การเดินทาง 9
" แล้วเขากล่าว ไว้ว่าอย่างใด " เด็กชายถาม
" ก่อนที่เราจะอธิบายเราขอออกไปวาดให้ดูได้ไหม " วินัย หนอนหนังสือของชั้น ก็เอ๋ยเชิงร้องขอ
.. " ได้สิ " เด็กชายตอบกลับด้วยความยินดี
วินัยได้เดินออกไปหน้ากระดานรับปากกาจากเด็กชายอัจฉริยะ แล้วเริ่มวาดอะไรบางอย่างลงไปในกระดาน ... เสียงเอียดอาน ชวนให้นึกถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ...
วินัยหันกลับมา แล้วบอกว่า " เหมือนกับว่า ในหนังสือบอกไว้ว่า หากเราอยู่ในโลก เวลาจะเดินเร็วกว่า นอกโลก .. ถ้าเราอยู่ในโลก ทั้ง 2 คนแต่คนละซึกโลก เวลาของเราจะเท่ากัน นั้นก็หมายความว่า เราวัดเวลาจากแสง ..และโลกเป็นตัวบอกเวลาเหล่านั้น เพราะเรานับจากโลกเป็นหลัก .. อืม อาจจะเข้าใจยากซักหน่อย เอาแบบนี้ เรายกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ
เห็นล้อจักรยานไหม .. หากเราติดสติ๊กเกอร์สีแดงไว้ที่จุกเติมลมและ ติดสติ๊กเกอร์สีฟ้าตรงข้ามกับจุกเต็มลม .. แล้วเราทำการหมุนมันด้วยความเร็วอัตราคงที่ .. เวลาการเดินทางของสีแดง และสีฟ้า เท่ากัน !! ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 ข้างอยู่คนละที่กัน แต่อยู่ในล้อเหมือนกัน (นั้นคือโลกใบเดียวกัน)
แต่ถ้า... เราเอาดวงตาของเราแทนสิ่งที่อยู่นอกโลก .. มองสติ๊กเกอร์สีแดงหรือสีฟ้า ที่หมุนด้วยอัตราคงที่ .. ถ้าเราอยากเป็นปัจจุบัน.. เราต้องมีสายตาที่มองถามสีแดงหรือสีฟ้าทัน .. นั้นหมายความว่า บางครั้งมันเหมือนจะทันแต่จริงๆ มันอาจจะไม่ทัน นั้นเกิดการหน่วงเวลาในสมอง .. ของเราเอง
แต่พอความเร็วมันเริ่มช้าลง พอสายตาเรามองทัน เราก็จะกลับเข้าโหมดปัจจุบัน นั้นหมายความว่า .. ช่วงเวลาที่สายตาเราตามไม่ทัน นั้นคือเรากำลังหลอกตัวเองอยู่นั้นเอง (อันหลังเราอธิบายเพิ่มให้) "
" ฮาๆๆ ถูกต้องเลย วินัย นายนี้สุดยอดจริงๆ ใช่ครับสิ่งที่วินัยกล่าวมา ถูกต้องที่สุด .. แต่นั้นเป็นเพียงทฤษฏีในแนวนอน !! ส่วนที่ผมกำลังจะพูดคือทฤษฏีในแนวตั้ง .. " เด็กชายกล่าว
" อะไรนะ .. ไอน์สไตน์กล่าวไว้เป็นทฤษฏีแนวนอนหรือ .. ? มันหมายความว่ายังไง " วินัยถามพร้อมกับทำหน้า งง
.. ก็ตัวอย่างเช่น ..
