บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ทำธุรกิจสร้างคลังสินค้าหรือโรงงานตามความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะเจาะจง (Built-to-Suit) และศูนย์กระจายสินค้าระดับพรีเมี่ยม ลักษณะธุรกิจคล้าย บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น กำลังแต่งตัวเตรียมเป็น หุ้นน้องใหม่ ใน SET ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทนี้มี นพ.สมยศ อนันตประยูร ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหารสูงสุด โดยมี สุรเธียร จักรธรานนท์ อดีตซีอีโอ "เอสซี แอสเสท" และอดีตมือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวชินวัตร และ ดร.พิชิต อัคราทิตย์ เป็น "กุนซือ" ทางธุรกิจ
นพ.สมยศ วัย 52 ปี เป็นคุณหมออารมณ์ดีหน้าตาจึงดูอ่อนกว่าวัย..ผันตัวเองจากอาชีพหมอด้าน "สูตินารีเวช โรงพยาบาลศิริราช มาเป็นนักธุรกิจ "หลายพันล้าน" คุณหมอเล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ครอบครัวมีพี่น้อง 9 คน ผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 6 คน ตัวเองเป็นลูกคนที่ 8 พี่น้องทุกคนมี "ชื่อเล่น" หมดยกเว้นตัวเองที่พ่อแม่เรียกว่า "สมยศ" ตาม "ชื่อจริง"
เมื่ออายุครบ 20 ปีถึงได้รู้เหตุผลที่แท้จริงว่า พระรูปที่ตั้งชื่อว่า สมยศ บอกพ่อแม่ว่าเด็กคนนี้ไม่ให้ตั้งชื่อเล่น "มันจะไม่ดี" ปัจจุบันคุณหมอมีลูกสาว 1 คน อายุ 12 ปี ภรรยาคือ จรีพร อนันตประยูร เป็นผู้บริหาร "เบอร์สอง" ของบริษัท โดยหมอสมยศเป็นคน "ทำคลอด" ภรรยาด้วยตัวเอง สาเหตุที่เลือกเรียน "หมอมหิดล" เพราะต้องตามใจพ่อแม่ ทั้งที่จริงตัวเองอยากเรียน "วิศวะ" มากกว่า
นพ.สมยศ ยกชาเขียวร้อนที่ร้านสตาร์บัคส์ขึ้นจิบก่อนจะเล่าวิถีการลงทุนให้ฟังว่า ส่วนตัวไม่ชอบการลงทุนในตลาดหุ้น แต่จะลงทุนผ่านกองทุนมากกว่า "ผมไม่เล่นหุ้นมันเสี่ยงเกินไป" ดูอย่างตอนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ธนาคารล้มเป็นแถวนักลงทุนขาดทุนเพียบ "ไม่ขอเสี่ยงดีกว่า" ก่อนจะตบท้ายว่านักลงทุนรายใดที่กลัวว่าหุ้น WHA จะเป็น "หุ้นหวือหวา" ตัดข้อนี้ทิ้งไปได้เลย ธงของหมอสมยศก็คือ อยากให้หุ้น WHA มีแวลูอินเวสเตอร์เข้ามาถือมากๆ อยากให้ถือหุ้นตัวนี้ยาวๆ ไม่อยากให้หุ้นหวือหวา
เจ้าตัวเล่าว่า นิสัยส่วนตัวไม่ชอบเสี่ยงก็จริงแต่เป็นคนที่ทำอะไรแล้วต้อง "เต็ม 200%" ยกตัวอย่างช่วงเตรียมตัวเอ็นทรานซ์ทุกอย่างจะจดจ่ออยู่ที่ตำราโดยไม่สนใจดูโทรทัศน์เหมือนเด็กคนอื่นและก็สอบติดหมอสมใจพ่อแม่ หรือช่วงที่ทำกิจกรรมให้โรงพยาบาลศิริราช ก็สามารถ "ขายธง" ได้เงินมากถึง 12 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี เป็นต้น
แม้ไม่สนใจลงทุนหุ้นแต่คุณหมอชอบซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มากกว่า คิดว่าไม่มีความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนดีมากเฉลี่ย 3-15% ต่อปี ทุกวันนี้ส่วนตัวลงทุนในกองทุนเยอะมาก (ลากเสียงยาว) โดยเฉพาะกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์นด์ (WHAPF) เป็น "กองทุนปิด" ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีมูลค่าโครงการ 3,110 ล้านบาท ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับแรก ประกอบด้วย สนง.ประกันสังคม 18.71% บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น 17.22% และ กบข.ถือหุ้น 14.25%
เป้าหมายของคุณหมอ ภายใน 3 ปีข้างหน้า กองทุนรวม WHAPF ต้องมีมูลค่าโครงการถึง 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท เร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลา 3-5 ปี จะมีมูลค่าถึงหมื่นล้านบาท การเติบโตของบริษัทและกองทุนจะมีลักษณะคล้าย TICON ที่ขายทรัพย์สินเข้ากองทุน TFUND และ TLOGIS ปัจจุบันบริษัทได้ขายสินทรัพย์เข้ากองทุนแล้วหลายโครงการ ได้แก่ อาคารสินค้า 5 หลัง มีพื้นที่เช่ารวม 125,315 ตารางเมตร และลงทุนในโรงงาน 2 หลัง มีพื้นที่เช่ารวม 21,770 ตารางเมตร
