เล่าสู่กันฟังนะคะ เป็นประสบการณ์ของดิฉันเอง
จากที่เคยหูแว่วได้ยินเสียงที่จิตมันหลอนขึ้นมาเอง กังวลมากว่าจะป่วยเป็นจิตเภทไปหรือไม่
ก็ปรากฏกว่า "หายเองได้ค่ะ" ทั้งที่อาการตอนนั้นก็น้องๆ จิตเภทแล้ว
ส่วนสาเหตุ... พูดตรงๆ เลยว่า ผิดหวังเรื่องความรัก
คือเราก็ไม่เคยรักใครมาก่อน มันจะรักมากไปหรือยังไงไม่รู้ แต่ก็ขอข้ามรายละเอียดแล้วกัน มันก็เป็นอดีตไปแล้ว
แต่เล่าคร่าวๆ ได้ว่า ตอนนั้นเราเริ่มแยกไม่ได้แล้วว่า เสียงที่เราได้ยิน มันเสียงจริงๆ หรือเสียงที่เราคิดขึ้นเอง
แต่ยอมรับว่า หูมันเหมือนได้ยินเสียง เช่น เสียงมือถือดัง เสียงคนพูดคุยกัน แต่เหมือนเรายังมีสติดีอยู่ ก็เริ่มสงสัยตัวเราเองว่ายังไงนะ
อาการตอนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ก็ทั้งเครียด ทั้งเศร้า จิตตก และเป็นห่วงตัวเองด้วย
จึงตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ค่ะ ไปครั้งเดียวเท่านั้น เพราะคุณหมอท่านบอกว่างี้นะคะ
"ถ้าเริ่มทานยา คุณอาจต้องทานไปตลอดนะ คุณเลือกเอา จะกินยาตลอดชีวิต หรือจะยอมรับความจริง"
มารู้ในภายหลังก็เป็นจริงอย่างคุณหมอท่านว่า คนที่เครียดจนป่วย จนเป็นจิตเภทหรืออะไรก็แล้วแต่
ถ้าลองว่ากินยาปรับเคมีในสมองแล้ว "มักจะต้องกินไปตลอดชีวิต ไม่ค่อยหาย"
แต่ดิฉันก็หายมาได้ ไม่มีอาการหูแว่วอีกเลย
ก็ยึดหลักตามคุณหมอว่า คือ "ยอมรับความจริง" แต่การยอมรับความจริง มันไม่ใช่ง่ายๆ ใครก็รู้
ดิฉันจึงกล่าวได้ว่า ดิฉันยอมรับความจริงได้ เพราะปฏิบัติธรรม ค่ะ
หลักการปฏิบัติธรรมของดิฉันในตอนนั้น ไม่มีอะไร
ดิฉันมีความเคารพศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันอยู่ดั้งเดิมแล้ว
ตอนนั้นพอดิฉันรู้ว่าจิตใจว้าวุ่นมาก เหมือนชีวิตกำลังจะพัง ก็นึกถึงหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง
แต่กำลังใจจะปฏิบัติธรรม เช่น สวดมนต์ เดินจงกลม นั่งสมาธิ ไม่มีเลย
ที่ทำให้ชีวิตกลับมาปกติอีกครั้งด้วยการ "ฟังธรรม"
ดิฉันฟังธรรมทุกวัน ทุกวัน ที่มีเวลาว่าง ฟังๆๆ ฟังจนหูจับกับเสียงได้สนิท จิตเป็นสมาธิ
บางครั้งหลับไปตื่นมาก็ยังได้ยินเสียงธรรมะๆ ต่างๆ ที่เปิดค้างไว้
ดิฉันฟังทั้งหมด นิทานธรรมะ นิยายธรรมะ เช่น "ความรักความร้าย"
หลักการฟัง คือ กำหนด "เสียงหนอ" คือปล่อยให้จิตใจอยู่กับการฟังแต่เพียงอย่างเดียว
