สีซอให้ควายฟัง...
สุภาษิตคำพังเพยไทยแต่โบราณกาล
เป็นที่รู้จักกันดีในความหมายของมัน...สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จัก
ก็อยากจะบอกว่า มันหมายถึงการพร่ำพูด พร่ำบอก พร่ำสอน
จนคนพูด กลายเป็นคนพล่าม...
แต่คนฟัง มันไม่ยอมรับฟัง หรือดื้อด้าน ไม่สนใจที่จะฟัง
ถ้าจะมองกันในอีกแง่มุมหนึ่งของการพูด คนที่พูด แน่ใจแล้วหรือว่า...
พูดในเรื่องที่คนอยากจะฟัง
หรือพูดแบบน้ำท่วมทุ่ง หาสาระเนื้อหาไม่เจอ
คนฟังเลยเบื่อที่จะฟังและทำตาม
ท่านเจ้าคุณพระพรหมบัณฑิต...เจ้าอาวาสวัดประยูรฯ ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
สมัยหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์ประชุมสงฆ์เพื่อเทศนาธรรม
พระพุทธองค์ทรงกอบใบไหม้แห้งมากำมือหนึ่งแล้วตรัสถามว่า
ใบไม้ที่มีในป่ากับใบไม้ที่อยู่ในกำมือ อันไหนมีมากกว่ากัน
สงฆ์ทั้งหลายตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าในป่ามีมากกว่า
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ความรู้ทั้งหมดที่เรามีอยู่ ก็เหมือนใบไม้ทั้งป่า
แต่ไร้ประโยชน์ที่จะนำมากล่าวถึง
เราจะบอกและสอนแต่เพียงสิ่งซึ่งเป็นสาระประโยชน์แก่พวกเธอ และมวลมนุษย์ทั้งปวง ที่เป็นอริยสัจจสี่ประการ...
คือเรื่องทุกข์และทางดับทุกข์...
ครับ..เรื่องเดียวจริงๆที่พระพุทธองค์สอน
แต่เรื่องเดียวนี้แหละ หาคนฟัง คนเข้าใจยากเหลือประมาณ
มันจึงเป็นที่มาของการ...พล่ามสอน...
เป็นที่มาของคำว่า...สีซอให้ควายฟัง...ในความรู้สึกของคนพูดถ่ายเดียว
สีซอให้ควายฟัง แล้วควายไม่ฟัง จริงหรือ..?
มาณพน้อยนักซอรำพึง...
เราก็หนึ่งในตองอู...ง่า...หนึ่งในสยามเมืองยิ้มฝีมือซอเป็นเลิศ
จะยอมแพ้ควายกระนั้นหรือ ?
ว่าแล้วมาณพน้อยหนวดงามนามพจนารถ...ก็คว้าซอประดับด้วยมุกไฟ
งามตระการตา เดินดุ่มไปกลางนา ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าควาย
ว่าพลางบรรเลงเพลงซอเสียงไพเราะเสนาะจับใจ..
แต่ควายก็ยังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลินไม่สะดุ้งสะเทือนไปกับเสียงซอ
แม้จะเปลี่ยนเพลงไปหลายท่วงท่าทำนอง....
แม้แต่เพลงเขมรไล่ควาย ก็ถูกนำมาบรรเลงอย่างประณีตบรรจง
....แต่ควายก็ยังไม่ตื่นเต้นที่จะฟัง...
บัดเดี๋ยวใจ....พจนารถหนุ่มผู้เชี่ยวในเชิงซอ ก็เปลี่ยนวิธีใหม่
เริ่มขยับคันซอกระทบสาย ฟังเหมือนเสียงแมลงหวี่กรีดปีก...
อ๊ะ...เริ่มได้ผล ควายเริ่มขยับสะบัดหู
มาณพหนุ่มหนวดงามเปลี่ยนเสียงบรรเลง เป็นเสียงหมาเห่า...
ได้ผลแฮะ เจ้าควายถึกชะงักการกินหญ้า
สอดส่ายตามองไปทั่วเหมือนระวังภัย
แค่นั้นยังไม่พอ การทดลองยังคงดำเนินต่อไปด้วยเสียงควายลูกแหง่
ควายตัวนั้นเดินเข้ามาใกล้ มาณพน้อยถอยห่างพลางสีซอ
เจ้าควายก็ยังเดินตามมาอย่างไม่ลดละ...
บัดนั้นเอง มาณพน้อยพลันรู้แจ้งเห็นจริง ว่า...การจะสีซอให้ควายฟังนั้น
พึงเรียนรู้ให้แจ้งประจักษ์ถึงธรรมชาติควาย
อย่าเอาแต่เฉพาะความรู้ตนไปพ่นใส่สมองควายถ่ายเดียว..
เพราะถ้าทำแบบนั้น ก็เท่ากับว่า...คนกับควายมีสมองไม่ต่างกัน....
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
ว่าอย่างไร ?....คิดเอาเองละกันเด้อ...!!
