SPOILER!!! เจ้าสาวแห่งทางสายไหม ตอนที่ 27 - เหยี่ยวปีกหัก

ถึงจะเลยเวลามานานโขแล้ว แต่ก็ขอสวัสดีปีใหม่อีกรอบในกระทู้ Spoil ราย 2 เดือนกระทู้นี้นะครับ

เดือนนี้มาช้ากว่าปกติไปเยอะเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวดิบเพิ่งจะออกมาเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เองครับ ครั้นจะเปิดหนังสือเขียนเอาก็ไม่ได้ เพราะนิตยสาร Fellows! ที่ผมสั่งไว้ก็ยังไม่มาซะทีเหมือนกัน เลยต้องรอมาจนถึงวันตัวดิบออกวันนี้นี่แหละครับถึงได้เขียน

อนึ่ง สำหรับเนื้อหาตอนนี้ผมคำเตือนล่วงหน้าเล็กน้อยครับ ขอเตือนว่าผู้อ่านท่านใดที่รักสัตว์มาก รับไม่ได้ที่จะเห็นการกระทำไม่ดีใดๆ กับสัตว์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความจำเป็นใดๆ ก็ตาม อย่าอ่านกระทู้นี้เด็ดขาดเลยนะครับ เพราะอาจมีเนื้อหาบางอย่างที่ค่อนข้างสะเทือนใจคนรักสัตว์อยู่มากเหมือนกัน...ถึงจะเป็นการทำไปด้วยความจำเป็นก็เถอะ

ถ้าท่านผ่านเงื่อนไขในคำเตือนข้างต้นไปได้ ก็เชิญชม Spoil เนื้อหาตอนนี้ไปด้วยกันได้เลยครับ




ภาพเปิดตอนนี้ครับ




โคลสอัพระยะใกล้ให้เห็นความสวยของอามีร่า + รายละเอียดของภาพแบบชัดๆ อมยิ้ม07





เปิดตอนมาต่อจากตอนที่แล้วที่เป็นตอนจบเนื้อเรื่องของไลล่ากับเลย์ลี่ "เจ้าสาวลำดับที่ 3" ของเรื่อง

ฉากตัดกลับไปยังหมู่บ้านของคาร์ลุคกับอามีร่ากันอีกครั้งหลังจากแพนกล้องไปทางฝั่งสมิธอยู่นาน กล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวหมู่บ้านกับชาวเผ่าเร่ร่อนที่ใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยกันมาตลอด โดยชาวหมู่บ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ตั้งที่อยู่ถาวรมากแต่แรก ไม่ก็อดีตชาวเผ่าเร่ร่อนที่เลือกจะตั้งรกรากเป็นหลักแหล่งทีหลังจะพึ่งพาสินค้าที่ชาวเผ่าเร่ร่อนได้มาระหว่างเดินทาง ในขณะที่ชาวเผ่าเร่ร่อนก็ต้องการสินค้าจำพวกผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ จากชาวบ้านที่อยู่เป็นหลักแหล่งเช่นกัน นอกจากนี้การพบกันระหว่างชาวเผ่าเร่ร่อนกับชาวบ้านที่อยู่เป็นหลักแหล่งยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากในท้องถิ่นของตนกับข่าวสารจากนอกถิ่นที่ชาวเผ่าเร่ร่อนนำมาอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ข่าวสารที่แลกเปลี่ยนกันในช่วงนี้มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรุกรานของรัสเซียซึ่งทำให้เกิดความตึงเครียดไปทั่วดินแดนทุ่งหญ้าและทะเลทราบแถบนี้เป็นอันมาก

ฉากตัดอีกครั้ง ไปทางฝั่งอามีร่าที่ควบม้าออกไปล่าสัตว์สำหรับเป็นอาหารตามปกติ โดยหลังจากล่าแพะตัวอ้วนพีมาได้ตัวหนึ่งแล้ว (มีฉากอามีร่าโชว์เทพควบม้าดักหน้าดักหลังต้อนฝูงแพะป่า แล้วฉวยโอกาสยิงธนูฉึกเข้าให้ด้วย) อามีร่าก็จัดการเอาแพะขึ้นผูกกับหลังม้า แล้วควบกลับบ้าน

