หลังจากอ่านกระทู้แนะนำ เรื่องปัญหาโรคไข้เลือดออก
พบว่า มีคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักโรคนี้ดีพอ และไม่ทราบแนวทางการรักษา
พบว่า ส่วนใหญ่เรื่องของหมอและคนไข้ เกิดจากความไม่เข้าใจกัน
กระทู้นี้ผมจะขอเล่า เรื่องโรคไข้เลือดออกสำหรับประชาชน เพราะว่าท่านควรรู้ความจริง
ผมจะขอให้ภาษาง่ายๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และไม่ได้ลงลึกระดับวิชาการ
อันดับแรกสิ่งที่ทุกคนควรทราบคือ โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี
พบมากในแถบบ้านเราที่มีอากาศร้อนชื้น พบมากในฤดูฝนที่มียุงชุกชุม มีแอ่งน้ำน้ำขังให้ยุงเพาะพันธุ์
โดยยุงตามบ้านเป็นพาหะของเชื้อ เมื่อถูกยุงกัดเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของเรา
อาการของโรคนี้ไม่มีความจำเพาะเจาะจงนะครับ (อาการคล้ายกลุ่มอาการติดเชื้อไวรัสทั่วไป)
ในช่วงแรก 1-3วันแรก อาการ คือ มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย
(จะเห็นว่า ไม่ได้แตกต่างจากโรคไข้หวัด หรือโรคติดเชื้อทั่วๆไปสักเท่าไร ช่วงแรกจึงวินิจฉัยแยกกันยาก)
ต่อมาบางคนก็จะหายไข้ไปเอง คือ โรคนี้มีไข้ได้ตั้งแต่ 2-7วัน
แต่บางคนก็ไม่หาย (ซึ่งบอกไม่ได้ว่าใครบ้าง) ก็จะเพลียมาก กินข้าวไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลวได้
ลักษณะเด่นๆ คือ ไข้จะสูงมาก กินยาหรือเช็ดตัวก็จะลดลงแค่เล็กน้อย
อาจพบผื่นจุดเลือดออก (บางคนก็ไม่มี) และเมื่อไวรัสทำให้เกร็ดเลือดต่ำลง ก็จะพบอาการเลือดออกได้มากขึ้น
เช่นผื่นจุดเลือดออก เลือดกำเดาไหล ---- ถ้ารุนแรงมากๆ ก็อาจถ่ายดำ เลือดออกในทางเดินอาหารหรืออวัยวะสำคัญ
จะเห็นว่า โรคนี้อาการไม่จำเพาะเลย ช่วง 1-3วันแรกวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นยาก
ความรุนแรงมีตั้งแต่ เป็นไข้เล็กน้อยแล้วหายเอง (ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้; และบางทีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นไข้เลือดออก)
จนถึงไข้สูงลอยหลายวันอ่อนเพลียมาก จนรุนแรงถึงขั้นภาวะไหลเวียนเลือดล้มเหลว หรือเลือดออกรุนแรง
"ซึ่งบอกไม่ได้ว่าอาการที่รุนแรงนั้นจะเกิดกับใคร" คนที่เกร็ดเลือดต่ำลงบางคนก็หายเป็นปกติ บางคนก็อาการรุนแรง
เจาะเลือดจะทราบไหมว่าเป็นไข้เลือดออก?????????
คำตอบคือ 1-2วันแรก ผลเลือดอาจปกติ จนถึงบอกได้ว่าน่าจะ ติดเชื้อไวรัส (จึงไม่จำเป็นต้องเจาะทุกราย)
ตั้งแต่วันที่3 อาการจะชัดขึ้น ผลเลือดจะช่วยการวินิจฉัยมากกขึ้น และอาจต้องนัดมาเจาะเลือดเป็นระยะๆถ้าไข้ไม่ลง
พยากรณ์โรค: บอกไม่ได้ว่าใครจะเป็นไข้ธรรมดา หรืออาการรุนแรง หรือเสียชีวิต
โดยทั่วไปพิจารณาตามอาการ ถ้าอ่อนเพลียมากกินไม่ได้จนขาดน้ำมากๆเสี่ยงต่ออาการช็อค ก็ควรอยู่รพ.
หรือเกร็ดเลือดต่ำกว่าแสน หรือแนวโน้มที่จะต่ำมาก หรือมีเลือดออกรุนแรงก็ควรนอนรพ.
"จะเห็นว่า ไม่ได้จำเป็นต้องนอนรพ.ทุกราย และการนอนรพ.ไม่ได้รับประกันว่าสามารถช่วยชีวิตได้ทุกคน"!!!!!!!!!!!!!!
ในรายที่อาการไม่มาก พอกินได้ ใกล้รพ. เกร็ดเลือดไม่ต่ำมาก สามารถนัดมาดูอาการเป็นระยะๆได้
คนส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหายเป็นปกติโดยไม่ต้องนอนรพ.
การรักษา: "ไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี" "เป็นโรคที่หายเอง โดยการรักษาแบบประคับประคอง"!!!!!!!!!!!!!!!
