--[ เคาท์ดาวน์ ]-- แค่สะใจหรือให้อะไรมากกว่านั้น? [มีสปอยล์]

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่นขอออกตัวว่าไม่ใช่ม้า และไม่ใช่ขาประจำห้องนี้ (ส่วนใหญ่สิงอยู่ห้องกล้อง)

และนี่เป็นกระทู้วิจารณ์หนังครั้งแรกในห้องนี้
มุมมองต่าง ๆ ที่มีเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเจ้าของกระทู้ล้วน ๆ

______________________

เมื่อวานได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่อง เคาท์ดาวน์ มา ... แม้เป็นวันศุกร์แต่คนในโรงกลับบางตา (ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจจะมัวยุ่งกับการเตรียมตัวรับวันโลกแตกอยู่ก็เป็นได้)

ก่อนไปดูก็อ่านรีวิวมาบ้างแล้ว (ทั้งแบบละเอียดยิบ หรือแบบผิด ๆ ถูก ๆ)
มีทั้งกระแสชม และเซ็งออกมาพอ ๆ กัน คนที่ชอบก็ชอบไปเลย คนที่ไม่ชอบก็บ่นไปเลยเหมือนกัน ตรงนี้่ไม่มีผลกับการตัดสินใจไปดูในโรงเท่าไหร่ เพราะศิลปะ ความเชื่อ ความชอบ ไม่มีถูกผิด ขึ้นอยู่กับรสนิยมส่วนตัวล้วน ๆ

จขกท. ชอบอุดหนุนหนังไทยในโรง รวมถึงอุดหนุนแผ่นแท้ด้วย เพราะอยากเห็นธุรกิจหนังไทยเราเติบโตมากกว่านี้ (แต่ก็เลือกดูนะ ไม่ใช่ดูหมดทุกเรื่อง)


...


มาที่เรื่องหนัง
ชอบสุดคงเป็นมุมกล้อง ทำได้ดี
บท อาจจะหลวม ๆ ไปหน่อย แต่ก็กระชับฉับไวมาก
นักแสดง เฮซุส (เดวิด) ทำได้ดีมาก ครองความโดดเด่นและทำให้มาอารมณ์ร่วมทุกฉาก บี (เต้ย) เล่นได้ดีกว่าที่เคยเห็น และดีสุดในนักแสดงวัยรุ่นทั้ง 3 คน

อารมณ์เหมือนหนังสั้น ตัวละครน้อย บทไม่ซับซ้อน แต่ก็ทิ้งปมอะไรให้คิดตาม

จบแบบ Happy อาจจะไม่สะใจคอหนังเขย่าขวัญ แต่รู้สึกอิ่มกับฉากจบมาก

...

ต่อไปนี้คือการสปอยล์


หลายคนตีความว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือการเมายาแล้วหลอนไปเองของทั้ง 3 คน
แต่มุมมองของเรา ..เราว่า เฮซุส มีตัวตนจริง ๆ และเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจริง

เฮซุส อาจเป็นอีกหนึ่งอวตารของ "Jesus"  เป็นปางแห่งการทำลายล้าง
เช่นอำนาจในการเกิดภัยพิบัติ สึนามิ ฯลฯ จากการย้ำเรื่อง "สึนามิเกิดขึ้นจากความรักของพระผู้เป็นเจ้า" และจากการที่เฮซุสตอบว่า "I am your father"

การสอนของเฮซุสออกแนวฮาร์ดคอ หยิบใบเบิ้ลสอดไส้กัญชา แล้วบอกว่า "สิ่งนี้ จะพาไปสู่นิพพาน" (นั่นแหละที่มีคนท้วงว่า "เมากัญชาแล้วบรรลุธรรมได้ยังไง" ก็อย่างนี้แหละ เป็นความตั้งใจของเฮซุส)

เมื่อตีความเป็นแบบนี้ อำนาจการหยั่งรู้เรื่องผิดบาป การพูดได้หลายภาษา หรือแม้แต่การชุบชีวิตคนตาย ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

แล้วทำไมถึงทำให้ดูเหมือนคลุมเครือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงหรือเมายา หลอนยาไปเอง?

ตรงนี้ก็คงเหมือนประสบการณ์คนเห็นผีที่ส่วนใหญ่จะได้เจอกันในภาวะที่สติไม่สมบูรณ์ กึ่งหลับกึ่งตื่น .... เทพนิมิตร ก็คงไม่ต่างกันเพื่อให้ระหว่าง 2 มิติยังเป็นความลับคู่ขนานกันไป

เด็กหน้าลิฟท์คือความรู้สึกผิดบาปในใจของบี (เต้ย) ที่โผล่ขึ้นมาเพื่อ "ให้อภัย" (เดาจากสีหน้าที่อ่อนโยนและมือที่ลูบแก้ม)
เพราะบี(เต้ย) ได้กล้าที่จะสารภาพบาปตัวเองแล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนไปถึงโบสถ์นั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อเพียงลำพัง บี (เต้ย) ก็ไม่เคยกล้าที่จะพูดมันออกมา กลับไปกวน teen หลวงพ่อจนท่านต้องไล่ออกมาซะงั้น


....

หลายคนบ่นว่า ...จบแบบไม่ Happy ไปมั๊ย? ไม่มีใครตาย ไม่สะใจเลย

สำหรับเราแล้ว เราประทับใจในฉากจบมาก
เพราะ "จบแบบมีความหวัง" ทุกคนไม่ตาย เพราะทุกคนได้รับ "โอกาส"

"ให้อภัย" และ  "ให้โอกาส" ถือเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ และไม่ค่อยมีใครให้กัน

...

ทุกคนตื่นมาด้วยความรู้สึกสับสน และผิดบาป จนต้องโทรไปสารภาพผิดกับพ่อแม่ ส่วนบีก็กลับใจไปสู้คดีที่เมืองไทย

ก่อนจะด่วนสรุปว่ามันเป็นเพียงอาการหลอนยา ก็ได้รับสัญญาณเตือนว่า "มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ " จากปุ่มลิฟท์ที่เสีย

และสายโทรเข้าของ "เฮซุส"

พร้อมกำชับเตือนว่าให้ทำตัวดี ๆ เพื่อที่ปีหน้าจะได้ไม่ต้องเจอกันอีก

......


หนังสมกับหนังส่งท้ายปี ..จบด้วยความหวัง ความสุข สาระ ธรรมะ
ไม่ใช่แค่หนังฆ่ากันเลือดสาด สนองความมันอย่างเดียว
ถ้าเราค่อย ๆ กรอง ๆ เราจะได้อะไรดี ๆ กลับมาจากหนังเรื่องนี้มากเลยล่ะค่ะ

ป.ล. ชอบที่ใส่ทั้งความเป็นพุทธและคริสต์ลงไปในหนังได้อย่างกลมกลืน ศาสนาไหนก็ล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ...ถ้าเรียนรู้และทำจริง ^^




ป.ล. อีกที  เร็ว ๆ นี้ จขกท. มีเรื่องเฉียดตาย แต่ก็รอดมาได้อย่างปาฏิหารย์ เหมือนมีใครบางคนบนฟ้าได้ "ให้โอกาส" พอดูหนังเรื่องนี้เลยอินมากเป็นพิเศษและตั้งใจว่า จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ตั้งมั่นในศีลในธรรม ....ให้สมกับ โอกาสที่ได้รับมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่