รถคันแรก... ดีมั๊ยคร้า เอามั๊ยคร้า!!!
สิ้นปีมีเฮ...
สำหรับผู้ถือหุ้นบริษัทรถยนต์ และผู้มีเอี่ยวในธุรกิจรถยนต์
ล่าสุด บริษัทที่ปรึกษาเฮย์กรุ๊ป เปิดเผยผลสำรวจการจ่ายโบนัสของบริษัทชั้นนำ ประจำปี 2555 ปรากฏว่า บริษัทในกลุ่มยานยนต์มาเป็นที่หนึ่ง
โตโยต้า คาดว่า จะจ่ายโบนัสให้พนักงานถึง 8.5 เดือน
มิตซูบิชิ โบนัส 7 เดือน บวกเงินเพิ่ม 3 หมื่นบาท
ฮอนด้า โบนัส 6 เดือน บวกเงินเพิ่ม
นิสสัน ฟอร์ด มาสด้าโบนัส 4 เดือน
ส่วนบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน เฉลี่ยอยู่ที่ 4 เดือน บวกเงินพิเศษ
1) กรมสรรพสามิต เปิดเผย ยอดขอคืนภาษีตามโครงการรถคันแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สูงกว่า 1 ล้านคัน วงเงินกว่า 80,000 ล้านบาท
ยอดนี้ ยังเพิ่มเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเขต 31 ธันวาคม 2555
คาดว่า ยอดเงินที่ต้องอุดหนุนในโครงการนี้ น่าจะทะลุถึง 100,000 ล้านบาท!
2) ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเอาเงินภาษีที่ควรจะตกเป็นของแผ่นดิน ไปทำโครงการส่งเสริมการขายให้แก่บริษัทรถยนต์เอกชน มโหฬารขนาดนั้น?
เพราะโครงการรถคันแรก แท้จริงก็ไม่ต่างกับการจัดโปรโมชั่นขายรถ
เสมือนหนึ่งลดราคาให้ผู้ซื้อ โดยเอาภาษีของแผ่นดินมาจ่ายชดเชยให้แก่บริษัทรถยนต์
3) หากไม่มีโครงการรถคันแรก ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยก็ไม่ขี้เหร่
นักธุรกิจรถยนต์ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่อ่อนแอถึงขนาดรัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือเช่นนี้
บริษัทรถยนต์จะต้องแข่งขันกันทำโปรโมชั่น ส่งเสริมการขาย ลแลกแจกแถมแข่งกัน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
แต่นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับเอาเงินภาษีของแผ่นดินมาประเคนช่วยเอกชนขายรถ
ได้หน้า ได้คะแนนนิยม นักการเมืองเอาไป
กำไร เอกชนเอาไป
จ่ายให้ผู้ถือหุ้น
จ่ายโบนัสพนักงาน
ส่วนผลกระทบและความเสียหาย ทิ้งไว้ให้เป็นภาระของประเทศชาติและประชาชน
4) ความเสียหายและผลกระทบจากนโยบายรถคันแรก ไม่ใช่แค่ยอดเงินภาษีที่สูญเสียไปเท่านั้น
แต่ยังเกิดผลกระทบจากปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น เงินที่รัฐต้องอุดหนุนผ่านกองทุนน้ำมัน เพราะต้องมีการใช้น้ำมัน หรือความแออัดของการจราจรบนท้องถนน หรือภาระหนี้สินของครัวเรือนที่ถูกกระตุ้นผ่านนโยบายดังกล่าว
รวมถึงบรรทัดฐานของนโยบายสาธารณะของพรรคการเมือง ซึ่งต่อไป นักการเมืองที่ไร้สำนึกรับผิดชอบก็จะใช้วิธีการลดแลกแจกแถมแบบไม่ลืมหูลืมตา เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองได้ไม่รู้จบ... จนกว่าเศรษฐกิจชาติจะล่มสลาย
ลำพังมูลค่าการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2555 ก็ทำสถิติใหม่ สูงสุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา โดยมีมูลค่าการนำเข้าประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท!
5) นโยบายเพิ่มปริมาณรถยนต์ส่วนตัวเช่นนี้ สวนทางกับการพัฒนาที่พึงประสงค์
เงินภาษีแผ่นดินมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท แทนที่จะเอาไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา หรือแม้แต่ลงทุนสร้างะบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ มูลค่า 55,000 ล้านบาท
โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค-พุทธมณฑลสายสี่ มูลค่า 49,000 ล้านบาท
จะเห็นว่า เงินแผ่นดินแสนล้านบาท สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์ได้มากมายมหาศาล
แทนที่จะส่งเสริมและพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อลดการใช้พลังงานของชาติ ลดความแออัดบนท้องถนน ลดต้นทุนการขนส่งคมนาคมของประเทศ
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับผลาญเงินที่ควรจะเป็นรายได้ของแผ่นดินไปกับโครงการรถคันแรก ส่งกำไรจากยอดขายเข้ากระเป๋าเอกชนพุงปลิ้น
พริตตี้มอเตอร์โชว์ หรือจะสู้ นายกฯ พริตตี้
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/4650ปล.ถ้าอ่านแล้วรู้สึกหงุดหงิด...แสดงว่าตาเรืมสว่างแล้วครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ
เอาบทความดี ๆ...มาให้อ่านครับ
สิ้นปีมีเฮ...