การรักษาแบบประคับประคองคือ รักษาเพื่อคงชีพจร ความดัน ไม่ให้ต่ำเกินไป และเฝ้าวังระยะช็อคกับภาวะแทรกซ้อน
จนกระทั่งระยะอันตรายผ่านพ้นไป อาการดีขึ้น ไม่มีไข้ กินข้าวได้ ชีพจรปกติ ผู้ป่วยสดชื่น
ทำไมถึงไม่ให้น้ำเกลือในผู้ป่วยทุกราย?????
เพราะผู้ป่วยโรคนี้ที่อาการมาก จะมีการสูญเสียน้ำออกจากเส้นเลือด โดยน้ำดังกล่าวจะคั่งอยู่ที่ปอด
ที่ท้อง หรืออวัยวะภายในต่างๆ ทำให้อาการแย่ลง (เช่น น้ำคั่งในเนื้อปอด)
การให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดโดยไม่จำเป็น (เช่น ในรายที่ความดันและชีพจรยังดี) จะยิ่งทำให้อาการแย่ลงไปอีก
"ดังนั้น จึงขอให้น้ำเกลือในรายที่จำเป็น เพื่อคงความดันและชีพจรให้ปกติ"
อย่างที่กล่าวแล้วว่าการนอนรพ. ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะไม่รุนแรง หรือสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไข้เลือดออกได้ทุกราย
ดังนั้นต้องศึกษาวิจัยต่อไปว่าทำไมผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกีบางคนหายเอง บางคนรุนแรงจนเสียชีวิต
ณ เทคโนโลยีปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำนายได้ว่าใครบ้างที่อาจเสียชีวิตจากโรคนี้
(อยากให้ประเทศไทยส่งเสริมการพัฒนาคนด้านการวิจัยโรคตรงนี้ให้มากขึ้นเนาะ)
"ทั้งนี้ทั้งนั้น อยากให้ตระหนักว่า โรคนี้เป็นโรคที่ป้องกันได้โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง"
เมื่อไม่ถูกยุงกัดก็จะไม่เป็นโรค พอเข้าฤดูฝนอย่าปล่อยให้มีน้ำขัง ใช้ทรายอะเบตก็ได้
ติดต่ออนามัย หรือ อบตใกล้บ้านท่านเลยครับ เขาจะมาฉีดไล่ยุงให้
อย่ารอให้เป็นโรคเลยครับ ไม่ว่าโรคใดๆการป้องกันนั้นดีที่สุด!!!!!!
เรื่องเล่า "โรคไข้เลือดออก" เพราะทุกคนควรรู้ความจริง!
พบว่า มีคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักโรคนี้ดีพอ และไม่ทราบแนวทางการรักษา
พบว่า ส่วนใหญ่เรื่องของหมอและคนไข้ เกิดจากความไม่เข้าใจกัน
กระทู้นี้ผมจะขอเล่า เรื่องโรคไข้เลือดออกสำหรับประชาชน เพราะว่าท่านควรรู้ความจริง
ผมจะขอให้ภาษาง่ายๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และไม่ได้ลงลึกระดับวิชาการ
อันดับแรกสิ่งที่ทุกคนควรทราบคือ โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี
พบมากในแถบบ้านเราที่มีอากาศร้อนชื้น พบมากในฤดูฝนที่มียุงชุกชุม มีแอ่งน้ำน้ำขังให้ยุงเพาะพันธุ์
โดยยุงตามบ้านเป็นพาหะของเชื้อ เมื่อถูกยุงกัดเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของเรา
อาการของโรคนี้ไม่มีความจำเพาะเจาะจงนะครับ (อาการคล้ายกลุ่มอาการติดเชื้อไวรัสทั่วไป)
ในช่วงแรก 1-3วันแรก อาการ คือ มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย
(จะเห็นว่า ไม่ได้แตกต่างจากโรคไข้หวัด หรือโรคติดเชื้อทั่วๆไปสักเท่าไร ช่วงแรกจึงวินิจฉัยแยกกันยาก)
ต่อมาบางคนก็จะหายไข้ไปเอง คือ โรคนี้มีไข้ได้ตั้งแต่ 2-7วัน
แต่บางคนก็ไม่หาย (ซึ่งบอกไม่ได้ว่าใครบ้าง) ก็จะเพลียมาก กินข้าวไม่ได้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลวได้
ลักษณะเด่นๆ คือ ไข้จะสูงมาก กินยาหรือเช็ดตัวก็จะลดลงแค่เล็กน้อย
อาจพบผื่นจุดเลือดออก (บางคนก็ไม่มี) และเมื่อไวรัสทำให้เกร็ดเลือดต่ำลง ก็จะพบอาการเลือดออกได้มากขึ้น
เช่นผื่นจุดเลือดออก เลือดกำเดาไหล ---- ถ้ารุนแรงมากๆ ก็อาจถ่ายดำ เลือดออกในทางเดินอาหารหรืออวัยวะสำคัญ
จะเห็นว่า โรคนี้อาการไม่จำเพาะเลย ช่วง 1-3วันแรกวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นยาก
ความรุนแรงมีตั้งแต่ เป็นไข้เล็กน้อยแล้วหายเอง (ส่วนใหญ่เป็นแบบนี้; และบางทีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นไข้เลือดออก)
จนถึงไข้สูงลอยหลายวันอ่อนเพลียมาก จนรุนแรงถึงขั้นภาวะไหลเวียนเลือดล้มเหลว หรือเลือดออกรุนแรง
"ซึ่งบอกไม่ได้ว่าอาการที่รุนแรงนั้นจะเกิดกับใคร" คนที่เกร็ดเลือดต่ำลงบางคนก็หายเป็นปกติ บางคนก็อาการรุนแรง
เจาะเลือดจะทราบไหมว่าเป็นไข้เลือดออก?????????
