Les Misérables(2012)
Genre : Musical, Drama, Romance
Director : Tom Hooper
Novel : Victor Hugo
Book : Claude-Michel Schönberg, Alain Boublil
Lyrics : Herbert Kretzmer
Original French text : Alain Boublil, Jean-Marc Natel
Additional text : James Fenton
Screenplay : William Nicholson
ผมยังไม่เคยอ่านนิยายและไม่เคยดูฉบับละครเพลง แต่ด้วยความที่ผมพึ่งดู Les Misérables ฉบับปี 1998 จบไปไม่นาน (ซึ่งมันก็ไม่ใช่ฉบับที่ผมคิดว่ายอดเยี่ยม แต่ก็ดีพอสมควรและน่าจะดีกว่านี้ได้อีก) จึงเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบ และผมให้ Les Misérables ฉบับ Tom Hooper สอบตกครับ
เนื้อเรื่องเล่าถึง Jean Valjean นักโทษใช้แรงงาน เขาต้องโทษร่วม 20 ปีเพียงเพราะขโมยขนมปังอันเนื่องมาจากความอดอยากในวัยเด็ก เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อเขาฝ่าฝืนทัณฑ์บนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยทรัพย์สินเล็กน้อยที่ท่านสังฆนายกมอบให้เพื่อไถ่ชีวิตเขาจากซาตาน แต่ชีวิตของเขาถูกระรานโดยสารวัตร Javert ซึ่งเคยเป็นยามเฝ้านักโทษมาก่อน Javert เป็นคนเคร่งครัดต่อกฎระเบียบทุกอย่างและไม่เชื่อเรื่องการกลับตัว
ตรงนี้ผมจะเปิดเผยเนื้อเรื่องเล็กน้อยที่ว่าทำไมผมดูฉบับ 1998 แล้วมาดูฉบับ 2012 ถึงไม่อิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ยกตัวอย่างแรกเลย ฉากสังฆนายกมอบช้อนเงิน เชิงเทียนให้ Valjean เนี่ย ฉบับ 1998 เขามีเกริ่นถึงความไม่ยุติธรรมของพระเจ้า มุ่งหวังจะกลับตัว แต่ฉบับ 2012 อะไรก็ไม่รู้ปู๊ดป๊าดมาก ไม่พูดไม่จาอยู่ดี ๆ โดนจับมาท่านสังฆนายกมอบเชิงเทียนให้แล้ว Valjean ไปสำนึกผิดทีหลัง จะว่าไปมันก็ดีคนละแบบแต่ผมชอบแบบ 1998 มากกว่าเยอะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฉากต่อมาอันนี้ผมว่าสำคัญเลยคือการประชันหน้าระหว่าง Javert ที่จ้องจะหาทางเอาผิด Valjean ให้ได้ ฉบับ 1998 ทำไว้ดีมากครับ มันทำให้คนดูเข้าใจถึงความเคร่งครัดและตัวตนของ Javert ชัดเจน แต่ฉบับ 2012 อะไรก็ไม่รู้อยู่ดี ๆ ก็มาสารภาพว่าแอบเล่นงานลับหลัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฉากนี้ก็สำคัญคือความรักระหว่าง Fantine กับ Valjean ฉบับ 1998 ดูแล้วรู้สึกได้ชัดเจนเลยครับว่า Valjean รู้สึกผิดที่ห่วงตัวเองจนทำให้ Fantine เดือดร้อน เขาเข้ามาดูแลจนเกิดเป็นความรักและรับ Cosette มาเลี้ยงดั่งลูกที่เกิดจากความรักของเขา แต่ฉบับ 2012 นี่มันอะไร แปป ๆ Fantine มานอน ๆ ร้องเพลงแปปเดียวตายละ ความสัมพันธ์ของ Valjean กับ Fantine ซึ่งต่อเนื่องถึง Cosette เลยกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่ดูยังไงก็ไม่อิน
เอาแค่สามฉากต้นเรื่องพอครับ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่า
ผมไม่ปลื้มบทหนังอย่างแรงครับ
แล้วบทหนังแย่ขนาดนี้ อะไรที่มาพยุงหนังล่ะครับ สิ่งนั้นคือ "การใช้เพลงบรรยายความรู้สึกตัวละครครับ" มันถูกใส่เข้ามาอย่างต่อเนื่องจนหลายครั้งก็รู้สึกว่า "ล้น" เกินพอดี
