หลังจากหุ้น 1 สตางค์ อย่าง N-PARK ขึ้นไปโลดแล่นที่ 6 สตางค์ และยืนราคาอยู่ได้หลายวันแล้ว หลังมีข่าวจะเพิ่มทุนมหาศาลขาย PP ให้กับประชา มาลีนนท์ ในกลางปีนี้ ที่ราคาราว 0.03 บาท เจ้ามือในตลาดก็ขุดเอาหุ้นเล็กหุ้นน้อยขึ้นมาเล่น บางตัวก็มีข่าวสนับสนุน แต่บางตัวก็มาแบบงงๆ ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไร เขาเล่น เราก็เล่น เพราะขนาด N-PARK ยังเล่นเลย
ไปๆมาหลัง N-PARK วิ่งขึ้นไปแล้ว ตอนนี้หุ้นที่ถูกที่สุดในกระดานก็ตกเป็นของ IEC และแน่นอน หลายๆคนเริ่มหันมาจับจ้องหุ้นตัวนี้ โดยหวังว่ามันจะวิ่งขึ้นไปสัก 6 - 7 สตางค์ เช่นเดียวกันกับ N-PARK หรือไม่แน่อาจวิ่งทะยานแบบ LIVE ซึ่งเป็นหุ้นปั่นใน Generation เดียวกันมาก่อน ทีนี้ก็มาดูกันว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรใน IEC บ้าง
- IEC ตัดสินใจร่วมลงทุนทำโรงไฟฟ้า (ถ้าไม่ผิดจะผลิตไฟฟ้าจากขยะ) โดยเป็นการร่วมทุนกับ EGCO ฝ่ายละ 200 ล้านบาท ซึ่งได้มีการจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดำเนินการ เรื่องนี้นับว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของนักลงทุนในตลาดเป็นอันมาก เพราะงงๆว่าบริษัทที่ทำธุรกิจขายมือถือ ทำไมถึงมาทำโรงไฟฟ้าได้ กำลังเกิดอะไรขึ้น??
- ธุรกิจหลัก อย่างธุรกิจมือถือของ IEC ล่ะ บริษัทจะทำอะไร คำตอบออกมาแล้ว นั่นคือ ขายครับ ขายเกลี้ยง ขายร้าน Nokia Shop ให้กับ Mlink นอกจากนั้นก็ยังขายสิทธิการเช่าร้าน IEC Shop ต่อให้กับบริษัท CSC ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายมือถือรายหนึ่ง ซึ่ง CSC นี้ก็ได้ทำการซื้อร้านของ Blisstel ไปทั้งหมดก่อนหน้านี้แล้ว
- สรุปว่า ณ เวลานี้ IEC ไม่เหลือธุรกิจเดิมซึ่งเป็นธุรกิจการขายโทรศัพท์มือถืออีกแล้ว
- เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มทุนในอัตรา 2 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 0.01 บาท เป็นการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกราว 2 พันล้านบาท หรือ 2 หมื่นล้านหุ้น แต่บริษัทขายหุ้นเพิ่มทุนได้ราว 1.4 หมื่นล้านหุ้น เหลืออีกประมาณ 6 พันล้านหุ้นที่ไม่มีคนจอง ซึ่งก็จะขาย PP ต่อไป การเพิ่มทุนครั้งนี้ ทำให้บริษัทได้เงินเข้ามาอีกราว 140 ล้านบาท
- เท่าที่รู้มา ผู้บริหารมีโปรเจกท์โรงไฟฟ้าในใจอยู่อีก 4 - 5 แห่ง แต่ปัญหาอยู่ที่เงินทุน ซึ่งปัจจุบันขายร้านมือถือทั้งหมดไป ได้เงินเข้ามาราว 45 ล้านบาท บวกกับเงินเพิ่มทุนอีกราว 140 ล้าน เท่ากับว่ามีเงิน 185 ล้านบาท หากต้องการลงทุนในโรงไฟฟ้าขนาดเดียวกันกับที่เปิดดำเนินงานแล้ว ก็จะต้องใช้เงินลงทุน 400 ล้านบาท ยังขาดอีกราว 200 ล้าน (EGCO ไม่มีแผนจะร่วมทุนเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะ EGCO สร้างโรงไฟฟ้าในสเกลใหญ่มาก จะมาลงทุนทำโรงไฟฟ้าเล็กๆเพื่ออะไร การร่วมทุนกับ IEC ก่อนหน้านี้จึงน่าจะเกิดจากความสัมพันธ์ส่วนตัว)