" สมมุติว่า .. ทุกอย่างมือสนิท !! .. วินัยกับตี๋ยืนอยู่บนโลก .. ที่ไร้แสงอื่นใดลบกวนแม้แต่พระอาทิตย์ก็ไม่มี และเรายืนอยู่บนดวงจันทร์ เราได้ส่องไฟฉายมายังโลก .. ให้ตั้งวินาทีที่เปิดไฟฉายเป็น วินาทีที่ 1 แล้วเราปิดไฟฉายในวินาที่ 2
หลังจากนั้น .. ใช้เวลา 1 นาที วินัยและตี๋ถึงมองเห็นแสงของไฟฉาย ของเรา
แต่ถ้าหาก ตี๋เดินทางออกไปนอกโลก แล้วเดินทางมาหาเรา ตี๋จะเห็นแสงของไฟฉายเราในวินาที ที่ 59 นั้นหมายความว่าเห็นก่อนวินัย ... และตรงกันข้าม ตี๋ยิ่งหนีเรา หนีเราไปเท่ากับความเร็วของแสง ตี๋อาจจะเห็นแสงของเรา ช้ากว่าบนโลก อาจจะเห็นใน 1 นาที 3 วินาที (นี้คือการหน่วงของเวลา)
แต่ตี๋และวินัยต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า .. การเห็นแสงช้าหรือเร็วขึ้น ไม่ได้ทำให้เวลาปัจจุบันช้าลงหรือเร็วขึ้น เพราะถ้าไอตี๋กลับเข้าสู่โลก เวลาของตี๋กับวินัยก็เท่ากันอยู่ดี
และแสงที่วินัยกับตี๋เห็นนั้นคือแสงจากวินาที ที่ 1ของไฟฉายของเรา ถ้าจากให้พูดให้ถูกต้องก็คือ ปัจจุบันของเรา แต่เราเป็นอดีตของนายทั้ง 2 ปัจจุบันของนายทั้ง 2 กลับมีเวลาเท่ากับ ปัจจุบันของเรา วินัยเข้าใจไหม " เด็กชายยกตัวอย่างประกอบ
" เดี๋ยวนะ .. เธอจะบอกว่า เธอเปิดไฟฉาย ในวินาทีแรกบนดวงจันทร์ และทำไมวินัยไม่เห็นในวินาทีแรกเลยละ " เด็กผู้หญิงใส่แว่นถามด้วยความสงสัย
" ฮาๆ จริงเราว่า วินัยรู้อยู่แล้วกับคำอธิบายนี้ แสง.. ถึงแม้จะเร็วที่สุดแต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการเดินทางเหมือนกับวัตถุอื่นๆ เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่แปลก ถ้าหากเรากำลังตามหาสิ่งที่เป็นปัจจุบันที่แท้จริง มิใช่ปัจจุบันของเราเพียงคนเดียว " เด็กชายกล่าว
" ที่เธอกล่าวมามันก็จริงในเรื่องแสงยังต้องใช้เวลาในการเดินทาง แต่ยิ่งแสงเดินทางความเข้มของแสงก็ลดลงนี้ " อาจารย์ถามเด็กชายคนนั้น
" อาจารย์ครับ สมการในตัวอย่างผมบอกแล้วว่า ..อยู่บนโลกที่ไร้แสง.. นั้นแปลว่า ถึงแม้แสงจะถูกบั่นทอนลง แต่ก็ไม่ถึงกับหายไป เพราะไม่มีแสงใดมารบกวนแสงของไฟฉายของผม " เด็กชายกล่าวตอบกลับ
---- ทุกคนก็นิ่งแล้วคิดตามไปซักพัก แต่คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงเป็นวินัยที่ช่วยเพืิ่อนในการอธิบายเรื่องดังกล่าว ----
" งั้นเรา ขอถาม 2 ข้อได้ไหม " ไอตี๋เปิดประเด็นต่อ
" ได้สิ " เด็กชายตอบรับ
" ข้อแรก เราใช้อะไรในการนำทาง มายังโลก แบบว่า สัญลักษณ์ หรือ รูปแบบ หรือ วิธีที่จิตจะเดินทางเข้ามา ให้ฟังหน่อยจะได้ไหม ขอข้อแรกก่อน " ไอตี๋ถาม ข้อแรก