หนัง Musical ทั้งทีก็ต้องพูดถึงเพลงครับ หนังเรื่องนี้พูดจาแบบคนปกติไม่กี่ประโยคครับ นอกนั้นเพลงและร้องทั้งเรื่อง เพลงประกอบนั้นยอดเยี่ยมมาก การประชันเรื่องราวของสามตัวละครในเพลงเดียวฉากเดียวก็มีให้เห็นหลายฉากและนั่นมันก็ยอดเยี่ยมจริง ๆ
เห็นมีคนพูดถึงเรื่องความเพราะ ความไพเราะของนักแสดงที่ร้อง ผมขออธิบายอย่างนี้ละกันครับว่า เสียงร้องมันเป็นเรื่องของรสนิยม บางคนก็ชอบแบบเก่ง The Voice บางคนไม่ปลื้มก็มี บางคนชอบการโชว์พลังแบบอ๊อฟ แก้ม แต่หลายคนก็รู้สึกรำคาญ ขณะเดียวกันบางคนชอบอะไรที่ฟังสบาย ๆ หูแบบป๊อป แม้กระทั่งเป้ แม้แต่แบบร็อคหนัก ๆ แบบคิว แด๊ก ก็ใช่ว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
ผมว่าดูที่การถ่ายทอดอารมณ์ดีกว่าครับ ซึ่งผมบอกได้เลยว่า นักแสดงทุกคนถ่ายทอดอารมณ์ผ่านบทเพลงได้ยอดเยี่ยมมาก
อีกจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าชั้นเชิงการทำ Musical มันไม่มีคลาสแบบ Chicago ก็คือ หลายฉากมันไม่ใช่เพลงครับ ผมได้ยินมาว่า Tom Hooper อยากให้ Les Misérables ของเขาคือโลกที่คนปกติสนทนาเป็นเพลง ซึ่งผมไม่อยากเรียกมันว่าเพลงเลย
แค่บทพูดธรรมดาไม่กี่ประโยคใส่เอื้อนแล้วมีดนตรีประกอบผมไม่เรียกมันว่าเพลงนะ ซึ่งตรงนี้หลายครั้งสำหรับผมมันเป็นความน่ารำคาญ บางฉากแบบพูดจาปกติอยู่ประโยคนึง อยู่ดี ๆ ก็ร้องเพลงประโยคนึง แล้วก็พูดปกติตัดจบก็มี หรือบางฉากเล่นเพลงเสียยาวแต่แทบไม่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องเลย ในเมื่อไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเพลงและฉากนี้ก็ไม่รู้สึกจะใส่มาทำไม มันฟุ่มเฟือยจนล้นไปน่ะครับ
พึ่งบอกไปว่านักแสดงทุกคนถ่ายทอดอารมณ์กันได้เยี่ยม แสดงกันดีจริง ๆ ครับ คนหลัก ๆ ที่ต้องชมก็มี Hugh Jackman (ในบท Jean Valjean) บทของเขาถูกใส่มิติการบรรยายความรู้สึกเยอะมากครับ และ Jackman ก็ทำได้ดีจริง ๆ, Anne Hathaway (ในบท Fantine) คนนี้ก็เยี่ยมครับ ผมรู้สึกว่าบทเธอน้อยมากทั้งที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องทีเดียว แต่ว่าด้วยการแสดงล้วน ๆ ผมให้ Anne ผ่านสบาย ๆ ครับ ผ่านแบบสมราคาเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงออสการ์และลูกโลกทองคำ (ซึ่งเธอก็ได้จากลูกโลกทองคำมากอดแล้ว), คนต่อไปคือ Russell Crowe ผมว่าบทเขามันสำคัญกับเรื่องสุด ๆ แต่ไม่รู้ทำไมพอดูในฉบับ 2012 แล้วเหมือนเป็นแค่บทสมทบเท่านั้นเอง ตัวละครแทบจะถูกกลืนไปกับการหลุดโฟกัสของหนังแต่การแสดงของ Russell Crowe ก็ยังเรียกว่าตามมาตรฐานของเขาแหละครับ คนสุดท้ายคนนี้ประหลาดใจเล็กน้อยคือ Samantha Barks ก็ว่าทำไมเสียงดีการร้องโดดเด่น ที่แท้เธอเป็นหนึ่งในนักร้องบทเวทีคอนเสิร์ต Les Misérables in Concert: The 25th Anniversary ครับ การร้องผ่านการแสดงพอใช้ครับ สุดท้ายจริง ๆ ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือจอมขโมยซีนอย่างเฮีย Sacha Baron Cohen สุด ๆ แล้วครับ เป็นบทขโมยซีนเรียกเสียงหัวเราะที่เขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม
ถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่า Les Misérables เหมาะกับคนที่ทำใจแล้วว่าหนังเรื่องนี้ร้องเพลงและพยายามใช้เทคนิคการร้องในทุกประโยคคำพูดตลอด 157 นาทีของหนัง และตั้งใจจะไปดูเพลงกับการแสดงจริง ๆ ส่วนใครที่คาดหวังจะไปอินกับบทวรรณกรรมบทหนังผมว่าไปดูฉบับ 1998 ของ Bille August แสดงนำโดย Liam Neeson เวิร์คกว่าครับ
7/10
[SR] -Review- Les Miserables ฉบับ Musical ละเลยเนื้อเรื่องจนดูไม่อิน สนทนาแบบเพลงจนฟุ่มเฟือย [เปิดเผยเนื้อหาเล็กน้อย]
Genre : Musical, Drama, Romance
Director : Tom Hooper
Novel : Victor Hugo
Book : Claude-Michel Schönberg, Alain Boublil
Lyrics : Herbert Kretzmer
Original French text : Alain Boublil, Jean-Marc Natel
Additional text : James Fenton
Screenplay : William Nicholson
ผมยังไม่เคยอ่านนิยายและไม่เคยดูฉบับละครเพลง แต่ด้วยความที่ผมพึ่งดู Les Misérables ฉบับปี 1998 จบไปไม่นาน (ซึ่งมันก็ไม่ใช่ฉบับที่ผมคิดว่ายอดเยี่ยม แต่ก็ดีพอสมควรและน่าจะดีกว่านี้ได้อีก) จึงเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบ และผมให้ Les Misérables ฉบับ Tom Hooper สอบตกครับ
เนื้อเรื่องเล่าถึง Jean Valjean นักโทษใช้แรงงาน เขาต้องโทษร่วม 20 ปีเพียงเพราะขโมยขนมปังอันเนื่องมาจากความอดอยากในวัยเด็ก เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อเขาฝ่าฝืนทัณฑ์บนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยทรัพย์สินเล็กน้อยที่ท่านสังฆนายกมอบให้เพื่อไถ่ชีวิตเขาจากซาตาน แต่ชีวิตของเขาถูกระรานโดยสารวัตร Javert ซึ่งเคยเป็นยามเฝ้านักโทษมาก่อน Javert เป็นคนเคร่งครัดต่อกฎระเบียบทุกอย่างและไม่เชื่อเรื่องการกลับตัว
ตรงนี้ผมจะเปิดเผยเนื้อเรื่องเล็กน้อยที่ว่าทำไมผมดูฉบับ 1998 แล้วมาดูฉบับ 2012 ถึงไม่อิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เอาแค่สามฉากต้นเรื่องพอครับ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่า ผมไม่ปลื้มบทหนังอย่างแรงครับ
แล้วบทหนังแย่ขนาดนี้ อะไรที่มาพยุงหนังล่ะครับ สิ่งนั้นคือ "การใช้เพลงบรรยายความรู้สึกตัวละครครับ" มันถูกใส่เข้ามาอย่างต่อเนื่องจนหลายครั้งก็รู้สึกว่า "ล้น" เกินพอดี
หนัง Musical ทั้งทีก็ต้องพูดถึงเพลงครับ หนังเรื่องนี้พูดจาแบบคนปกติไม่กี่ประโยคครับ นอกนั้นเพลงและร้องทั้งเรื่อง เพลงประกอบนั้นยอดเยี่ยมมาก การประชันเรื่องราวของสามตัวละครในเพลงเดียวฉากเดียวก็มีให้เห็นหลายฉากและนั่นมันก็ยอดเยี่ยมจริง ๆ