ในมุมมองของ นพ.สมยศ หลักการลงทุนในระยะยาวที่ดี และหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 7-12% ต่อปี ควรลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซื้อแล้ว "ถือข้ามปี" ไปเลย ถ้าคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 3-15% ต่อปีก็ให้ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวม และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (ผสมกัน) กลุ่มนี้ความเสี่ยงจะต่ำกว่า ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ "ปานกลาง" ให้ "ซื้อหุ้น" เน้นตัวที่มีอัตราการเติบโตดีๆ และเน้นหุ้นมั่นคงสูงเป็นหลัก แต่ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด นพ.สมยศ ย้ำว่า!! อะไรก็ไม่แน่นอน ต้องมีเงินสดฝากแบงก์ไว้ด้วยดอกเบี้ยต่ำแค่ไหนก็ต้อง "มีเงินติดกระเป๋า"
ส่วนหลายคนตั้งคำถามว่า หุ้น WHA ทำไมหนี้สินรวม ณ 31 มี.ค.2555 ถึงสูง 3,394 ล้านบาท เจ้าของบริษัทอธิบายว่า ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาว ซึ่งได้ดอกเบี้ยดีมากประมาณ MLR ลบ ส่วนหนี้ระยะสั้นก็จะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ไปชำระประมาณ 200-300 ล้านบาท จะทำให้หนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจาก 2 เท่า เหลือ 1.5 เท่า ถือว่าเป็นตัวเลขที่ "โอเค" สำหรับธุรกิจประเภทนี้
"ผมไม่อยากให้นักลงทุนกังวลกับตัวเลขหนี้สินมากกว่าความสามารถในการทำกำไรของเรา ซึ่งธุรกิจนี้แทบจะไม่มีคู่แข่งเลย อีกเรื่องที่อาจมีคนถามมากเป็นพิเศษคือ เราจะมีรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ผมบอกตรงนี้เลยว่าเราจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอย่างต่อเนื่อง ผมตั้งใจจะมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน และรายได้จากค่าเช่าเท่ากันที่ 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินทรัพย์ 70% และรายได้ค่าเช่าและบริการ 30%"
สำหรับทิศทางรายได้ในอนาคต นพ.สมยศ บอกว่า ถ้าแยกในส่วนของรายได้จากค่าเช่าและบริการ อาจเพิ่มขึ้นประมาณ 25% ต่อปี เพราะบริษัทจะขยายพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นปีละ 200,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีพื้นที่ให้เช่า 500,000 ตาราเมตร อย่างในปี 2555 ก็จะเพิ่มพื้นที่ให้เช่าอีก 200,000 ตารางเมตร มูลค่า 3,000 ล้านบาท เฉลี่ย 3-4 โปรเจค เน้นบางนา, สระบุรี, ชลบุรี และอยุธยา ส่วนรายได้จากการขายสินทรัพย์ จะพยายามขายเข้ากองทุนเฉลี่ยปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท ปัจบันบริษัทปล่อยพื้นที่เช่าราคา 140-200 บาทต่อตารางเมตร
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอมีแผนจะขยายงานไปต่างประเทศในแถบอาเซียน ในปี 2556 อาจเห็นเข้าไปในเวียดนามก่อนเป็นแห่งแรก เพราะลูกค้าเก่ามีแผนจะเข้าไปทำงานในเวียดนาม ตอนนี้กำลังคุยเรื่องเช่าที่ดินกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะ เวียดนาม และนิคมอุสาหกรรมที่มีคนสิงคโปร์เป็นเจ้าของ อาจจะลองชิมลางก่อน 20-30 ไร่ ค่าเช่าที่ดินของคนสิงโปร์ถูกกว่าอมตะ ส่วนทำเลเหมือนกัน ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายรายได้จากต่างประเทศต้องขอลองทำดูก่อน
นพ.สมยศ ทิ้งท้ายว่า ยังไม่รับปากนักลงทุนว่าหลังเข้าตลาดหุ้น บริษัทจะจ่ายเงินปันผลหรือไม่! ขอดูสถานการณ์ก่อน บางครั้งนักลงทุนอาจได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลน้อยกว่ากำไรจากการที่บริษัทนำเงินไปลงทุนต่อก็ได้...ธุรกิจของ WHA จะเป็นอย่างใจ ฝัน หรือไม่! ละครเรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ!!!
