ในชีวิตเมื่อเจอปัญหาเราทุกคนอาจคิดว่าชีวิตเราไม่เหลืออะไรแล้ว แต่บางทีเราก็อาจมองข้ามการช่วยเหลือจากพระเจ้า หนีออกจากเรือบดที่พระเจ้ามอบให้ตรงหน้า ไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาความเสี่ยง ความตายที่อยู่บนเรือ...พกพาความหยิ่งทะนง หยิ่งผยองในใจ คิดว่าตนเองเก่งไว้ที่พระเจ้า เหมือนกับเสือที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าใบในเรือ คิดว่าเราไม่ต้องพึ่งพาพระเจ้า เราช่วยตัวเองได้ด้วยคู่มือการเอาชีวิตรอดและความมั่งคั่งเป็นเสบียง ออกมาสร้างเรือไม้พายตุนเสบียงไว้บนความมั่นคงที่เราสร้างขึ้นเหมือนที่พาย พาเทลทำ.... แต่ความมั่นคงที่เราคิดว่าแน่นอนแล้วนั้นเมื่อเจอปัญหาใหญ่ๆโถมเข้าใส่จนเรือไม้พายแตกสลายไป...สุดท้ายเราก็ต้องดึงตัวกลับขึ้นมาอยู่บนเรือกลับมาสู่ทางรอดที่แท้จริงอยู่ดี...
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เรายึดถือยึดมั่นสูญสลายไป ท่ามกลางปัญหานั้นพระเจ้าได้ให้พายได้หยุดพักอย่างสงบคิดใคร่ครวญ มองออกไปกว้างๆ มองถึงความยิ่งใหญ่ของการทรงสร้าง เห็นผืนฟ้า อวกาศ ห้วงน้ำอันว่างเปล่าบรรจบกัน...เราเป็นใคร?เล็กน้อยแค่ไหน?เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ เราเป็นใครที่คิดจะอวดดีกับพระเจ้าและคิดว่าเราจะสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง บรรลุและรอดได้ด้วยกำลังของตัวเองโดยไม่พึ่งพาการช่วยเหลือของพระเจ้า
เมื่อพายูลูกใหญ่ซัดมาพายตะโกนเรียกเสือให้ออกมาเผชิญหน้ากับพายุ ให้มาดูฤทธิอำนาจของพระเจ้าร่วมกัน พายอาจรู้สึกเหมือนกำลังเรียกความหยิ่งยโสในใจของตัวเองให้ออกมาเผชิญหน้ากับพระเจ้า แต่สุดท้ายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฤทธิอำนาจของพระเจ้าทั้งเสือที่อยู่ในใจทั้งตัวพายเองก็หมดแรงแะเหนื่อยอ่อนกันทั้งคู่
แม้เราอาจจะไม่เชื่อไม่ศรัทธาในพระเจ้า แต่ให้รู้ไว้ว่าพระเจ้ามัดเชือกเล็กๆไว้กับเรือของเราเสมอ และรอวันที่เราจะดึงตัวเรามาขึ้นเรือที่พระเจ้ามอบให้ตั้งแต่แรก...
พายบอกว่าเค้าพบพระเจ้าตอนที่เสือและตัวเองกำลังจะแยกทางกัน เพราะนั่นเป็นตอนที่พายกำลังจะละทิ้งความหยิ่งยโสของตัวเองและปล่อยให้จิตสำนึกที่ต่อต้านพระเจ้าไปตลอดกาล เพื่อรับความช่วยเหลือที่แท้จริงที่มาจากพระเจ้า ยอมรับว่าเรามันอ่อนแอและช่วยตัวเองให้รอดด้วยความดีของเราไม่ได้เลย....
พายรู้สึกเสียใจและสำนึกทีหลังว่าอยากขอบคุณพ่อที่ได้สอนให้รู้ว่า... ความเย่อหยิ่ง(เสือ)ในตัวเราไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเรา เพราะความเย่อหยิ่ง ความยโสนั้นมองเห็นแต่เพียงตัวเองและทำให้เราเสียคน แต่อีกใจหนึ่งพายก็รู้สึกขอบคุณต่อความยโสนั้น ถ้าความหยิ่งยโสนั้นไม่เกิดขึ้นในใจของพาย เค้าก็คงไม่อาจพบกับพระเจ้าที่เคยตามหา...