เห็นมีคนพูดถึงเรื่องความเพราะ ความไพเราะของนักแสดงที่ร้อง ผมขออธิบายอย่างนี้ละกันครับว่า เสียงร้องมันเป็นเรื่องของรสนิยม บางคนก็ชอบแบบเก่ง The Voice บางคนไม่ปลื้มก็มี บางคนชอบการโชว์พลังแบบอ๊อฟ แก้ม แต่หลายคนก็รู้สึกรำคาญ ขณะเดียวกันบางคนชอบอะไรที่ฟังสบาย ๆ หูแบบป๊อป แม้กระทั่งเป้ แม้แต่แบบร็อคหนัก ๆ แบบคิว แด๊ก ก็ใช่ว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ผมว่าดูที่การถ่ายทอดอารมณ์ดีกว่าครับ ซึ่งผมบอกได้เลยว่า นักแสดงทุกคนถ่ายทอดอารมณ์ผ่านบทเพลงได้ยอดเยี่ยมมาก
อีกจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าชั้นเชิงการทำ Musical มันไม่มีคลาสแบบ Chicago ก็คือ หลายฉากมันไม่ใช่เพลงครับ ผมได้ยินมาว่า Tom Hooper อยากให้ Les Misérables ของเขาคือโลกที่คนปกติสนทนาเป็นเพลง ซึ่งผมไม่อยากเรียกมันว่าเพลงเลย แค่บทพูดธรรมดาไม่กี่ประโยคใส่เอื้อนแล้วมีดนตรีประกอบผมไม่เรียกมันว่าเพลงนะ ซึ่งตรงนี้หลายครั้งสำหรับผมมันเป็นความน่ารำคาญ บางฉากแบบพูดจาปกติอยู่ประโยคนึง อยู่ดี ๆ ก็ร้องเพลงประโยคนึง แล้วก็พูดปกติตัดจบก็มี หรือบางฉากเล่นเพลงเสียยาวแต่แทบไม่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องเลย ในเมื่อไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเพลงและฉากนี้ก็ไม่รู้สึกจะใส่มาทำไม มันฟุ่มเฟือยจนล้นไปน่ะครับ
พึ่งบอกไปว่านักแสดงทุกคนถ่ายทอดอารมณ์กันได้เยี่ยม แสดงกันดีจริง ๆ ครับ คนหลัก ๆ ที่ต้องชมก็มี Hugh Jackman (ในบท Jean Valjean) บทของเขาถูกใส่มิติการบรรยายความรู้สึกเยอะมากครับ และ Jackman ก็ทำได้ดีจริง ๆ, Anne Hathaway (ในบท Fantine) คนนี้ก็เยี่ยมครับ ผมรู้สึกว่าบทเธอน้อยมากทั้งที่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องทีเดียว แต่ว่าด้วยการแสดงล้วน ๆ ผมให้ Anne ผ่านสบาย ๆ ครับ ผ่านแบบสมราคาเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงออสการ์และลูกโลกทองคำ (ซึ่งเธอก็ได้จากลูกโลกทองคำมากอดแล้ว), คนต่อไปคือ Russell Crowe ผมว่าบทเขามันสำคัญกับเรื่องสุด ๆ แต่ไม่รู้ทำไมพอดูในฉบับ 2012 แล้วเหมือนเป็นแค่บทสมทบเท่านั้นเอง ตัวละครแทบจะถูกกลืนไปกับการหลุดโฟกัสของหนังแต่การแสดงของ Russell Crowe ก็ยังเรียกว่าตามมาตรฐานของเขาแหละครับ คนสุดท้ายคนนี้ประหลาดใจเล็กน้อยคือ Samantha Barks ก็ว่าทำไมเสียงดีการร้องโดดเด่น ที่แท้เธอเป็นหนึ่งในนักร้องบทเวทีคอนเสิร์ต Les Misérables in Concert: The 25th Anniversary ครับ การร้องผ่านการแสดงพอใช้ครับ สุดท้ายจริง ๆ ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือจอมขโมยซีนอย่างเฮีย Sacha Baron Cohen สุด ๆ แล้วครับ เป็นบทขโมยซีนเรียกเสียงหัวเราะที่เขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม
ถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่า Les Misérables เหมาะกับคนที่ทำใจแล้วว่าหนังเรื่องนี้ร้องเพลงและพยายามใช้เทคนิคการร้องในทุกประโยคคำพูดตลอด 157 นาทีของหนัง และตั้งใจจะไปดูเพลงกับการแสดงจริง ๆ ส่วนใครที่คาดหวังจะไปอินกับบทวรรณกรรมบทหนังผมว่าไปดูฉบับ 1998 ของ Bille August แสดงนำโดย Liam Neeson เวิร์คกว่าครับ
7/10