ปล. ได้อ่านบทความ สำหรับผมในแง่ นลท. ก็สบายใจได้ในระดับหนึ่งครับ ว่า CEO มีประวัติและแนวคิดรวมไปถึงทัศนคติดีครับ ในส่วนผลงานก็ต้องติดตามกันต่อไป และการจะเลือกซื้อหุ้นซึ่งตอนนี้ราคาบวกมากขึ้นทุกวัน ความเสี่ยงในการยุบ ย่อ น่าจะมีบ้างแต่คงไม่มากนัก ก็ขึ้นกับดุลพินิจของแต่ละท่านนะครับ
ปล. หุ้นในฝันที่ผมอยากเจอและอยากได้ถือครองไว้ยาวๆคือ หุ้นน้ำใหม่ ที่มี GROWTH ทั้งส่วนต่างและปันผล ก็หวังว่าหุ้นตัวนี้จะสามารถสร้างผลงานได้ตามหวังครับ หากไม่เป็นดังหวัง นลท สามารถจัดการสิ่งนั้นได้ด้วยวินัยในการลงทุนครับ
WHA ทำธุรกิจอะไร มืออาชีพหรือปล่าว
บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ทำธุรกิจสร้างคลังสินค้าหรือโรงงานตามความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะเจาะจง (Built-to-Suit) และศูนย์กระจายสินค้าระดับพรีเมี่ยม ลักษณะธุรกิจคล้าย บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น กำลังแต่งตัวเตรียมเป็น หุ้นน้องใหม่ ใน SET ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทนี้มี นพ.สมยศ อนันตประยูร ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหารสูงสุด โดยมี สุรเธียร จักรธรานนท์ อดีตซีอีโอ "เอสซี แอสเสท" และอดีตมือพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวชินวัตร และ ดร.พิชิต อัคราทิตย์ เป็น "กุนซือ" ทางธุรกิจ
นพ.สมยศ วัย 52 ปี เป็นคุณหมออารมณ์ดีหน้าตาจึงดูอ่อนกว่าวัย..ผันตัวเองจากอาชีพหมอด้าน "สูตินารีเวช โรงพยาบาลศิริราช มาเป็นนักธุรกิจ "หลายพันล้าน" คุณหมอเล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ครอบครัวมีพี่น้อง 9 คน ผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 6 คน ตัวเองเป็นลูกคนที่ 8 พี่น้องทุกคนมี "ชื่อเล่น" หมดยกเว้นตัวเองที่พ่อแม่เรียกว่า "สมยศ" ตาม "ชื่อจริง"
เมื่ออายุครบ 20 ปีถึงได้รู้เหตุผลที่แท้จริงว่า พระรูปที่ตั้งชื่อว่า สมยศ บอกพ่อแม่ว่าเด็กคนนี้ไม่ให้ตั้งชื่อเล่น "มันจะไม่ดี" ปัจจุบันคุณหมอมีลูกสาว 1 คน อายุ 12 ปี ภรรยาคือ จรีพร อนันตประยูร เป็นผู้บริหาร "เบอร์สอง" ของบริษัท โดยหมอสมยศเป็นคน "ทำคลอด" ภรรยาด้วยตัวเอง สาเหตุที่เลือกเรียน "หมอมหิดล" เพราะต้องตามใจพ่อแม่ ทั้งที่จริงตัวเองอยากเรียน "วิศวะ" มากกว่า
นพ.สมยศ ยกชาเขียวร้อนที่ร้านสตาร์บัคส์ขึ้นจิบก่อนจะเล่าวิถีการลงทุนให้ฟังว่า ส่วนตัวไม่ชอบการลงทุนในตลาดหุ้น แต่จะลงทุนผ่านกองทุนมากกว่า "ผมไม่เล่นหุ้นมันเสี่ยงเกินไป" ดูอย่างตอนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ธนาคารล้มเป็นแถวนักลงทุนขาดทุนเพียบ "ไม่ขอเสี่ยงดีกว่า" ก่อนจะตบท้ายว่านักลงทุนรายใดที่กลัวว่าหุ้น WHA จะเป็น "หุ้นหวือหวา" ตัดข้อนี้ทิ้งไปได้เลย ธงของหมอสมยศก็คือ อยากให้หุ้น WHA มีแวลูอินเวสเตอร์เข้ามาถือมากๆ อยากให้ถือหุ้นตัวนี้ยาวๆ ไม่อยากให้หุ้นหวือหวา