" อืมม ลืมไปเกือบสนิทเลย จริงๆ เรายังพูดถึงการมาของเราไม่จบเลยนี้หน่า หากถามว่า .. เรามายังไงหรอ อย่างที่บอกไปข้างต้น เราตามหาจากแสง .. แล้วเช็คจากสิ่งมีชีวิตว่าอยู่ได้หรือไม่ เหมาะแก่การจะเกิดอยู่ในรูปแบบของ กายหยาบหรือไม่ อันนี้เราอธิบายไปแล้ว แต่ถ้าถามว่า เรามาได้ยังไง ต้องบอกได้ว่า ยังมีจิตอีกมากที่กำลังเดินทางอยู่ในห้วงอวกาศนี้ และแน่นอน มีทั้งจิตที่เข้ามาบนโลก และออกไปจากโลก จิตที่เข้ามายังโลกนั้น เข้ามาทางที่มีสนามแม่เหล็กน้อยที่สุด .. เพื่อเป็นการป้องกันการเสียหายเมื่อถูกพลังงานอื่นรบกวน และแน่นอน .. จิตเราสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นคลื่น หรือ พลังงานอื่นที่ไม่ใช่จิตได้อยู่แล้ว
ต่อมาเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ทำการเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกนับ 0 วัน จนถึงวันที่ไม่รู้วันดับสุญของดาวที่ชื่อว่าโลก แต่ในเงื่อนไขดังกล่าว ก็แน่นอน .. มีเข้ามาก็ต้องมีออกไป เราก็จะออกไปทางที่มีสนามแม่เหล็กน้อยที่สุดเช่นกันเพื่อดำรงซึ่งข้อมูลของจิตเหล่านั้น .. ถามว่าทำไมต้องรักษาข้อมูลไว้ นั้นคือ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ .. เราคงใช้คำว่ามนุษย์ไม่ได้เต็มปาก เพราะคำนี้คือสิ่งที่เราตั้งขึ้นมาให้เข้าในว่า มนุษย์สัตว์ชั้นสูง ที่มีความคิด และ การกระทำที่เลือกได้ เราพูดว่า เราดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของเราเสียมากกว่า .. อาจจะเรียกว่ามนุษย์ก็คงจะดูเจาะจงเกินไป แต่ก็ไม่แปลกเพราะเรามิได้มีคำนิยายเพื่อจิตของเรา เสียหน่อย
และการเดินทางเราเข้ามาจากทางสว่าง และออกไปในทางมืด เพราะจิตของเราต้องกำหนดจุดการเดินต่อไปเราอาจจะไปเจอ พวกที่อยู่แกแลคซี่อื่น และไปเกิดวนเวียนอยู่ในนั้นก็เป็นได้ และนั้นยังสงเสริมกับทฤษฏีที่ว่า จิตมีเต็มอยู่ทั่วอวกาศ อีกด้วย .. ขาเก่ามา ขาใหม่ไป มันเป็นเรื่องปกติของจิต " เด็กชายกล่าว
" อืม... ถึงแม้จะฟังดูมีเหตุผลประกอบจนน่าตกใจอยู่นะแต่มันก็เป็นสิ่งที่เราไม่รู้อย่างแน่ชัดได้ " อาจารย์ เปรยๆเหมือนเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งสำหรับเรื่องนี้
" อืม ก็จริงแหะ ข้อสองนะ แล้วไอทฤษฏีแนวตั้งเป็นยังไง นายยังไม่เห็นพูดถึงมันเลย " ไอตี๋ติงถึงสิ่งที่ไม่ได้กล่าวถึง
" มันเป็นยังไงหรอ นั้นสินะ มันเป็นยังไง ฮาๆ " เสียงหัวเราะของเด็กชายฉายาอัจฉริยะ เหมือนบ่งบอกอะไรบางอย่าง
จบ การเดินทาง 9
ผู้เขียน นิธิศ วัชริศลาภิศ
.. ติดตามการเดินทาง 1-8 ได้ที่นี้ครับ
http://ppantip.com/topic/13109492
Soul Travel " การเดินทาง "
" แล้วเขากล่าว ไว้ว่าอย่างใด " เด็กชายถาม
" ก่อนที่เราจะอธิบายเราขอออกไปวาดให้ดูได้ไหม " วินัย หนอนหนังสือของชั้น ก็เอ๋ยเชิงร้องขอ
.. " ได้สิ " เด็กชายตอบกลับด้วยความยินดี
วินัยได้เดินออกไปหน้ากระดานรับปากกาจากเด็กชายอัจฉริยะ แล้วเริ่มวาดอะไรบางอย่างลงไปในกระดาน ... เสียงเอียดอาน ชวนให้นึกถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ...
