๆ คือบท ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ เริ่มตั้งแต่ หันทะทานิ....
10.  เพื่อพิจารณาถึงสังขาร ทำให้เราได้เห็นความจริงของชีวิต ทำให้เราลดกิเลสลงได้ คือ บทพิจารณาสังขาร
      เริ่มตั้งแต่ สัพเพสังขาราอะนิจจา...
11.   เพื่อเป็นการแสดงความเมตตาและเจริญเมตตาให้มีในตน คือ บทกรณียเมตตสูตร เริ่มตั้งแต่ กะระณียะมัตถะ....
12.   บทแผ่เมตตา เริ่มตั้งแต่ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้เป็นเพื่อนทุกข์......
13.   บทกรวดน้ำ บทใดก็ได้ เลือกเอา......

หมายเหตุ     ดูเหมือนว่ามีหลายบท แต่ที่จริงแล้ว เป็นบทสั้นๆ เนื้อความสอนพระธรรมที่เป็นประโยชน์ให้เรา ไม่ก่อให้เกิดความโง่เขลางมงาย หากสวดไปคิดไปด้วย จะเจริญปัญญาได้อย่างดียิ่ง   (ต้องสวดแปล) ถ้ามีเวลา จะสวดบทอื่นๆเพิ่มก็ได้ อย่างเช่น.มงคลสูตร/อภัยปริตร หรือบทที่เห็นว่าดี เป็นประโยชน์ต่อปัญญาก็เลือกเอา ให้สวดต่อจากข้อที่ 11 แล้วให้จบลงที่กรวดน้ำ ซึ่งที่จริงแล้ว การกรวดน้ำก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ  เพราะพุทธศาสนาสอนว่า กรรมนั้นใครทำใครได้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แบ่งให้กันไม่ได้ แต่ถ้ากรวดน้ำแล้วสบายใจก็ทำเถิด แม้จะไม่ถูกนัก แต่ก็ไม่ผิดอะไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่