เจ้าตัวเล่าว่า นิสัยส่วนตัวไม่ชอบเสี่ยงก็จริงแต่เป็นคนที่ทำอะไรแล้วต้อง "เต็ม 200%" ยกตัวอย่างช่วงเตรียมตัวเอ็นทรานซ์ทุกอย่างจะจดจ่ออยู่ที่ตำราโดยไม่สนใจดูโทรทัศน์เหมือนเด็กคนอื่นและก็สอบติดหมอสมใจพ่อแม่ หรือช่วงที่ทำกิจกรรมให้โรงพยาบาลศิริราช ก็สามารถ "ขายธง" ได้เงินมากถึง 12 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 5 ปี เป็นต้น
แม้ไม่สนใจลงทุนหุ้นแต่คุณหมอชอบซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มากกว่า คิดว่าไม่มีความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนดีมากเฉลี่ย 3-15% ต่อปี ทุกวันนี้ส่วนตัวลงทุนในกองทุนเยอะมาก (ลากเสียงยาว) โดยเฉพาะกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์นด์ (WHAPF) เป็น "กองทุนปิด" ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีมูลค่าโครงการ 3,110 ล้านบาท ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับแรก ประกอบด้วย สนง.ประกันสังคม 18.71% บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น 17.22% และ กบข.ถือหุ้น 14.25%
เป้าหมายของคุณหมอ ภายใน 3 ปีข้างหน้า กองทุนรวม WHAPF ต้องมีมูลค่าโครงการถึง 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท เร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะใช้เวลา 3-5 ปี จะมีมูลค่าถึงหมื่นล้านบาท การเติบโตของบริษัทและกองทุนจะมีลักษณะคล้าย TICON ที่ขายทรัพย์สินเข้ากองทุน TFUND และ TLOGIS ปัจจุบันบริษัทได้ขายสินทรัพย์เข้ากองทุนแล้วหลายโครงการ ได้แก่ อาคารสินค้า 5 หลัง มีพื้นที่เช่ารวม 125,315 ตารางเมตร และลงทุนในโรงงาน 2 หลัง มีพื้นที่เช่ารวม 21,770 ตารางเมตร
ในมุมมองของ นพ.สมยศ หลักการลงทุนในระยะยาวที่ดี และหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 7-12% ต่อปี ควรลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซื้อแล้ว "ถือข้ามปี" ไปเลย ถ้าคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ย 3-15% ต่อปีก็ให้ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล กองทุนรวม และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (ผสมกัน) กลุ่มนี้ความเสี่ยงจะต่ำกว่า ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ "ปานกลาง" ให้ "ซื้อหุ้น" เน้นตัวที่มีอัตราการเติบโตดีๆ และเน้นหุ้นมั่นคงสูงเป็นหลัก แต่ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด นพ.สมยศ ย้ำว่า!! อะไรก็ไม่แน่นอน ต้องมีเงินสดฝากแบงก์ไว้ด้วยดอกเบี้ยต่ำแค่ไหนก็ต้อง "มีเงินติดกระเป๋า"
ส่วนหลายคนตั้งคำถามว่า หุ้น WHA ทำไมหนี้สินรวม ณ 31 มี.ค.2555 ถึงสูง 3,394 ล้านบาท เจ้าของบริษัทอธิบายว่า ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาว ซึ่งได้ดอกเบี้ยดีมากประมาณ MLR ลบ ส่วนหนี้ระยะสั้นก็จะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ไปชำระประมาณ 200-300 ล้านบาท จะทำให้หนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจาก 2 เท่า เหลือ 1.5 เท่า ถือว่าเป็นตัวเลขที่ "โอเค" สำหรับธุรกิจประเภทนี้