วินัยหันกลับมา แล้วบอกว่า " เหมือนกับว่า ในหนังสือบอกไว้ว่า หากเราอยู่ในโลก เวลาจะเดินเร็วกว่า นอกโลก .. ถ้าเราอยู่ในโลก ทั้ง 2 คนแต่คนละซึกโลก เวลาของเราจะเท่ากัน นั้นก็หมายความว่า เราวัดเวลาจากแสง ..และโลกเป็นตัวบอกเวลาเหล่านั้น เพราะเรานับจากโลกเป็นหลัก .. อืม อาจจะเข้าใจยากซักหน่อย เอาแบบนี้ เรายกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ
เห็นล้อจักรยานไหม .. หากเราติดสติ๊กเกอร์สีแดงไว้ที่จุกเติมลมและ ติดสติ๊กเกอร์สีฟ้าตรงข้ามกับจุกเต็มลม .. แล้วเราทำการหมุนมันด้วยความเร็วอัตราคงที่ .. เวลาการเดินทางของสีแดง และสีฟ้า เท่ากัน !! ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 ข้างอยู่คนละที่กัน แต่อยู่ในล้อเหมือนกัน (นั้นคือโลกใบเดียวกัน)
แต่ถ้า... เราเอาดวงตาของเราแทนสิ่งที่อยู่นอกโลก .. มองสติ๊กเกอร์สีแดงหรือสีฟ้า ที่หมุนด้วยอัตราคงที่ .. ถ้าเราอยากเป็นปัจจุบัน.. เราต้องมีสายตาที่มองถามสีแดงหรือสีฟ้าทัน .. นั้นหมายความว่า บางครั้งมันเหมือนจะทันแต่จริงๆ มันอาจจะไม่ทัน นั้นเกิดการหน่วงเวลาในสมอง .. ของเราเอง
แต่พอความเร็วมันเริ่มช้าลง พอสายตาเรามองทัน เราก็จะกลับเข้าโหมดปัจจุบัน นั้นหมายความว่า .. ช่วงเวลาที่สายตาเราตามไม่ทัน นั้นคือเรากำลังหลอกตัวเองอยู่นั้นเอง (อันหลังเราอธิบายเพิ่มให้) "
" ฮาๆๆ ถูกต้องเลย วินัย นายนี้สุดยอดจริงๆ ใช่ครับสิ่งที่วินัยกล่าวมา ถูกต้องที่สุด .. แต่นั้นเป็นเพียงทฤษฏีในแนวนอน !! ส่วนที่ผมกำลังจะพูดคือทฤษฏีในแนวตั้ง .. " เด็กชายกล่าว
" อะไรนะ .. ไอน์สไตน์กล่าวไว้เป็นทฤษฏีแนวนอนหรือ .. ? มันหมายความว่ายังไง " วินัยถามพร้อมกับทำหน้า งง
.. ก็ตัวอย่างเช่น ..
