ที่ห้องพิจารณา 804 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (17 ม.ค.) ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2740/53 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายยศวริศ หรือประมวล ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ที่ปรึกษา รมช.กระทรวงพาณิชย์ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้าย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2553 เวลากลางวัน จำเลยได้ปราศรัยบนเวทีผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในทำนองหมิ่นเบื้องสูง โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ยุบสภาของนายอภิสิทธิ์นี่มันยาก เพราะอะไร เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างที่ออกมา เปรมก็ไม่ยอม แต่พี่น้องที่อยู่ที่นี่(ใช้มือจับปากของตัวเอง และกิริยาสื่อให้ผู้ที่รับฟังเห็นว่าอย่าพูดไป หรือพูดไม่ได้) คิดอะไรกันอยู่นะ ผมร้อนใน ผมจับปากก่อน ไม่มีใครรู้หรอกครับ เพราะปัจจัยที่ไอ้อภิสิทธิ์ไม่กล้ายุบสภา หนึ่ง-เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ยอมยุบ สอง-พรรคร่วมรัฐบาล สาม-ทหาร สี่-สุเทพ ห้า-เนวิน พวกนี้คอยบีบคอสุเทพ คอยบีบคออภิสิทธิ์ไว้” คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 2, 8 และ 12 เบื้องต้นจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ภายหลังให้การปฏิเสธ สู้คดี
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า การที่จำเลยกล่าวถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทำนองว่า พล.อ.เปรมไม่ยอมให้ยุบสภาและกล่าวต่อว่าอาจมีเหนือกว่านั้นก็ดี พล.อ.เปรมอาจจะไม่มีอะไร แต่จะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรมก็ดี คำว่า “อาจมีเหนือกว่านั้น” และคำว่า “มีอะไรอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม” ซึ่งการที่จำเลยกล่าวปราศรัยในลักษณะให้ผู้ฟังเข้าใจว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม จึงเท่ากับว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่ยินยอมให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นยุบสภา โดยสั่งการผ่านทาง พล.อ.เปรม จึงเป็นการใส่ความว่าทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยทรงเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายจำเลยและพวก
ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าคำปราศรัยของจำเลยไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์นั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000006530
ทำให้พาลคิดถึงลิ้มโกเต๊กซ
ศาลสั่งจำคุก 3 ปี “เจ๋ง ดอกจิก” หมิ่นเบื้องสูง
ที่ห้องพิจารณา 804 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (17 ม.ค.) ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2740/53 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายยศวริศ หรือประมวล ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ที่ปรึกษา รมช.กระทรวงพาณิชย์ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้าย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2553 เวลากลางวัน จำเลยได้ปราศรัยบนเวทีผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในทำนองหมิ่นเบื้องสูง โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ยุบสภาของนายอภิสิทธิ์นี่มันยาก เพราะอะไร เพราะปัจจัยหลายๆ อย่างที่ออกมา เปรมก็ไม่ยอม แต่พี่น้องที่อยู่ที่นี่(ใช้มือจับปากของตัวเอง และกิริยาสื่อให้ผู้ที่รับฟังเห็นว่าอย่าพูดไป หรือพูดไม่ได้) คิดอะไรกันอยู่นะ ผมร้อนใน ผมจับปากก่อน ไม่มีใครรู้หรอกครับ เพราะปัจจัยที่ไอ้อภิสิทธิ์ไม่กล้ายุบสภา หนึ่ง-เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ยอมยุบ สอง-พรรคร่วมรัฐบาล สาม-ทหาร สี่-สุเทพ ห้า-เนวิน พวกนี้คอยบีบคอสุเทพ คอยบีบคออภิสิทธิ์ไว้” คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 2, 8 และ 12 เบื้องต้นจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ภายหลังให้การปฏิเสธ สู้คดี
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า การที่จำเลยกล่าวถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทำนองว่า พล.อ.เปรมไม่ยอมให้ยุบสภาและกล่าวต่อว่าอาจมีเหนือกว่านั้นก็ดี พล.อ.เปรมอาจจะไม่มีอะไร แต่จะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรมก็ดี คำว่า “อาจมีเหนือกว่านั้น” และคำว่า “มีอะไรอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม” ซึ่งการที่จำเลยกล่าวปราศรัยในลักษณะให้ผู้ฟังเข้าใจว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม จึงเท่ากับว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่ยินยอมให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นยุบสภา โดยสั่งการผ่านทาง พล.อ.เปรม จึงเป็นการใส่ความว่าทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยทรงเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายจำเลยและพวก ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าคำปราศรัยของจำเลยไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์นั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000006530
ทำให้พาลคิดถึงลิ้มโกเต๊กซ