"ผมไม่อยากให้นักลงทุนกังวลกับตัวเลขหนี้สินมากกว่าความสามารถในการทำกำไรของเรา ซึ่งธุรกิจนี้แทบจะไม่มีคู่แข่งเลย อีกเรื่องที่อาจมีคนถามมากเป็นพิเศษคือ เราจะมีรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ผมบอกตรงนี้เลยว่าเราจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอย่างต่อเนื่อง ผมตั้งใจจะมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน และรายได้จากค่าเช่าเท่ากันที่ 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินทรัพย์ 70% และรายได้ค่าเช่าและบริการ 30%"
สำหรับทิศทางรายได้ในอนาคต นพ.สมยศ บอกว่า ถ้าแยกในส่วนของรายได้จากค่าเช่าและบริการ อาจเพิ่มขึ้นประมาณ 25% ต่อปี เพราะบริษัทจะขยายพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นปีละ 200,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีพื้นที่ให้เช่า 500,000 ตาราเมตร อย่างในปี 2555 ก็จะเพิ่มพื้นที่ให้เช่าอีก 200,000 ตารางเมตร มูลค่า 3,000 ล้านบาท เฉลี่ย 3-4 โปรเจค เน้นบางนา, สระบุรี, ชลบุรี และอยุธยา ส่วนรายได้จากการขายสินทรัพย์ จะพยายามขายเข้ากองทุนเฉลี่ยปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท ปัจบันบริษัทปล่อยพื้นที่เช่าราคา 140-200 บาทต่อตารางเมตร
นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอมีแผนจะขยายงานไปต่างประเทศในแถบอาเซียน ในปี 2556 อาจเห็นเข้าไปในเวียดนามก่อนเป็นแห่งแรก เพราะลูกค้าเก่ามีแผนจะเข้าไปทำงานในเวียดนาม ตอนนี้กำลังคุยเรื่องเช่าที่ดินกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะ เวียดนาม และนิคมอุสาหกรรมที่มีคนสิงคโปร์เป็นเจ้าของ อาจจะลองชิมลางก่อน 20-30 ไร่ ค่าเช่าที่ดินของคนสิงโปร์ถูกกว่าอมตะ ส่วนทำเลเหมือนกัน ตอนนี้ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายรายได้จากต่างประเทศต้องขอลองทำดูก่อน
นพ.สมยศ ทิ้งท้ายว่า ยังไม่รับปากนักลงทุนว่าหลังเข้าตลาดหุ้น บริษัทจะจ่ายเงินปันผลหรือไม่! ขอดูสถานการณ์ก่อน บางครั้งนักลงทุนอาจได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลน้อยกว่ากำไรจากการที่บริษัทนำเงินไปลงทุนต่อก็ได้...ธุรกิจของ WHA จะเป็นอย่างใจ ฝัน หรือไม่! ละครเรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ!!!
ปล. ได้อ่านบทความ สำหรับผมในแง่ นลท. ก็สบายใจได้ในระดับหนึ่งครับ ว่า CEO มีประวัติและแนวคิดรวมไปถึงทัศนคติดีครับ ในส่วนผลงานก็ต้องติดตามกันต่อไป และการจะเลือกซื้อหุ้นซึ่งตอนนี้ราคาบวกมากขึ้นทุกวัน ความเสี่ยงในการยุบ ย่อ น่าจะมีบ้างแต่คงไม่มากนัก ก็ขึ้นกับดุลพินิจของแต่ละท่านนะครับ
ปล. หุ้นในฝันที่ผมอยากเจอและอยากได้ถือครองไว้ยาวๆคือ หุ้นน้ำใหม่ ที่มี GROWTH ทั้งส่วนต่างและปันผล ก็หวังว่าหุ้นตัวนี้จะสามารถสร้างผลงานได้ตามหวังครับ หากไม่เป็นดังหวัง นลท สามารถจัดการสิ่งนั้นได้ด้วยวินัยในการลงทุนครับ