แม้มีโอกาสได้เดินต้อยๆตามนายกฯปู อยู่หลายเพลา แต่บัดนี้ เมื่อ “พล.ต.อ.พงศพัศ
พงษ์เจริญ” เปิดตัวเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคเพื่อไทยแล้ว เชื่อว่าท่านคง
“สะบัดชายกระโปรง” นั้นทิ้ง มิให้ใครติฉินนินทาว่า หาเสียงด้วยการเกาะชายกระโปรง
นายกฯ อีกต่อไปแน่นอน
ท่านเป็นนักพูด เป็นสุดยอดนักประชาสัมพันธ์ ท่านเปิดตัวเป็นผู้สมัครท่ามกลาง
ข่าวว่าท่านเคยขโมยวิทยุ สมัยไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ นางสดศรี สัตยธรรม
คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทีนิวส์ กรณีข้อพิพาท
ของพลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ
เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่กำลังจะลง
สมัครชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคเพื่อไทย แต่เคยมีประวัติติดคุก
คดีอาญาโทษฐานขโมยวิทยุที่สหรัฐอเมริกา สมัยได้ทุนศึกษาวิชาอาชญวิทยา
โดยไทยได้ดำเนินการทางการทูต จนถูกปล่อยตัวกลับมาแบบมีมลทินและถูกคัดค้าน
จากสำนักพระราชวัง ครั้งเสนอชื่อขอพระราชทานยศพลตำรวจตรี แต่ภายหลังเปลี่ยน
ชื่อเป็น พงศพัศและสอดไส้โผแต่งตั้งทำเอกสารเท็จทูลเกล้าฯ จนได้รับเลื่อนเป็น
พลตำรวจตรี ซึ่งกรณีนี้จัดว่า เป็นความผิดฐานกราบบังคมทูล ข้อความอันเป็นเท็จ
ทั้งนี้ นางสดศรี ระบุว่า ในกรณีดังกล่าวต้องมีผู้ร้องและยื่นหลักฐานกับกกต.ก่อน
จึงจะทำการตรวจสอบได้ และเห็นว่า ในตำแหน่งผู้นำท้องถิ่น อย่างผู้ว่าฯกทม.
แล้วจะต้องไม่มีประวัติเสื่อมเสีย ซึ่งในวันเปิดตัวเมื่อ 15 ม.ค. 2556 พล.ต.อ.พงศพัศ
กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าไม่รู้สึกกังวลต่อกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.
เตรียมสอบสวนคดีนี้
ผมคิดว่า นอกเหนือจากคดีขโมยวิทยุจนต้องมาเปลี่ยนชื่อแล้ว ท่านยังต้องผจญ
กับคำถามอีก 2 เรื่องใหญ่ คือ 1.ท่านใช่“เสาไฟฟ้า” ของ ทักษิณ ชินวัตร ตามที่
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ บอกใช่หรือไม่
2.ข้อมูลในคดี “บิ๊กขี้หลี” ท่านมีพฤติกรรมเช่นนั้นจริงหรือไม่ ด้วยวัตถุประสงค์อะไร
และเมื่อท่านมีอำนาจ เป็นผู้ว่าฯกทม.ซึ่งอาจมีลูกน้องหรือผู้เกี่ยวข้องเป็นสาวสวย
พวกเขาควรวางตัวอย่างไรกับท่าน
ข้อมูลในคดี “บิ๊กขี้หลี”
เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2548 ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา
ในคดีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ
สวัสดิผล และสื่อรวม 17 คนเป็นจำเลย ในความผิดเรื่องละเมิดจากการหมิ่นประมาท
เรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 2,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
กรณีที่จำเลยทั้ง 17 ทำการเผยแพร่ ตีพิมพ์ ข้อความ อันเป็นเท็จพาดพิงถึงโจทก์
ว่าเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีพฤติการณ์พูดจาลวนลามนักข่าว และเป็น
นายพลหื่นกาม
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า
ฝ่ายจำเลย มีนางสาวเกวลิน กังวานธนวัต ผู้สื่อข่าวซึ่งเป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์
ถูกลวนลาม เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ขณะที่ไปปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวที่
โรงแรมภูเก็ตอาคาเดียฯ โดยการประชุม ครม. พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ
ผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.สันต์ ได้เรียกพยานให้ไปพบ พล.ต.อ.สันต์ ซึ่งใน
การพูดคุยได้สอบถามเรื่องส่วนตัว และพูดชักชวนให้เดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยกัน
ด้วยเครื่องบินตำรวจ ซึ่งจากคำเบิกความของพยานฝ่ายจำเลยดังกล่าวได้สอด
คล้องต้องกันกับพยานปากอื่น จึงเชื่อว่ากรณีดังกล่าวน่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง
กระทั่งเป็นเหตุให้นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออก
หนังสือเตือนนักข่าวหญิง รวมทั้งยังมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้ตั้งคณะ
กรรมการเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงและหามาตรการแก้ไขปัญหา
ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่าการที่พวกจำเลยให้สัมภาษณ์และเขียนบทความรวมทั้ง
การเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ตามฟ้องโจทก์นั้น ถือว่าเป็นการเสนอข่าวไป
ตามเหตุการณ์ที่เชื่อโดยสุจริตว่ามีเหตุจริง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการชี้แนะตัก
เตือนนักข่าวผู้หญิงให้ระมัดระวังต่อการปฏิบัติหน้าที่ และยังเป็นการทักท้วง
การปฏิบัติตัวของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งโจทก์ก็อยู่ในฐานะ ผบ.ตร.ที่ถือได้ว่า
เป็นตำแหน่งที่ประชาชนและสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ได้หากเห็นว่า ผบ.ตร.
ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-17 เป็นการติ
ชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งอยู่ในวิสัยที่ประชาชนและสื่อมวลชนสามารถกระทำ
ได้แล้ว ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
ด้านทีมทนายความของฝ่ายจำเลย มีความเห็นสอดคล้องกันว่า
จากคำพิพากษาที่ ศาลวินิจฉัยว่า คำเบิกความของ พยานโจทก์ 2 ปาก
คือ พล.ต.ท.พงศพัศ และ พล.ต.ท.คงทน เบิกความขัดแย้งกับ โจทก์ โดยบอกว่า
โจทก์ไม่ได้เรียกผู้เสียหายไปเพื่อสอบถามเรื่องการไม่ติดบัตรประจำตัว อีกทั้ง
เบิกความยืนยันว่าไม่ได้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ศาลเชื่อว่า เหตุการณ์ดังกล่าว
เกิดขึ้นจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพยานทั้งสองให้การเท็จ ในชั้นการสอบสวน และ
เบิกความเท็จในชั้นศาล เพื่อหวังช่วยเหลือโจทก์ ดังนั้น ทีมทนายความจะต้อง
ดำเนินการฟ้องกลับฐานเบิกความเท็จต่อไป ส่วนตัวโจทก์ จะฟ้องกลับหรือไม่
ต้องรอหารือกันก่อน
(ที่มา :
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID= 9480000165513)
3 ข้อ ที่ ‘ไพรัช’ หรือ ‘พงศพัศ พงษ์เจริญ’ต้องตอบ! ..เส้นใต้บันทัด..จิตกร บุษบา..แนวหน้าออนไลน์
พงษ์เจริญ” เปิดตัวเป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคเพื่อไทยแล้ว เชื่อว่าท่านคง
“สะบัดชายกระโปรง” นั้นทิ้ง มิให้ใครติฉินนินทาว่า หาเสียงด้วยการเกาะชายกระโปรง
นายกฯ อีกต่อไปแน่นอน
ท่านเป็นนักพูด เป็นสุดยอดนักประชาสัมพันธ์ ท่านเปิดตัวเป็นผู้สมัครท่ามกลาง
ข่าวว่าท่านเคยขโมยวิทยุ สมัยไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ นางสดศรี สัตยธรรม
คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทีนิวส์ กรณีข้อพิพาท
ของพลตำรวจเอกพงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ
เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่กำลังจะลง
สมัครชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในนามพรรคเพื่อไทย แต่เคยมีประวัติติดคุก
คดีอาญาโทษฐานขโมยวิทยุที่สหรัฐอเมริกา สมัยได้ทุนศึกษาวิชาอาชญวิทยา
โดยไทยได้ดำเนินการทางการทูต จนถูกปล่อยตัวกลับมาแบบมีมลทินและถูกคัดค้าน
จากสำนักพระราชวัง ครั้งเสนอชื่อขอพระราชทานยศพลตำรวจตรี แต่ภายหลังเปลี่ยน
ชื่อเป็น พงศพัศและสอดไส้โผแต่งตั้งทำเอกสารเท็จทูลเกล้าฯ จนได้รับเลื่อนเป็น
พลตำรวจตรี ซึ่งกรณีนี้จัดว่า เป็นความผิดฐานกราบบังคมทูล ข้อความอันเป็นเท็จ
ทั้งนี้ นางสดศรี ระบุว่า ในกรณีดังกล่าวต้องมีผู้ร้องและยื่นหลักฐานกับกกต.ก่อน
จึงจะทำการตรวจสอบได้ และเห็นว่า ในตำแหน่งผู้นำท้องถิ่น อย่างผู้ว่าฯกทม.
แล้วจะต้องไม่มีประวัติเสื่อมเสีย ซึ่งในวันเปิดตัวเมื่อ 15 ม.ค. 2556 พล.ต.อ.พงศพัศ
กล่าวเพียงสั้นๆ ว่าไม่รู้สึกกังวลต่อกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.