ระหว่างทางที่ควบกลับบ้านนั้นเอง อามีร่าก็สังเกตเห็นว่าบนพื้นตรงหน้ามีเลือดกับขนนกหย่อมหนึ่งตกกระจุยอยู่ พอทอดสายตามองตามรอยเลือดไปก็เห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งนอนอยู่บนพื้นดินตรงข้างทาง ปีกข้างหนึ่งของมันบาดเจ็บตกห้อยอยู่ข้างตัว ขนปลายปีกที่หลุดลุ่ยนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดจากแผลใหญ่ที่กลางปีก ขณะที่อีกปีกซึ่งยังดีอยู่ก็สะบัดพั่บๆ อย่างบ้าคลั่งคล้ายจะพยายามยกตัวบินขึ้นให้ได้ด้วยปีกที่เหลืออยู่ข้างเดียวนั้น

เห็นครั้งแรก แม้จะแสดงทีท่าสงสารอยู่บ้าง แต่อามีร่าก็ทำท่าจะควบม้าจากไปเพราะคิดว่าเป็นเหยี่ยวป่าบาดเจ็บซึ่งไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย แต่พอสังเกตเห็นปลอกหนังติดสายโยงที่ข้อเท้าอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นเหยี่ยวมีเจ้าของปุ๊บก็ชะงัก เหลียวซ้ายแลขวาดูว่าเจ้าของเหยี่ยวที่อาจกำลังออกตามหาเหยี่ยวของตนอยู่ใกล้ๆ นี้หรือไม่อยุ่ครู่หนึ่ง ครั้นไม่เห็นใครก็ตัดสินใจควบม้ากลับไปหาทันที เจ้าเหยี่ยวพอเห็นคนแปลกหน้าควบม้าเข้ามาใกล้ก็ชูหัวขึ้นส่งเสียงขู่อย่างดุร้าย อามีร่าต้องใช้ผ้าคลุมหัวปิดตาไว้ รอจนเจ้าเหยี่ยวยอมอยู่นิ่งๆ จึงค่อยตรงเข้าไปช้อนร่างในผ้าคลุมขึ้นอย่างเบามือ แล้วเร่งควบกลับบ้านอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้โดยไม่กระเทือนต่ออาการบาดเจ็บของเจ้าเหยี่ยวนั้น


เจ้าเหยี่ยวพองขนใส่อามีร่าพร้อมส่งเสียงร้องขู่




ควบม้ามาได้ครู่ใหญ่ก็มาถึงบ้านตระกูลไอฮานอันเป็นที่อยู่ของตนเองกับคาร์ลุคผู้เป็นสามีกับครอบครัว คาร์ลุคพอเห็นอามีร่ากลับมาก็หันไปส่งเสียงร้องทักอย่างยินดี แต่อามีร่าไม่สนใจคาร์ลุคแม้แต่น้อย กลับลงจากม้าวิ่งไปถามแม่ของคาร์ลุคว่าขอใช้ห้องเก็บของตรงนี้ได้มั้ย ครั้นได้รับอนุญาต อามีร่าก็กระวีกระวาดเข้าไปขนเอาของที่อยู่ในห้องเก็บของนั้นออกมาจนหมด สร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนในบ้านรวมถึงคาร์ลุคผู้ยืนใบ้รับประทานด้วยความช็อคปนงงที่โดนอามีร่าเมินใส่เป็นอันมาก

หลังจากจัดที่ทางในห้องเก็บของสำหรับเป็นที่นอนให้เจ้าเหยี่ยวบาดเจ็บเสร็จ อามีร่าก็บอกทุกคนในบ้านถึงเรื่องของเหยี่ยวที่ตัวเองเก็บมาทันที ทีเลเก้ลูกสาวคนโตของพี่สาวคาร์ลุคผู้ชื่นชอบเหยี่ยวเป็นชีวิตจิตใจได้ยินดังนั้นก็ตาลุกเป็นประกาย วิ่งไปหาอามีร่าจะขอดูเหยี่ยวตัวเป็นๆ ให้เห็นกับตาสักครั้ง แต่อามีร่าห้ามไว้บอกว่าตอนนี้เหยี่ยวตัวนั้นบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นควรจะให้อยู่ในที่เงียบๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บอยู่นั้นอันตรายกว่าสัตว์ทั่วไปมาก หากมีคนเข้าใกล้ก็อาจจะตื่นตกใจทำร้ายคน หรือแย่ยิ่งกว่านั้นคือทำร้ายจนตัวเองบาดเจ็บหนักขึ้นได้