- หุ้นส่วนที่เหลืออีก 6000 ล้านหุ้นนั้น น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการหาเงินของ IEC ซึ่งอย่างน้อยก็ทำให้ IEC หาเงินเพิ่มได้อีก 60 ล้านบาท หรือหากบริษัทจะมีมติเปลี่ยนแปลงราคาขายหุ้นส่วนนี้ ทุกๆ 1 สตางค์ที่เพิ่มขึ้น บริษัทจะได้เงินเพิ่มขึ้น 60 ล้านบาท สมมติถ้าบริษัทต้องการเงินอีก 200 ล้านในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ขอให้ขายหุ้นส่วนที่เหลือนี้ได้สัก 0.04 บาท ก็ได้เงินพอแล้ว
- ดังนั้น หากเป็นไปนี้ คาดว่า IEC น่าจะจับตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำ แต่งตัวให้สะอาดเอี่ยมอีกสักพัก จากนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจจะขอย้ายเข้าไปซื้อขายในหมวดพลังงานต่อไป เพราะโครงสร้างรายได้ของบริษัทนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
- การเพิ่มทุนอีกรอบ ถามว่าเป็นไปได้ไหม ก็มีความเป็นไปได้ หากบริษัทยังคงต้องการเงินลงทุน แต่คาดว่าไม่น่าจะใช่ในเร็วๆนี้ เพราะเพิ่มจะให้ RO เพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมมาไม่ถึง 3 เดือน ถ้าจะเพิ่มอีกรอบในเร็วๆนี้ก็จะถี่เกินไป ดังนั้นในระยะเวลาอันใกล้สัก 4 - 5 เดือนนี้ การเพิ่มทุนยังไม่น่าจะเกิดขึ้น
- ประเด็นเรื่องเงินกู้ คาดว่าการจะหาเงินกู้จากสถาบันการเงิน คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบริษัทอย่าง IEC ด้วย current ratio ที่สูงมาก และ D/E ratio ราว 1.2 ผมไม่ค่อยเชื่อว่าจะมีแบงก์ไหนกล้าปล่อย แต่ก็ไม่แน่ หากบริษัทสามารถทำ feasibility study และส่ง project ให้กับสถาบันการเงินพิจารณาเฉพาะในส่วนของโรงไฟฟ้า ก็อาจจะพอมีโอกาสได้เงินกู้เหมือนกัน คล้ายๆกับกรณีของ KBANK กับ SPCG แต่อย่างไรเสีย อาจต้องมีการปรับโครงสร้างทางการเงินอะไรบางอย่างก่อนการได้เงินกู้
- ไม่ได้บอกว่าหุ้น IEC จะดีหรือไม่ดี แต่ใครที่ยังติดภาพว่า IEC เป็นหุ้นปั่น ไม่ได้ทำธุรกิจอะไร หรือยังมองภาพว่าเป็นบริษัทขายมือถือ คงต้องมองบริษัทนี้เสียใหม่ เพราะเขากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงโดยผันตัวไปทำธุรกิจที่แตกต่างออกไปเลย แต่ถามว่า งั้นลุยเลยดีไหม ก็เอาไปพิจารณากันเองละกัน บริษัทกำลังเริ่มหันมาจับธุรกิจด้านพลังงาน อนาคตไม่มีใครบอกได้ว่าจะรุ่งหรือจะร่วง ดังนั้น ใครจะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็ขึ้นอยู่กับว่า มองอนาคตของบริษัทอย่างไร แต่ที่แน่ๆ IEC วันนี้ ไม่ใช่มือถืออีกต่อไป