คำตอบคือ 1-2วันแรก ผลเลือดอาจปกติ จนถึงบอกได้ว่าน่าจะ ติดเชื้อไวรัส (จึงไม่จำเป็นต้องเจาะทุกราย)
ตั้งแต่วันที่3 อาการจะชัดขึ้น ผลเลือดจะช่วยการวินิจฉัยมากกขึ้น และอาจต้องนัดมาเจาะเลือดเป็นระยะๆถ้าไข้ไม่ลง
พยากรณ์โรค: บอกไม่ได้ว่าใครจะเป็นไข้ธรรมดา หรืออาการรุนแรง หรือเสียชีวิต
โดยทั่วไปพิจารณาตามอาการ ถ้าอ่อนเพลียมากกินไม่ได้จนขาดน้ำมากๆเสี่ยงต่ออาการช็อค ก็ควรอยู่รพ.
หรือเกร็ดเลือดต่ำกว่าแสน หรือแนวโน้มที่จะต่ำมาก หรือมีเลือดออกรุนแรงก็ควรนอนรพ.
"จะเห็นว่า ไม่ได้จำเป็นต้องนอนรพ.ทุกราย และการนอนรพ.ไม่ได้รับประกันว่าสามารถช่วยชีวิตได้ทุกคน"!!!!!!!!!!!!!!
ในรายที่อาการไม่มาก พอกินได้ ใกล้รพ. เกร็ดเลือดไม่ต่ำมาก สามารถนัดมาดูอาการเป็นระยะๆได้
คนส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหายเป็นปกติโดยไม่ต้องนอนรพ.
การรักษา: "ไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสเดงกี" "เป็นโรคที่หายเอง โดยการรักษาแบบประคับประคอง"!!!!!!!!!!!!!!!
การรักษาแบบประคับประคองคือ รักษาเพื่อคงชีพจร ความดัน ไม่ให้ต่ำเกินไป และเฝ้าวังระยะช็อคกับภาวะแทรกซ้อน
จนกระทั่งระยะอันตรายผ่านพ้นไป อาการดีขึ้น ไม่มีไข้ กินข้าวได้ ชีพจรปกติ ผู้ป่วยสดชื่น
ทำไมถึงไม่ให้น้ำเกลือในผู้ป่วยทุกราย?????
เพราะผู้ป่วยโรคนี้ที่อาการมาก จะมีการสูญเสียน้ำออกจากเส้นเลือด โดยน้ำดังกล่าวจะคั่งอยู่ที่ปอด
ที่ท้อง หรืออวัยวะภายในต่างๆ ทำให้อาการแย่ลง (เช่น น้ำคั่งในเนื้อปอด)
การให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดโดยไม่จำเป็น (เช่น ในรายที่ความดันและชีพจรยังดี) จะยิ่งทำให้อาการแย่ลงไปอีก
"ดังนั้น จึงขอให้น้ำเกลือในรายที่จำเป็น เพื่อคงความดันและชีพจรให้ปกติ"
อย่างที่กล่าวแล้วว่าการนอนรพ. ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะไม่รุนแรง หรือสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไข้เลือดออกได้ทุกราย
ดังนั้นต้องศึกษาวิจัยต่อไปว่าทำไมผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกีบางคนหายเอง บางคนรุนแรงจนเสียชีวิต
ณ เทคโนโลยีปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำนายได้ว่าใครบ้างที่อาจเสียชีวิตจากโรคนี้
(อยากให้ประเทศไทยส่งเสริมการพัฒนาคนด้านการวิจัยโรคตรงนี้ให้มากขึ้นเนาะ)
"ทั้งนี้ทั้งนั้น อยากให้ตระหนักว่า โรคนี้เป็นโรคที่ป้องกันได้โดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง"
เมื่อไม่ถูกยุงกัดก็จะไม่เป็นโรค พอเข้าฤดูฝนอย่าปล่อยให้มีน้ำขัง ใช้ทรายอะเบตก็ได้
ติดต่ออนามัย หรือ อบตใกล้บ้านท่านเลยครับ เขาจะมาฉีดไล่ยุงให้
อย่ารอให้เป็นโรคเลยครับ ไม่ว่าโรคใดๆการป้องกันนั้นดีที่สุด!!!!!!