แต่ถึงอย่างนั้น ทีเลเก้ก็ยังอยากดูเหยี่ยวตัวเป็นอยู่ดี อามีร่าได้ยินดังนั้นก็ใจอ่อนยอมพาไปดูโดยกำชับว่าอย่าเข้าใกล้หรือส่งเสียงดังให้เหยี่ยวตกใจเด็ดขาด ให้แอบมองได้แค่จากนอกประตูเท่านั้น ทีเลเก้ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ดูเหยี่ยวเสร็จก็ชวนกันกลับมาคุยกับที่บ้านต่อ อามีร่าบอกว่าเหยี่ยวตัวนี้มีปลอกหนังติดสายโยงที่ข้อเท้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเป็นเหยี่ยวมีเจ้าของ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจพากลับมารักษาที่บ้านเผื่อว่าเจ้าของจะมาตามหา คาร์ลุคได้ยินดังนั้นก็อาสาไปถามหารวมถึงขอแรงเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ให้ช่วยตามหาเจ้าของเหยี่ยวด้วย

คุยกับเพื่อนบ้านเสร็จ คาร์ลุคก็กลับมาบอกข่าวกับอามีร่าที่กำลังเย็บหมวกปิดตาเหยี่ยวง่วนอยู่ พร้อมถามถึงอาการของเหยี่ยวว่าเป็นไงบ้าง อามีร่าก็ตอบว่าก็ไม่เป็นไรมากแล้ว ยังกินอาหารได้เป็นปกติแบบนี้ถ้าอยู่เฉยๆ สักพักแผลที่ปีกก็คงหายเอง คาร์ลุคได้ฟังก็ยิ้มแล้วบอกว่าถ้าเจ้าเหยี่ยวกลับมาบินได้อีกครั้งก็คงดีไม่น้อยเลย

ได้ยินสามีพูดดังนั้น สีหน้าของอามีร่าก็หมองลงทันควัน เธอเตือนคาร์ลุคว่าอย่าให้ทีเลเก้อยู่ใกล้หรือนึกผูกพันกับเหยี่ยวตัวนี้มากเกินไปเด็ดขาด เพราะหากแผลหายแล้วเจ้าเหยี่ยวยังบินไม่ได้ละก็ ก็เหลือทางเดียวคือต้องฆ่าเท่านั้น คาร์ลุคชะงักไปแว่บหนึ่งก็พยักหน้ารับเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ

ตอนนั้นเอง อามีร่าก็เย็บหมวกปิดตาให้เจ้าเหยี่ยวเสร็จพอดี เลยเอาไปให้แม่ใหญ่ของบ้าน (คุณย่าของคาร์ลุค) ดูว่าแบบนี้ใช้ได้มั้ย เพราะตัวเองเคยแต่เห็นพวกพ่อทำเท่านั้น ไม่เคยทำเองสักครั้ง (การฝึกเหยี่ยวกับการล่าสัตว์ด้วยเหยี่ยวส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของผู้ชาย ผู้หญิงไม่ค่อยได้รับหน้าที่เท่าไหร่) แม่ใหญ่เอาหมวกมาพลิกดูครู่หนึ่งก็บอกๆ ว่าไม่แน่ใจเหมือนกัน ตัวเองก็ไม่ได้เห็นหมวกปิดตาเหยี่ยวมานานแล้วด้วย ลงเอยก็ให้กำลังใจว่าถ้าขนาดไม่พอดีเอามาเย็บแก้ซะก็สิ้นเรื่อง อามีร่าเลยรีบเอาหมวกปิดตาไปลองสวมให้เจ้าเหยี่ยวดู ปรากฎว่าใส่ได้พอดีเปี๊ยบ สวมให้เสร็จก็ปล่อยให้เจ้าเหยี่ยวนอนอยู่เงียบๆ เฉยๆ แล้วออกมาข้างนอก โดยระหว่างออกมาก็อธิบายให้คาร์ลุคที่ยืนงงๆ อยู่ฟังว่าถ้าปิดตาเหยี่ยวไว้ให้มองไม่เห็นอะไร เหยี่ยวก็จะอยู่นิ่งๆ ไม่เครียดไม่อาละวาดให้ปีกบาดเจ็บหนักกว่าเดิม