IEC อาบน้ำแต่งตัวใหม่ แต่จะสวยโดนใจหรือไม่ ยังต้องรอดูกันต่อไป
ไปๆมาหลัง N-PARK วิ่งขึ้นไปแล้ว ตอนนี้หุ้นที่ถูกที่สุดในกระดานก็ตกเป็นของ IEC และแน่นอน หลายๆคนเริ่มหันมาจับจ้องหุ้นตัวนี้ โดยหวังว่ามันจะวิ่งขึ้นไปสัก 6 - 7 สตางค์ เช่นเดียวกันกับ N-PARK หรือไม่แน่อาจวิ่งทะยานแบบ LIVE ซึ่งเป็นหุ้นปั่นใน Generation เดียวกันมาก่อน ทีนี้ก็มาดูกันว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรใน IEC บ้าง
- IEC ตัดสินใจร่วมลงทุนทำโรงไฟฟ้า (ถ้าไม่ผิดจะผลิตไฟฟ้าจากขยะ) โดยเป็นการร่วมทุนกับ EGCO ฝ่ายละ 200 ล้านบาท ซึ่งได้มีการจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมาดำเนินการ เรื่องนี้นับว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของนักลงทุนในตลาดเป็นอันมาก เพราะงงๆว่าบริษัทที่ทำธุรกิจขายมือถือ ทำไมถึงมาทำโรงไฟฟ้าได้ กำลังเกิดอะไรขึ้น??
- ธุรกิจหลัก อย่างธุรกิจมือถือของ IEC ล่ะ บริษัทจะทำอะไร คำตอบออกมาแล้ว นั่นคือ ขายครับ ขายเกลี้ยง ขายร้าน Nokia Shop ให้กับ Mlink นอกจากนั้นก็ยังขายสิทธิการเช่าร้าน IEC Shop ต่อให้กับบริษัท CSC ซึ่งเป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายมือถือรายหนึ่ง ซึ่ง CSC นี้ก็ได้ทำการซื้อร้านของ Blisstel ไปทั้งหมดก่อนหน้านี้แล้ว
- สรุปว่า ณ เวลานี้ IEC ไม่เหลือธุรกิจเดิมซึ่งเป็นธุรกิจการขายโทรศัพท์มือถืออีกแล้ว
- เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา บริษัทเพิ่มทุนในอัตรา 2 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 0.01 บาท เป็นการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกราว 2 พันล้านบาท หรือ 2 หมื่นล้านหุ้น แต่บริษัทขายหุ้นเพิ่มทุนได้ราว 1.4 หมื่นล้านหุ้น เหลืออีกประมาณ 6 พันล้านหุ้นที่ไม่มีคนจอง ซึ่งก็จะขาย PP ต่อไป การเพิ่มทุนครั้งนี้ ทำให้บริษัทได้เงินเข้ามาอีกราว 140 ล้านบาท
- เท่าที่รู้มา ผู้บริหารมีโปรเจกท์โรงไฟฟ้าในใจอยู่อีก 4 - 5 แห่ง แต่ปัญหาอยู่ที่เงินทุน ซึ่งปัจจุบันขายร้านมือถือทั้งหมดไป ได้เงินเข้ามาราว 45 ล้านบาท บวกกับเงินเพิ่มทุนอีกราว 140 ล้าน เท่ากับว่ามีเงิน 185 ล้านบาท หากต้องการลงทุนในโรงไฟฟ้าขนาดเดียวกันกับที่เปิดดำเนินงานแล้ว ก็จะต้องใช้เงินลงทุน 400 ล้านบาท ยังขาดอีกราว 200 ล้าน (EGCO ไม่มีแผนจะร่วมทุนเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะ EGCO สร้างโรงไฟฟ้าในสเกลใหญ่มาก จะมาลงทุนทำโรงไฟฟ้าเล็กๆเพื่ออะไร การร่วมทุนกับ IEC ก่อนหน้านี้จึงน่าจะเกิดจากความสัมพันธ์ส่วนตัว)