จนนานวันเข้าๆ จิตมันไม่ปรุงแต่ง มันฟังเฉยๆ ฟังแล้วก็รู้ แค่นั้น แล้วดิฉันมารู้ตัวอีกที อาการหูแว่วก็หายไปค่ะ
เบ็ดเสร็จระยะเวลาที่หูแว่วก็ร่วมๆ ครึ่งปีค่ะ
ขอสรุปแนวทางการรักษาอาการหูแว่วด้วยตนเองอีกครั้งนะคะ
1. นอนหลับให้มากๆ ค่ะ
ถ้านอนไม่หลับ ทานยาคลายเครียดก็ต้องยอมค่ะ
เพราะการนอนพักผ่อนสำคัญมาก ถ้าสมองเราว้าวุ่นไม่หลับ เซลล์สมองจะเสื่อม
ทำให้เคมีในร่างกายแย่ขึ้นไปอีก แต่ตอนนั้น ไม่ได้รู้อะไรขนาดนั้น คิดแค่ว่า เหนื่อยอ่ะ อยากนอน
ก่อนนอนก็พยายามสวดบทสั้นๆ แล้วก็อโหสิกรรม แผ่เมตตา นอน นอน นอน
ระหว่างนอนก็ฟังเสียงธรรมะจากมือถือ กำหนดลมหายใจ เข้าออกให้ผ่อนคลายเป็นจังหวะบ้าง
คือนอนสมาธิในท่าสบายสุด ฝึกหายใจอย่างเดียว แล้วก็พยายามเพ่งไปที่สติไปที่การฟังเสียงธรรมะต่างๆ ที่เราชอบ
2. อย่าเพ่งจิตไปตามอารมณ์ที่รับรู้
คือถ้าเสียใจ อยากจะร้องไห้ ขอให้หยุดการเพ่งจิตไปที่เรื่องราวที่ทำให้เราเสียใจ เพื่อใจไม่คล้อยตามความทรงจำ
เช่น จิตหวนนึกเรื่อง abc แล้วเสียใจ เรารู้ตัวแล้วเราก็กำหนดรับรู้แทนว่า เรากำลังเสียใจหนอๆๆ
จิตใจเรามันจะถอนจากความทรงจำเรื่อง abc แล้วจะมีสติระลึกรู้ตัวได้
3. อย่าเพิ่งจิตไปตามเสียงที่ได้ยิน ถ้าได้ยินก็กำหนดแค่ว่า "ได้ยินหนอๆ"
แค่ได้ยิน สักแต่ว่าได้ยิน แล้วปล่อยให้มันผ่านไป ยิ่งถ้าไม่แน่ใจว่า หูแว่วไปหรือเปล่า ยิ่งช่างเถอะค่ะ แค่สักแต่ว่ารู้ ได้ยินก็พอ
*** นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าจิตใจเราไปขุดคุ้ยว่า เราได้ยินจริงหรือไม่ เราป่วยหรือเปล่า จะยิ่งได้ยินเสียงแว่วไปเรื่อยๆ ด้วยค่ะ
4. ทำอะไรอยู่ให้รู้ตัวเสมอ
โทรศัพท์วางไว้ตรงไหน ข้าวของ กระเป๋า นาฬิกา พยายามกำหนดจิตใจกับสิ่งเหล่านี้เสมอ จะช่วยฝึกสติได้มากค่ะ
เรียกว่าเป็นการเก็บหน่วยกิจให้สะสมเพิ่มมากขึ้นนะคะ
5. สิ่งสำคัญคือการ "ภาวนา" ค่ะ
ในช่วงที่สภาพจิตไม่ปกติเอามากๆ การภาวนา ยุบพอง พุทโธ อาจจะยากอยู่มาก และอาจทำให้เครียดสติแตกได้
ลองเปลี่ยนเป็นบริกรรมคำที่ถูกใจเพื่อระงับคลายความฟุ้งก่อน เช่น ช่างหัวมันหนอๆ
คือทำยังไงให้ได้ให้ "ใจเราปล่อย และวางเรื่องที่กลัดกลุ้มอยู่"
หากใครมีปัญหาเรื่องหูแว่วหรือกดดันจนรู้สึกเริ่มป่วยทางจิตจะหลังไมค์มาปรึกษากันดิฉันก็ยินดีพุดคุยด้วยนะคะ
แ ล ะ ข อ ใ ห้ ทุ ก ท่ า น ที่ เ ข้ า ม า อ่ า น ก ร ะ ทู้ นี้ ส ม ห วั ง ใ น ค ว า ม รั ก ทุ ก ค น