หมวกปิดตาเหยี่ยวที่อามีร่าทำเอง




ภาพเจ้าเหยี่ยวกับหมวกปิดตาครับ




ปัญหาเรื่องการดูแลเหยี่ยวบาดเจ็บหมดไปแล้ว ทว่านั่นกลับนำพาปัญหาอีกอย่างมาให้แบบคาดไม่ถึง เพราะหลังจากที่รับเจ้าเหยี่ยวมาดูแล อามีร่าก็เอาแต่สนใจเรื่องอาการของเจ้าเหยี่ยวตัวนั้น คอยสาละวนดูแลประคบประหงมอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีเวลาให้กับคาร์ลุคเลย ฝ่ายคาร์ลุคแม้ทีแรกจะทำเหมือนไม่ใส่ใจต่อความห่างเหินของอามีร่า แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มรู้สึกเหมือนโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวมากขึ้นทุกที เพราะกระทั่งเวลาน้อยนิดที่ได้อยู่ด้วยกัน อามีร่าก็ยังเอาแต่คุยเรื่องเหยี่ยวตัวนั้นอยู่แทบตลอดเวลา ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กชายรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ได้แต่เก็บไว้เงียบๆ เท่านั้น

ที่สุดเมื่อไม่พอใจหนักเข้า เด็กชาก็ไปปรับทุกข์ให้ปู่ฟังเรื่องที่อามีร่าสนใจแต่เหยี่ยวจนไม่มีเวลาได้พูดคุยอะไรกันเลย ฝ่ายปู่เห็นหลานชายพูดจาเลี่ยงไปเลี่ยงมาแบบนั้นก็อมยิ้มแล้วแกล้งแซวเล่น (แต่เนื้อหาจริงจังแถมยังตรงประเด็นเป็นบ้าว่า) "หึงเค้าอยู่ใช่มั้ยล่ะ?"

คำแซวของปู่ทำเอาคาร์ลุคสะดุ้งโหยงบอกปัดเป็นพัลวันว่าจะบ้ารึไง อีกฝ่ายเป็นเหยี่ยวนะ จะให้ไปหึงเหยี่ยวเนี่ยได้ที่ไหนกัน ปู่ก็ตอบแบบคนผ่านโลกมามากว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนรึเป็นเหยี่ยวก็ไม่ต่างกันหรอก ลองเมียตัวเองไปดูแลใกล้ชิดซะขนาดนั้นยังไงก็ต้องอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหมือนโดนแย่งคนสำคัญไปนั่นละ

เจอปู่พูดแทงใจดำเอาแบบนั้น คาร์ลุคก็ได้แต่หน้าแดงซ่านก้มหน้าลงเหมือนจะยอมรับโดยดุษณี ฝ่ายปู่เห็นหลานยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วดังนั้นก็หันไปกวักมือเรียกอามีร่าที่เดินผ่านมาแถวนั้นพอดีพร้อมเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำเอาอามีร่าถึงกับใบ้รับประทานออกอาการเป๋ไปเป๋มาทำอะไรไม่ถูก (มีฉากตลกๆ ตรงนี้หน่อยนึงตอนอามีร่าบอกคาร์ลุคว่า "แต่เหยี่ยวที่ใช้ล่าสัตว์น่ะปกติใช้ตัวเมียกันนะคะ" เล่นเอาผมเงิบไปเลย ) คุณปู่เห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วบอกว่าตัวคาร์ลุคเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเรื่องเอาเหยี่ยวบาดเจ็บมาดูแลหรอก ว่าแล้วก็หันไปถามกระตุ้นคาร์ลุคว่าตัวคาร์ลุคอยากให้เป็นแบบไหนล่ะ


คาร์ลุคคุงหน้าแดงเพราะโดนปู่ถามจี้ใจดำว่าหึงที่แฟนไปสนใจแต่เหยี่ยวอยู่รึเปล่า




"อย่าสนใจแต่เหยี่ยวเลย...สนใจผมบ้างเถอะ..." คือคำตอบตะกุกตะกักไม่เต็มเสียงของเด็กชายหลังจากนิ่งเงียบไปตลอดทั้งวันกับคำถามกระตุ้นของผู้เป็นปู่ จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึกก่อนเข้านอนของทั้งสองคน

คำตอบของสามีตัวน้อยทำเอาอามีร่าถึงกับนิ่งอึ้ง ด้วยรู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวเองเอาแต่สนใจเหยี่ยวมากเกินไปจริงๆ เธอก้มศีรษะขอโทษเด็กชายจากใจจริงที่ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวมาตลอด

ความเงียบอันน่าอึดอัดดำเนินไประหว่างทั้งคู่เนิ่นนาน ก่อนที่เด็กชายจะยื่นมือทั้งคู่ออกไปหาเจ้าสาวของตน อามีร่าชะงักอย่างลังเลอยู่แว่บเดียวก็ยื่นมือของตนออกไปจับมือเด็กชายไว้

คู่สามีภรรยาต่างวัยต่างยิ้มให้กันอย่างเขินๆ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนริมฝีปากเข้าหากันในที่สุด

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่