มีนักวิชาการทางศาสนาอิสลามที่มีความคิดเห็นต่างกันในเรื่องการฉลองวันขึ้นปีใหม่สากล ว่าขัดต่อหลักการของอิสลามหรือไม่?
แต่เนื่องจากว่า นักวิชาการที่ ตำหนิการฉลองปีใหม่สากลในโลกมุสลิมนั้นมีเป็นจำนวนน้อย แม้แต่ในสังคมมุสลิมไทยก็ตาม
อีกประการหนึ่งนักวิชาการที่ตำหนิการฉลองปีใหม่สากล, ตัวเองก็ ไม่เคยฉลองวันขึ้นปีใหม่กับเขาถึงแม้แต่ในครอบครัวของตัวเองก็ตาม, ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเห็นด้วย แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยทำการฉลอง อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ
แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่านักวิชาการเหล่านั้น อาจจะเชื่อว่า การฉลองนั้น ได้รับการยอมรับจากสังคมมุสลิมก็ตาม,แต่เขาคิดว่าการไม่ฉลองนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับมุสลิมเรา
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเป็นที่ทราบแน่ว่าการฉลองปีใหม่สากลนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหลักการ ของศาสนาใดๆ ไม่ว่าจะเป็น หลักการของ มุชริกอรับก่อนอิสลาม, ศาสนาพุทธ, จูดาย, คริสต์, แต่เป็นโอกาสดีที่มุสลิมจะมีโอกาสให้ความรู้ต่อผู้ต่างศรัทธา, ว่าการฉลองปีใหม่สากล ในปัจจุบันนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง กับหลักการใดๆของศาสนาอิสลาม,การให้คำเตือนหรือคำสอนต่อมุสลิมในเรื่องนี้ ต้องอธิบายอย่างนิ่มนวล,ไม่ใช่การตักเตือนอย่างุรุนแรงและมองจนดูว่าเป็นการตำหนิศาสนาอื่นๆที่ทำการฉลองวันปีใหม่สากล
ในทางตรงกันข้ามมันจะกลายเป็นการต่อต้าน,หลักการในการแบ่งปันความสวยงามและความเป็นธรรมชาติ ของอิสลาม,โดยที่มุสลิมไม่แสดงความกรุณาและความนับถือต่อผู้ต่างศรัทธา, มุสลิมส่งเสริมให้แสดงความอบอุ่นและต้อนรับเพื่อนมนุษย์ทุกๆคนในสังคม เพื่อแสดงให้เห็นว่า อิสลามเป็นศาสนาที่น่าสนใจ
มีอยู่หลายวิธีในการที่จะที่จะแสดงมารยาทที่ดีและทำหน้าที่เป็นทูตของเราเพื่อความศรัทธาต่อ”อิสลาม” ของเรา โดยไม่ต้องนำงานเฉลิมฉลองของคนอื่นมาใช้, ถ้าจะร่วมฉลองวันขึ้นปีใหม่สากลร่วมกับคนอื่นๆ, ถึงแม้ว่ามันจะไม่เสียหายอะไรหรือขัดหลักการของศาสนาอิสลาม, โดยการกล่าวคำดีต่อกันพอสมควร เล็กๆน้อยๆ โดยที่ไม่มีพิธีกรรมของศาสนาอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้อง, หรือเพียงแค่สังสรรค์ร่วมคุยกันเพื่อความสนุกกับตัวเองก็เพียงพอ
แต่อย่างไรก็ตามถ้ามุสลิมยอมรับเอาการเฉลิมฉลองของผู้อื่นเข้ามามีส่วนในหลักการของอิสลาม,เท่ากับว่าเรา กำลังเปิดประตูของเรา ให้หายไปภายในวัฒนธรรมที่โดดเด่นเพื่ออนาคตที่ลูกหลานมุสลิม ของเราอาจจะมีชื่อว่าเป็น “มุสลิม” ในนามเท่านั้น แต่การปฏิบัติตามหลักการของอิสลามอาจจะถูกกลืนหายไปในวัฒนธรรมที่ขัดต่อหลักการของอิสลามก็เป็นไปได้ในอนาคต
ปัญหานี้อยู่ในใจของปราชญ์อิสลามที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มาเป็นเวลาช้านานมากกว่าที่มุสลิมเราเป็นกังวลอยู่ในปัจจุบันนี้, อาทิเช่น ท่าน อุสมาน,ท่านอาลี, และ ศอฮาบะท่านอื่นๆ, ในการประชุมใหญ่ของบรรดาสหายของท่านรอซูลมูฮัมมัด, เหล่าศอฮาบะได้มีการปรึกษากันอย่างยืดยาวในเรื่องเกี่ยวกับ ปัญาหาการที่ลูกหลานมุสลิมจะถูกวัฒนธรรมในสังคมอื่นที่มีการปฏิบัติบางอย่างขัดกับหลักการของอิสลามกลืนหายไป
ท่านคอลิฟะ อุมัร ได้กล่าวสรุปไว้ว่า
“ฮิจเราะฮ์ศักราชได้แบ่งแยกความสัจจริงจากความเท็จ, ดังนั้นจึงให้ “ฮิจเราะฮ์ศักราช” เป็นสัญญาลักษณ์ แห่งยุคสมัย(สำหรับมุสลิม)”
คือมุสลิมได้มีปีของมุสลิมซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์แห่งความแตกต่างระหว่าง ความสัจจริงจากความเท็จ อยู่แล้ว เป็นสิ่งที่เราจะต้องมีความภาคภูมิใจในสังคมของมุสลิมเรา
การฉลองปีใหม่สากลในทัศนะของ “ศาสนาอิสลาม”
แต่เนื่องจากว่า นักวิชาการที่ ตำหนิการฉลองปีใหม่สากลในโลกมุสลิมนั้นมีเป็นจำนวนน้อย แม้แต่ในสังคมมุสลิมไทยก็ตาม
อีกประการหนึ่งนักวิชาการที่ตำหนิการฉลองปีใหม่สากล, ตัวเองก็ ไม่เคยฉลองวันขึ้นปีใหม่กับเขาถึงแม้แต่ในครอบครัวของตัวเองก็ตาม, ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเห็นด้วย แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยทำการฉลอง อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ
แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ว่านักวิชาการเหล่านั้น อาจจะเชื่อว่า การฉลองนั้น ได้รับการยอมรับจากสังคมมุสลิมก็ตาม,แต่เขาคิดว่าการไม่ฉลองนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับมุสลิมเรา
ปัญหานี้อยู่ในใจของปราชญ์อิสลามที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มาเป็นเวลาช้านานมากกว่าที่มุสลิมเราเป็นกังวลอยู่ในปัจจุบันนี้, อาทิเช่น ท่าน อุสมาน,ท่านอาลี, และ ศอฮาบะท่านอื่นๆ, ในการประชุมใหญ่ของบรรดาสหายของท่านรอซูลมูฮัมมัด, เหล่าศอฮาบะได้มีการปรึกษากันอย่างยืดยาวในเรื่องเกี่ยวกับ ปัญาหาการที่ลูกหลานมุสลิมจะถูกวัฒนธรรมในสังคมอื่นที่มีการปฏิบัติบางอย่างขัดกับหลักการของอิสลามกลืนหายไป
ท่านคอลิฟะ อุมัร ได้กล่าวสรุปไว้ว่า
คือมุสลิมได้มีปีของมุสลิมซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์แห่งความแตกต่างระหว่าง ความสัจจริงจากความเท็จ อยู่แล้ว เป็นสิ่งที่เราจะต้องมีความภาคภูมิใจในสังคมของมุสลิมเรา