" สมมุติว่า .. ทุกอย่างมือสนิท !! .. วินัยกับตี๋ยืนอยู่บนโลก .. ที่ไร้แสงอื่นใดลบกวนแม้แต่พระอาทิตย์ก็ไม่มี และเรายืนอยู่บนดวงจันทร์ เราได้ส่องไฟฉายมายังโลก .. ให้ตั้งวินาทีที่เปิดไฟฉายเป็น วินาทีที่ 1 แล้วเราปิดไฟฉายในวินาที่ 2
หลังจากนั้น .. ใช้เวลา 1 นาที วินัยและตี๋ถึงมองเห็นแสงของไฟฉาย ของเรา
แต่ถ้าหาก ตี๋เดินทางออกไปนอกโลก แล้วเดินทางมาหาเรา ตี๋จะเห็นแสงของไฟฉายเราในวินาที ที่ 59 นั้นหมายความว่าเห็นก่อนวินัย ... และตรงกันข้าม ตี๋ยิ่งหนีเรา หนีเราไปเท่ากับความเร็วของแสง ตี๋อาจจะเห็นแสงของเรา ช้ากว่าบนโลก อาจจะเห็นใน 1 นาที 3 วินาที (นี้คือการหน่วงของเวลา)
แต่ตี๋และวินัยต้องเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่า .. การเห็นแสงช้าหรือเร็วขึ้น ไม่ได้ทำให้เวลาปัจจุบันช้าลงหรือเร็วขึ้น เพราะถ้าไอตี๋กลับเข้าสู่โลก เวลาของตี๋กับวินัยก็เท่ากันอยู่ดี
และแสงที่วินัยกับตี๋เห็นนั้นคือแสงจากวินาที ที่ 1ของไฟฉายของเรา ถ้าจากให้พูดให้ถูกต้องก็คือ ปัจจุบันของเรา แต่เราเป็นอดีตของนายทั้ง 2 ปัจจุบันของนายทั้ง 2 กลับมีเวลาเท่ากับ ปัจจุบันของเรา วินัยเข้าใจไหม " เด็กชายยกตัวอย่างประกอบ
" เดี๋ยวนะ .. เธอจะบอกว่า เธอเปิดไฟฉาย ในวินาทีแรกบนดวงจันทร์ และทำไมวินัยไม่เห็นในวินาทีแรกเลยละ " เด็กผู้หญิงใส่แว่นถามด้วยความสงสัย
" ฮาๆ จริงเราว่า วินัยรู้อยู่แล้วกับคำอธิบายนี้ แสง.. ถึงแม้จะเร็วที่สุดแต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการเดินทางเหมือนกับวัตถุอื่นๆ เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่แปลก ถ้าหากเรากำลังตามหาสิ่งที่เป็นปัจจุบันที่แท้จริง มิใช่ปัจจุบันของเราเพียงคนเดียว " เด็กชายกล่าว
" ที่เธอกล่าวมามันก็จริงในเรื่องแสงยังต้องใช้เวลาในการเดินทาง แต่ยิ่งแสงเดินทางความเข้มของแสงก็ลดลงนี้ " อาจารย์ถามเด็กชายคนนั้น
" อาจารย์ครับ สมการในตัวอย่างผมบอกแล้วว่า ..อยู่บนโลกที่ไร้แสง.. นั้นแปลว่า ถึงแม้แสงจะถูกบั่นทอนลง แต่ก็ไม่ถึงกับหายไป เพราะไม่มีแสงใดมารบกวนแสงของไฟฉายของผม " เด็กชายกล่าวตอบกลับ
---- ทุกคนก็นิ่งแล้วคิดตามไปซักพัก แต่คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงเป็นวินัยที่ช่วยเพืิ่อนในการอธิบายเรื่องดังกล่าว ----
" งั้นเรา ขอถาม 2 ข้อได้ไหม " ไอตี๋เปิดประเด็นต่อ
" ได้สิ " เด็กชายตอบรับ
" ข้อแรก เราใช้อะไรในการนำทาง มายังโลก แบบว่า สัญลักษณ์ หรือ รูปแบบ หรือ วิธีที่จิตจะเดินทางเข้ามา ให้ฟังหน่อยจะได้ไหม ขอข้อแรกก่อน " ไอตี๋ถาม ข้อแรก