เคยหูแว่ว(ป่วยทางจิต) แล้วหายเองได้จากการปฏิบัติธรรมค่ะ
จากที่เคยหูแว่วได้ยินเสียงที่จิตมันหลอนขึ้นมาเอง กังวลมากว่าจะป่วยเป็นจิตเภทไปหรือไม่
ก็ปรากฏกว่า "หายเองได้ค่ะ" ทั้งที่อาการตอนนั้นก็น้องๆ จิตเภทแล้ว
ส่วนสาเหตุ... พูดตรงๆ เลยว่า ผิดหวังเรื่องความรัก
คือเราก็ไม่เคยรักใครมาก่อน มันจะรักมากไปหรือยังไงไม่รู้ แต่ก็ขอข้ามรายละเอียดแล้วกัน มันก็เป็นอดีตไปแล้ว
แต่เล่าคร่าวๆ ได้ว่า ตอนนั้นเราเริ่มแยกไม่ได้แล้วว่า เสียงที่เราได้ยิน มันเสียงจริงๆ หรือเสียงที่เราคิดขึ้นเอง
แต่ยอมรับว่า หูมันเหมือนได้ยินเสียง เช่น เสียงมือถือดัง เสียงคนพูดคุยกัน แต่เหมือนเรายังมีสติดีอยู่ ก็เริ่มสงสัยตัวเราเองว่ายังไงนะ
อาการตอนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ก็ทั้งเครียด ทั้งเศร้า จิตตก และเป็นห่วงตัวเองด้วย
จึงตัดสินใจไปหาจิตแพทย์ค่ะ ไปครั้งเดียวเท่านั้น เพราะคุณหมอท่านบอกว่างี้นะคะ
"ถ้าเริ่มทานยา คุณอาจต้องทานไปตลอดนะ คุณเลือกเอา จะกินยาตลอดชีวิต หรือจะยอมรับความจริง"
มารู้ในภายหลังก็เป็นจริงอย่างคุณหมอท่านว่า คนที่เครียดจนป่วย จนเป็นจิตเภทหรืออะไรก็แล้วแต่
ถ้าลองว่ากินยาปรับเคมีในสมองแล้ว "มักจะต้องกินไปตลอดชีวิต ไม่ค่อยหาย"
แต่ดิฉันก็หายมาได้ ไม่มีอาการหูแว่วอีกเลย
ก็ยึดหลักตามคุณหมอว่า คือ "ยอมรับความจริง" แต่การยอมรับความจริง มันไม่ใช่ง่ายๆ ใครก็รู้
ดิฉันจึงกล่าวได้ว่า ดิฉันยอมรับความจริงได้ เพราะปฏิบัติธรรม ค่ะ
หลักการปฏิบัติธรรมของดิฉันในตอนนั้น ไม่มีอะไร
ดิฉันมีความเคารพศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวันอยู่ดั้งเดิมแล้ว
ตอนนั้นพอดิฉันรู้ว่าจิตใจว้าวุ่นมาก เหมือนชีวิตกำลังจะพัง ก็นึกถึงหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง
แต่กำลังใจจะปฏิบัติธรรม เช่น สวดมนต์ เดินจงกลม นั่งสมาธิ ไม่มีเลย
ที่ทำให้ชีวิตกลับมาปกติอีกครั้งด้วยการ "ฟังธรรม"
ดิฉันฟังธรรมทุกวัน ทุกวัน ที่มีเวลาว่าง ฟังๆๆ ฟังจนหูจับกับเสียงได้สนิท จิตเป็นสมาธิ
บางครั้งหลับไปตื่นมาก็ยังได้ยินเสียงธรรมะๆ ต่างๆ ที่เปิดค้างไว้
ดิฉันฟังทั้งหมด นิทานธรรมะ นิยายธรรมะ เช่น "ความรักความร้าย"
หลักการฟัง คือ กำหนด "เสียงหนอ" คือปล่อยให้จิตใจอยู่กับการฟังแต่เพียงอย่างเดียว