=======================เรื่องของซอ ที่สีให้ควายฟัง======================
สุภาษิตคำพังเพยไทยแต่โบราณกาล
เป็นที่รู้จักกันดีในความหมายของมัน...สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จัก
ก็อยากจะบอกว่า มันหมายถึงการพร่ำพูด พร่ำบอก พร่ำสอน
จนคนพูด กลายเป็นคนพล่าม...
แต่คนฟัง มันไม่ยอมรับฟัง หรือดื้อด้าน ไม่สนใจที่จะฟัง
ถ้าจะมองกันในอีกแง่มุมหนึ่งของการพูด คนที่พูด แน่ใจแล้วหรือว่า...
พูดในเรื่องที่คนอยากจะฟัง
หรือพูดแบบน้ำท่วมทุ่ง หาสาระเนื้อหาไม่เจอ
คนฟังเลยเบื่อที่จะฟังและทำตาม
ท่านเจ้าคุณพระพรหมบัณฑิต...เจ้าอาวาสวัดประยูรฯ ท่านเคยกล่าวไว้ว่า
สมัยหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์ประชุมสงฆ์เพื่อเทศนาธรรม
พระพุทธองค์ทรงกอบใบไหม้แห้งมากำมือหนึ่งแล้วตรัสถามว่า
ใบไม้ที่มีในป่ากับใบไม้ที่อยู่ในกำมือ อันไหนมีมากกว่ากัน
สงฆ์ทั้งหลายตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าในป่ามีมากกว่า
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ความรู้ทั้งหมดที่เรามีอยู่ ก็เหมือนใบไม้ทั้งป่า
แต่ไร้ประโยชน์ที่จะนำมากล่าวถึง
เราจะบอกและสอนแต่เพียงสิ่งซึ่งเป็นสาระประโยชน์แก่พวกเธอ และมวลมนุษย์ทั้งปวง ที่เป็นอริยสัจจสี่ประการ...
คือเรื่องทุกข์และทางดับทุกข์...
ครับ..เรื่องเดียวจริงๆที่พระพุทธองค์สอน
แต่เรื่องเดียวนี้แหละ หาคนฟัง คนเข้าใจยากเหลือประมาณ
มันจึงเป็นที่มาของการ...พล่ามสอน...
เป็นที่มาของคำว่า...สีซอให้ควายฟัง...ในความรู้สึกของคนพูดถ่ายเดียว
สีซอให้ควายฟัง แล้วควายไม่ฟัง จริงหรือ..?
มาณพน้อยนักซอรำพึง...
เราก็หนึ่งในตองอู...ง่า...หนึ่งในสยามเมืองยิ้มฝีมือซอเป็นเลิศ
จะยอมแพ้ควายกระนั้นหรือ ?
ว่าแล้วมาณพน้อยหนวดงามนามพจนารถ...ก็คว้าซอประดับด้วยมุกไฟ
งามตระการตา เดินดุ่มไปกลางนา ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าควาย
ว่าพลางบรรเลงเพลงซอเสียงไพเราะเสนาะจับใจ..
แต่ควายก็ยังเล็มหญ้าอย่างเพลิดเพลินไม่สะดุ้งสะเทือนไปกับเสียงซอ
แม้จะเปลี่ยนเพลงไปหลายท่วงท่าทำนอง....
แม้แต่เพลงเขมรไล่ควาย ก็ถูกนำมาบรรเลงอย่างประณีตบรรจง
....แต่ควายก็ยังไม่ตื่นเต้นที่จะฟัง...
บัดเดี๋ยวใจ....พจนารถหนุ่มผู้เชี่ยวในเชิงซอ ก็เปลี่ยนวิธีใหม่
เริ่มขยับคันซอกระทบสาย ฟังเหมือนเสียงแมลงหวี่กรีดปีก...
อ๊ะ...เริ่มได้ผล ควายเริ่มขยับสะบัดหู
มาณพหนุ่มหนวดงามเปลี่ยนเสียงบรรเลง เป็นเสียงหมาเห่า...
ได้ผลแฮะ เจ้าควายถึกชะงักการกินหญ้า
สอดส่ายตามองไปทั่วเหมือนระวังภัย
แค่นั้นยังไม่พอ การทดลองยังคงดำเนินต่อไปด้วยเสียงควายลูกแหง่
ควายตัวนั้นเดินเข้ามาใกล้ มาณพน้อยถอยห่างพลางสีซอ
เจ้าควายก็ยังเดินตามมาอย่างไม่ลดละ...
บัดนั้นเอง มาณพน้อยพลันรู้แจ้งเห็นจริง ว่า...การจะสีซอให้ควายฟังนั้น
พึงเรียนรู้ให้แจ้งประจักษ์ถึงธรรมชาติควาย
อย่าเอาแต่เฉพาะความรู้ตนไปพ่นใส่สมองควายถ่ายเดียว..
เพราะถ้าทำแบบนั้น ก็เท่ากับว่า...คนกับควายมีสมองไม่ต่างกัน....
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...
ว่าอย่างไร ?....คิดเอาเองละกันเด้อ...!!