เตรียมสอบสวนคดีนี้
ผมคิดว่า นอกเหนือจากคดีขโมยวิทยุจนต้องมาเปลี่ยนชื่อแล้ว ท่านยังต้องผจญ
กับคำถามอีก 2 เรื่องใหญ่ คือ 1.ท่านใช่“เสาไฟฟ้า” ของ ทักษิณ ชินวัตร ตามที่
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ บอกใช่หรือไม่
2.ข้อมูลในคดี “บิ๊กขี้หลี” ท่านมีพฤติกรรมเช่นนั้นจริงหรือไม่ ด้วยวัตถุประสงค์อะไร
และเมื่อท่านมีอำนาจ เป็นผู้ว่าฯกทม.ซึ่งอาจมีลูกน้องหรือผู้เกี่ยวข้องเป็นสาวสวย
พวกเขาควรวางตัวอย่างไรกับท่าน
ข้อมูลในคดี “บิ๊กขี้หลี”
เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2548 ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา
ในคดีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ขัตติยะ
สวัสดิผล และสื่อรวม 17 คนเป็นจำเลย ในความผิดเรื่องละเมิดจากการหมิ่นประมาท
เรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 2,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
กรณีที่จำเลยทั้ง 17 ทำการเผยแพร่ ตีพิมพ์ ข้อความ อันเป็นเท็จพาดพิงถึงโจทก์
ว่าเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีพฤติการณ์พูดจาลวนลามนักข่าว และเป็น
นายพลหื่นกาม
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า
ฝ่ายจำเลย มีนางสาวเกวลิน กังวานธนวัต ผู้สื่อข่าวซึ่งเป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์
ถูกลวนลาม เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ขณะที่ไปปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวที่
โรงแรมภูเก็ตอาคาเดียฯ โดยการประชุม ครม. พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ
ผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.สันต์ ได้เรียกพยานให้ไปพบ พล.ต.อ.สันต์ ซึ่งใน
การพูดคุยได้สอบถามเรื่องส่วนตัว และพูดชักชวนให้เดินทางกลับกรุงเทพฯด้วยกัน
ด้วยเครื่องบินตำรวจ ซึ่งจากคำเบิกความของพยานฝ่ายจำเลยดังกล่าวได้สอด
คล้องต้องกันกับพยานปากอื่น จึงเชื่อว่ากรณีดังกล่าวน่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง
กระทั่งเป็นเหตุให้นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออก
หนังสือเตือนนักข่าวหญิง รวมทั้งยังมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้ตั้งคณะ
กรรมการเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงและหามาตรการแก้ไขปัญหา
ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่าการที่พวกจำเลยให้สัมภาษณ์และเขียนบทความรวมทั้ง
การเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ตามฟ้องโจทก์นั้น ถือว่าเป็นการเสนอข่าวไป
ตามเหตุการณ์ที่เชื่อโดยสุจริตว่ามีเหตุจริง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการชี้แนะตัก
เตือนนักข่าวผู้หญิงให้ระมัดระวังต่อการปฏิบัติหน้าที่ และยังเป็นการทักท้วง
การปฏิบัติตัวของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งโจทก์ก็อยู่ในฐานะ ผบ.ตร.ที่ถือได้ว่า
เป็นตำแหน่งที่ประชาชนและสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ได้หากเห็นว่า ผบ.ตร.
ประพฤติตัวไม่เหมาะสม เมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1-17 เป็นการติ
ชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งอยู่ในวิสัยที่ประชาชนและสื่อมวลชนสามารถกระทำ
ได้แล้ว ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง
ด้านทีมทนายความของฝ่ายจำเลย มีความเห็นสอดคล้องกันว่า
จากคำพิพากษาที่ ศาลวินิจฉัยว่า คำเบิกความของ พยานโจทก์ 2 ปาก
คือ พล.ต.ท.พงศพัศ และ พล.ต.ท.คงทน เบิกความขัดแย้งกับ โจทก์ โดยบอกว่า
โจทก์ไม่ได้เรียกผู้เสียหายไปเพื่อสอบถามเรื่องการไม่ติดบัตรประจำตัว อีกทั้ง
เบิกความยืนยันว่าไม่ได้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ศาลเชื่อว่า เหตุการณ์ดังกล่าว
เกิดขึ้นจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพยานทั้งสองให้การเท็จ ในชั้นการสอบสวน และ
เบิกความเท็จในชั้นศาล เพื่อหวังช่วยเหลือโจทก์ ดังนั้น ทีมทนายความจะต้อง
ดำเนินการฟ้องกลับฐานเบิกความเท็จต่อไป ส่วนตัวโจทก์ จะฟ้องกลับหรือไม่
ต้องรอหารือกันก่อน
(ที่มา : http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID= 9480000165513)