สำหรับผู้ถือหุ้นบริษัทรถยนต์ และผู้มีเอี่ยวในธุรกิจรถยนต์
ล่าสุด บริษัทที่ปรึกษาเฮย์กรุ๊ป เปิดเผยผลสำรวจการจ่ายโบนัสของบริษัทชั้นนำ ประจำปี 2555 ปรากฏว่า บริษัทในกลุ่มยานยนต์มาเป็นที่หนึ่ง
โตโยต้า คาดว่า จะจ่ายโบนัสให้พนักงานถึง 8.5 เดือน
มิตซูบิชิ โบนัส 7 เดือน บวกเงินเพิ่ม 3 หมื่นบาท
ฮอนด้า โบนัส 6 เดือน บวกเงินเพิ่ม
นิสสัน ฟอร์ด มาสด้าโบนัส 4 เดือน
ส่วนบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วน เฉลี่ยอยู่ที่ 4 เดือน บวกเงินพิเศษ
1) กรมสรรพสามิต เปิดเผย ยอดขอคืนภาษีตามโครงการรถคันแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สูงกว่า 1 ล้านคัน วงเงินกว่า 80,000 ล้านบาท
ยอดนี้ ยังเพิ่มเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดเขต 31 ธันวาคม 2555
คาดว่า ยอดเงินที่ต้องอุดหนุนในโครงการนี้ น่าจะทะลุถึง 100,000 ล้านบาท!
2) ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเอาเงินภาษีที่ควรจะตกเป็นของแผ่นดิน ไปทำโครงการส่งเสริมการขายให้แก่บริษัทรถยนต์เอกชน มโหฬารขนาดนั้น?
เพราะโครงการรถคันแรก แท้จริงก็ไม่ต่างกับการจัดโปรโมชั่นขายรถ
เสมือนหนึ่งลดราคาให้ผู้ซื้อ โดยเอาภาษีของแผ่นดินมาจ่ายชดเชยให้แก่บริษัทรถยนต์
3) หากไม่มีโครงการรถคันแรก ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยก็ไม่ขี้เหร่
นักธุรกิจรถยนต์ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่อ่อนแอถึงขนาดรัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือเช่นนี้
บริษัทรถยนต์จะต้องแข่งขันกันทำโปรโมชั่น ส่งเสริมการขาย ลแลกแจกแถมแข่งกัน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
แต่นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับเอาเงินภาษีของแผ่นดินมาประเคนช่วยเอกชนขายรถ
ได้หน้า ได้คะแนนนิยม นักการเมืองเอาไป
กำไร เอกชนเอาไป
จ่ายให้ผู้ถือหุ้น
จ่ายโบนัสพนักงาน
ส่วนผลกระทบและความเสียหาย ทิ้งไว้ให้เป็นภาระของประเทศชาติและประชาชน
4) ความเสียหายและผลกระทบจากนโยบายรถคันแรก ไม่ใช่แค่ยอดเงินภาษีที่สูญเสียไปเท่านั้น
แต่ยังเกิดผลกระทบจากปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น เงินที่รัฐต้องอุดหนุนผ่านกองทุนน้ำมัน เพราะต้องมีการใช้น้ำมัน หรือความแออัดของการจราจรบนท้องถนน หรือภาระหนี้สินของครัวเรือนที่ถูกกระตุ้นผ่านนโยบายดังกล่าว
รวมถึงบรรทัดฐานของนโยบายสาธารณะของพรรคการเมือง ซึ่งต่อไป นักการเมืองที่ไร้สำนึกรับผิดชอบก็จะใช้วิธีการลดแลกแจกแถมแบบไม่ลืมหูลืมตา เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองได้ไม่รู้จบ... จนกว่าเศรษฐกิจชาติจะล่มสลาย
ลำพังมูลค่าการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในปี 2555 ก็ทำสถิติใหม่ สูงสุดตั้งแต่มีประเทศไทยมา โดยมีมูลค่าการนำเข้าประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท!
5) นโยบายเพิ่มปริมาณรถยนต์ส่วนตัวเช่นนี้ สวนทางกับการพัฒนาที่พึงประสงค์
เงินภาษีแผ่นดินมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท แทนที่จะเอาไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา หรือแม้แต่ลงทุนสร้างะบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ มูลค่า 55,000 ล้านบาท
โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค-พุทธมณฑลสายสี่ มูลค่า 49,000 ล้านบาท
จะเห็นว่า เงินแผ่นดินแสนล้านบาท สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์ได้มากมายมหาศาล
แทนที่จะส่งเสริมและพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อลดการใช้พลังงานของชาติ ลดความแออัดบนท้องถนน ลดต้นทุนการขนส่งคมนาคมของประเทศ
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับผลาญเงินที่ควรจะเป็นรายได้ของแผ่นดินไปกับโครงการรถคันแรก ส่งกำไรจากยอดขายเข้ากระเป๋าเอกชนพุงปลิ้น
พริตตี้มอเตอร์โชว์ หรือจะสู้ นายกฯ พริตตี้
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/4650
ปล.ถ้าอ่านแล้วรู้สึกหงุดหงิด...แสดงว่าตาเรืมสว่างแล้วครับ...เอิ๊ก ๆ ๆ