สาเหตุที่พายบอกว่าตัวเองยังคงเชื่อทั้งคริสต์ อิสลาม และฮินดู ก็เพราะพายเองเล่าเรื่องการได้พบพระเจ้าในรูปแบบสองแบบ เรื่องนึงดูเหลือเชื่อ และอีกเรื่องที่ดูสมจริงสมจัง พายถามนักเขียนคนนั้นว่าจะเลือกเชื่อเรื่องไหน สุดท้ายไม่ว่าจะเลือกรูปแบบการเล่าเรื่องของพระเจ้าเรื่องไหน แบบไหนมันไม่สำคัญเท่ากับการที่เรายอมจำนนกับพระเจ้าจริงๆ และพายเชื่อว่าไม่ว่าจะพระวิษณุ พระเยซู พระอัลเลาะห์ ทั้งหมดคือพระเจ้าองค์เดียวกัน ที่ถูกพูดถึงกล่าวถึงต่างสถานที่ ต่างวัฒนธรรม ต่างเวลา....แต่ทุกอย่างเชื่อมกันอยู่ด้วยกันคือ.......การยอมจำนนต่อพระเจ้า
Life of Pi-ใจที่ยอมจำนนต่อพระเจ้า
ในชีวิตเมื่อเจอปัญหาเราทุกคนอาจคิดว่าชีวิตเราไม่เหลืออะไรแล้ว แต่บางทีเราก็อาจมองข้ามการช่วยเหลือจากพระเจ้า หนีออกจากเรือบดที่พระเจ้ามอบให้ตรงหน้า ไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาความเสี่ยง ความตายที่อยู่บนเรือ...พกพาความหยิ่งทะนง หยิ่งผยองในใจ คิดว่าตนเองเก่งไว้ที่พระเจ้า เหมือนกับเสือที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าใบในเรือ คิดว่าเราไม่ต้องพึ่งพาพระเจ้า เราช่วยตัวเองได้ด้วยคู่มือการเอาชีวิตรอดและความมั่งคั่งเป็นเสบียง ออกมาสร้างเรือไม้พายตุนเสบียงไว้บนความมั่นคงที่เราสร้างขึ้นเหมือนที่พาย พาเทลทำ.... แต่ความมั่นคงที่เราคิดว่าแน่นอนแล้วนั้นเมื่อเจอปัญหาใหญ่ๆโถมเข้าใส่จนเรือไม้พายแตกสลายไป...สุดท้ายเราก็ต้องดึงตัวกลับขึ้นมาอยู่บนเรือกลับมาสู่ทางรอดที่แท้จริงอยู่ดี...
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เรายึดถือยึดมั่นสูญสลายไป ท่ามกลางปัญหานั้นพระเจ้าได้ให้พายได้หยุดพักอย่างสงบคิดใคร่ครวญ มองออกไปกว้างๆ มองถึงความยิ่งใหญ่ของการทรงสร้าง เห็นผืนฟ้า อวกาศ ห้วงน้ำอันว่างเปล่าบรรจบกัน...เราเป็นใคร?เล็กน้อยแค่ไหน?เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ เราเป็นใครที่คิดจะอวดดีกับพระเจ้าและคิดว่าเราจะสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง บรรลุและรอดได้ด้วยกำลังของตัวเองโดยไม่พึ่งพาการช่วยเหลือของพระเจ้า
เมื่อพายูลูกใหญ่ซัดมาพายตะโกนเรียกเสือให้ออกมาเผชิญหน้ากับพายุ ให้มาดูฤทธิอำนาจของพระเจ้าร่วมกัน พายอาจรู้สึกเหมือนกำลังเรียกความหยิ่งยโสในใจของตัวเองให้ออกมาเผชิญหน้ากับพระเจ้า แต่สุดท้ายเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฤทธิอำนาจของพระเจ้าทั้งเสือที่อยู่ในใจทั้งตัวพายเองก็หมดแรงแะเหนื่อยอ่อนกันทั้งคู่
แม้เราอาจจะไม่เชื่อไม่ศรัทธาในพระเจ้า แต่ให้รู้ไว้ว่าพระเจ้ามัดเชือกเล็กๆไว้กับเรือของเราเสมอ และรอวันที่เราจะดึงตัวเรามาขึ้นเรือที่พระเจ้ามอบให้ตั้งแต่แรก...
พายบอกว่าเค้าพบพระเจ้าตอนที่เสือและตัวเองกำลังจะแยกทางกัน เพราะนั่นเป็นตอนที่พายกำลังจะละทิ้งความหยิ่งยโสของตัวเองและปล่อยให้จิตสำนึกที่ต่อต้านพระเจ้าไปตลอดกาล เพื่อรับความช่วยเหลือที่แท้จริงที่มาจากพระเจ้า ยอมรับว่าเรามันอ่อนแอและช่วยตัวเองให้รอดด้วยความดีของเราไม่ได้เลย....
พายรู้สึกเสียใจและสำนึกทีหลังว่าอยากขอบคุณพ่อที่ได้สอนให้รู้ว่า... ความเย่อหยิ่ง(เสือ)ในตัวเราไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเรา เพราะความเย่อหยิ่ง ความยโสนั้นมองเห็นแต่เพียงตัวเองและทำให้เราเสียคน แต่อีกใจหนึ่งพายก็รู้สึกขอบคุณต่อความยโสนั้น ถ้าความหยิ่งยโสนั้นไม่เกิดขึ้นในใจของพาย เค้าก็คงไม่อาจพบกับพระเจ้าที่เคยตามหา...
สาเหตุที่พายบอกว่าตัวเองยังคงเชื่อทั้งคริสต์ อิสลาม และฮินดู ก็เพราะพายเองเล่าเรื่องการได้พบพระเจ้าในรูปแบบสองแบบ เรื่องนึงดูเหลือเชื่อ และอีกเรื่องที่ดูสมจริงสมจัง พายถามนักเขียนคนนั้นว่าจะเลือกเชื่อเรื่องไหน สุดท้ายไม่ว่าจะเลือกรูปแบบการเล่าเรื่องของพระเจ้าเรื่องไหน แบบไหนมันไม่สำคัญเท่ากับการที่เรายอมจำนนกับพระเจ้าจริงๆ และพายเชื่อว่าไม่ว่าจะพระวิษณุ พระเยซู พระอัลเลาะห์ ทั้งหมดคือพระเจ้าองค์เดียวกัน ที่ถูกพูดถึงกล่าวถึงต่างสถานที่ ต่างวัฒนธรรม ต่างเวลา....แต่ทุกอย่างเชื่อมกันอยู่ด้วยกันคือ.......การยอมจำนนต่อพระเจ้า