" อืมม ลืมไปเกือบสนิทเลย จริงๆ เรายังพูดถึงการมาของเราไม่จบเลยนี้หน่า หากถามว่า .. เรามายังไงหรอ อย่างที่บอกไปข้างต้น เราตามหาจากแสง .. แล้วเช็คจากสิ่งมีชีวิตว่าอยู่ได้หรือไม่ เหมาะแก่การจะเกิดอยู่ในรูปแบบของ กายหยาบหรือไม่ อันนี้เราอธิบายไปแล้ว แต่ถ้าถามว่า เรามาได้ยังไง ต้องบอกได้ว่า ยังมีจิตอีกมากที่กำลังเดินทางอยู่ในห้วงอวกาศนี้ และแน่นอน มีทั้งจิตที่เข้ามาบนโลก และออกไปจากโลก จิตที่เข้ามายังโลกนั้น เข้ามาทางที่มีสนามแม่เหล็กน้อยที่สุด .. เพื่อเป็นการป้องกันการเสียหายเมื่อถูกพลังงานอื่นรบกวน และแน่นอน .. จิตเราสามารถแยกแยะสิ่งที่เป็นคลื่น หรือ พลังงานอื่นที่ไม่ใช่จิตได้อยู่แล้ว
ต่อมาเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ทำการเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกนับ 0 วัน จนถึงวันที่ไม่รู้วันดับสุญของดาวที่ชื่อว่าโลก แต่ในเงื่อนไขดังกล่าว ก็แน่นอน .. มีเข้ามาก็ต้องมีออกไป เราก็จะออกไปทางที่มีสนามแม่เหล็กน้อยที่สุดเช่นกันเพื่อดำรงซึ่งข้อมูลของจิตเหล่านั้น .. ถามว่าทำไมต้องรักษาข้อมูลไว้ นั้นคือ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ .. เราคงใช้คำว่ามนุษย์ไม่ได้เต็มปาก เพราะคำนี้คือสิ่งที่เราตั้งขึ้นมาให้เข้าในว่า มนุษย์สัตว์ชั้นสูง ที่มีความคิด และ การกระทำที่เลือกได้ เราพูดว่า เราดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของเราเสียมากกว่า .. อาจจะเรียกว่ามนุษย์ก็คงจะดูเจาะจงเกินไป แต่ก็ไม่แปลกเพราะเรามิได้มีคำนิยายเพื่อจิตของเรา เสียหน่อย
และการเดินทางเราเข้ามาจากทางสว่าง และออกไปในทางมืด เพราะจิตของเราต้องกำหนดจุดการเดินต่อไปเราอาจจะไปเจอ พวกที่อยู่แกแลคซี่อื่น และไปเกิดวนเวียนอยู่ในนั้นก็เป็นได้ และนั้นยังสงเสริมกับทฤษฏีที่ว่า จิตมีเต็มอยู่ทั่วอวกาศ อีกด้วย .. ขาเก่ามา ขาใหม่ไป มันเป็นเรื่องปกติของจิต " เด็กชายกล่าว
" อืม... ถึงแม้จะฟังดูมีเหตุผลประกอบจนน่าตกใจอยู่นะแต่มันก็เป็นสิ่งที่เราไม่รู้อย่างแน่ชัดได้ " อาจารย์ เปรยๆเหมือนเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งสำหรับเรื่องนี้
" อืม ก็จริงแหะ ข้อสองนะ แล้วไอทฤษฏีแนวตั้งเป็นยังไง นายยังไม่เห็นพูดถึงมันเลย " ไอตี๋ติงถึงสิ่งที่ไม่ได้กล่าวถึง
" มันเป็นยังไงหรอ นั้นสินะ มันเป็นยังไง ฮาๆ " เสียงหัวเราะของเด็กชายฉายาอัจฉริยะ เหมือนบ่งบอกอะไรบางอย่าง
จบ การเดินทาง 9
ผู้เขียน นิธิศ วัชริศลาภิศ
.. ติดตามการเดินทาง 1-8 ได้ที่นี้ครับ http://ppantip.com/topic/13109492