จนนานวันเข้าๆ จิตมันไม่ปรุงแต่ง มันฟังเฉยๆ ฟังแล้วก็รู้ แค่นั้น แล้วดิฉันมารู้ตัวอีกที อาการหูแว่วก็หายไปค่ะ
เบ็ดเสร็จระยะเวลาที่หูแว่วก็ร่วมๆ ครึ่งปีค่ะ
ขอสรุปแนวทางการรักษาอาการหูแว่วด้วยตนเองอีกครั้งนะคะ
1. นอนหลับให้มากๆ ค่ะ
ถ้านอนไม่หลับ ทานยาคลายเครียดก็ต้องยอมค่ะ
เพราะการนอนพักผ่อนสำคัญมาก ถ้าสมองเราว้าวุ่นไม่หลับ เซลล์สมองจะเสื่อม
ทำให้เคมีในร่างกายแย่ขึ้นไปอีก แต่ตอนนั้น ไม่ได้รู้อะไรขนาดนั้น คิดแค่ว่า เหนื่อยอ่ะ อยากนอน
ก่อนนอนก็พยายามสวดบทสั้นๆ แล้วก็อโหสิกรรม แผ่เมตตา นอน นอน นอน
ระหว่างนอนก็ฟังเสียงธรรมะจากมือถือ กำหนดลมหายใจ เข้าออกให้ผ่อนคลายเป็นจังหวะบ้าง
คือนอนสมาธิในท่าสบายสุด ฝึกหายใจอย่างเดียว แล้วก็พยายามเพ่งไปที่สติไปที่การฟังเสียงธรรมะต่างๆ ที่เราชอบ
2. อย่าเพ่งจิตไปตามอารมณ์ที่รับรู้
คือถ้าเสียใจ อยากจะร้องไห้ ขอให้หยุดการเพ่งจิตไปที่เรื่องราวที่ทำให้เราเสียใจ เพื่อใจไม่คล้อยตามความทรงจำ
เช่น จิตหวนนึกเรื่อง abc แล้วเสียใจ เรารู้ตัวแล้วเราก็กำหนดรับรู้แทนว่า เรากำลังเสียใจหนอๆๆ
จิตใจเรามันจะถอนจากความทรงจำเรื่อง abc แล้วจะมีสติระลึกรู้ตัวได้
3. อย่าเพิ่งจิตไปตามเสียงที่ได้ยิน ถ้าได้ยินก็กำหนดแค่ว่า "ได้ยินหนอๆ"
แค่ได้ยิน สักแต่ว่าได้ยิน แล้วปล่อยให้มันผ่านไป ยิ่งถ้าไม่แน่ใจว่า หูแว่วไปหรือเปล่า ยิ่งช่างเถอะค่ะ แค่สักแต่ว่ารู้ ได้ยินก็พอ
*** นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าจิตใจเราไปขุดคุ้ยว่า เราได้ยินจริงหรือไม่ เราป่วยหรือเปล่า จะยิ่งได้ยินเสียงแว่วไปเรื่อยๆ ด้วยค่ะ
4. ทำอะไรอยู่ให้รู้ตัวเสมอ
โทรศัพท์วางไว้ตรงไหน ข้าวของ กระเป๋า นาฬิกา พยายามกำหนดจิตใจกับสิ่งเหล่านี้เสมอ จะช่วยฝึกสติได้มากค่ะ
เรียกว่าเป็นการเก็บหน่วยกิจให้สะสมเพิ่มมากขึ้นนะคะ
5. สิ่งสำคัญคือการ "ภาวนา" ค่ะ
ในช่วงที่สภาพจิตไม่ปกติเอามากๆ การภาวนา ยุบพอง พุทโธ อาจจะยากอยู่มาก และอาจทำให้เครียดสติแตกได้
ลองเปลี่ยนเป็นบริกรรมคำที่ถูกใจเพื่อระงับคลายความฟุ้งก่อน เช่น ช่างหัวมันหนอๆ
คือทำยังไงให้ได้ให้ "ใจเราปล่อย และวางเรื่องที่กลัดกลุ้มอยู่"
หากใครมีปัญหาเรื่องหูแว่วหรือกดดันจนรู้สึกเริ่มป่วยทางจิตจะหลังไมค์มาปรึกษากันดิฉันก็ยินดีพุดคุยด้วยนะคะ
แ ล ะ ข อ ใ ห้ ทุ ก ท่ า น ที่ เ ข้ า ม า อ่ า น ก ร ะ ทู้ นี้ ส ม ห วั ง ใ น ค ว า ม รั ก ทุ ก ค น