- หุ้นส่วนที่เหลืออีก 6000 ล้านหุ้นนั้น น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญในการหาเงินของ IEC ซึ่งอย่างน้อยก็ทำให้ IEC หาเงินเพิ่มได้อีก 60 ล้านบาท หรือหากบริษัทจะมีมติเปลี่ยนแปลงราคาขายหุ้นส่วนนี้ ทุกๆ 1 สตางค์ที่เพิ่มขึ้น บริษัทจะได้เงินเพิ่มขึ้น 60 ล้านบาท สมมติถ้าบริษัทต้องการเงินอีก 200 ล้านในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ขอให้ขายหุ้นส่วนที่เหลือนี้ได้สัก 0.04 บาท ก็ได้เงินพอแล้ว
- ดังนั้น หากเป็นไปนี้ คาดว่า IEC น่าจะจับตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำ แต่งตัวให้สะอาดเอี่ยมอีกสักพัก จากนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทอาจจะขอย้ายเข้าไปซื้อขายในหมวดพลังงานต่อไป เพราะโครงสร้างรายได้ของบริษัทนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
- การเพิ่มทุนอีกรอบ ถามว่าเป็นไปได้ไหม ก็มีความเป็นไปได้ หากบริษัทยังคงต้องการเงินลงทุน แต่คาดว่าไม่น่าจะใช่ในเร็วๆนี้ เพราะเพิ่มจะให้ RO เพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมมาไม่ถึง 3 เดือน ถ้าจะเพิ่มอีกรอบในเร็วๆนี้ก็จะถี่เกินไป ดังนั้นในระยะเวลาอันใกล้สัก 4 - 5 เดือนนี้ การเพิ่มทุนยังไม่น่าจะเกิดขึ้น
- ประเด็นเรื่องเงินกู้ คาดว่าการจะหาเงินกู้จากสถาบันการเงิน คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบริษัทอย่าง IEC ด้วย current ratio ที่สูงมาก และ D/E ratio ราว 1.2 ผมไม่ค่อยเชื่อว่าจะมีแบงก์ไหนกล้าปล่อย แต่ก็ไม่แน่ หากบริษัทสามารถทำ feasibility study และส่ง project ให้กับสถาบันการเงินพิจารณาเฉพาะในส่วนของโรงไฟฟ้า ก็อาจจะพอมีโอกาสได้เงินกู้เหมือนกัน คล้ายๆกับกรณีของ KBANK กับ SPCG แต่อย่างไรเสีย อาจต้องมีการปรับโครงสร้างทางการเงินอะไรบางอย่างก่อนการได้เงินกู้
- ไม่ได้บอกว่าหุ้น IEC จะดีหรือไม่ดี แต่ใครที่ยังติดภาพว่า IEC เป็นหุ้นปั่น ไม่ได้ทำธุรกิจอะไร หรือยังมองภาพว่าเป็นบริษัทขายมือถือ คงต้องมองบริษัทนี้เสียใหม่ เพราะเขากำลังพยายามเปลี่ยนแปลงโดยผันตัวไปทำธุรกิจที่แตกต่างออกไปเลย แต่ถามว่า งั้นลุยเลยดีไหม ก็เอาไปพิจารณากันเองละกัน บริษัทกำลังเริ่มหันมาจับธุรกิจด้านพลังงาน อนาคตไม่มีใครบอกได้ว่าจะรุ่งหรือจะร่วง ดังนั้น ใครจะซื้อหรือไม่ซื้อ ก็ขึ้นอยู่กับว่า มองอนาคตของบริษัทอย่างไร แต่ที่แน่ๆ IEC วันนี้ ไม่ใช่มือถืออีกต่อไป