จาก การจำแนกกลิ่นหลัก 10 กลุ่ม ถึง หอมกลิ่นศีล

ดอกไม้

การจำแนกกลิ่นหลัก

ในบรรดากลิ่นมากมายที่เราได้สัมผัสได้รับรู้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นมะลิที่บานสะพรั่งเต็มต้น กลิ่นแดดยามเช้า กลิ่นกาแฟ ขนมปังปิ้ง และอาหารต่างๆ กลิ่นเหงื่อจากการออกกำลังกาย กลิ่นฝน กลิ่นอับชื้นของเสื้อผ้าเปียก กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจากเสื้อผ้าชุดใหม่ กลิ่นเน่าจากรถขนขยะ ซึ่งมีทั้งกลิ่นที่เราชอบใจและกลิ่นที่เราไม่ชอบใจ

กลิ่น คืออะไร

กลิ่น (odor / odour) คือ อนุภาคทางเคมี (chemical particle) ที่กระจายตัวอยู่ในอากาศ โดยสามารถรับรู้ได้ด้วยอวัยวะรับกลิ่น อวัยวะรับกลิ่นของมนุษย์และสัตว์คือ จมูก กลิ่นโดยทั่วไปแล้วแบ่งเป็นกลิ่นหอมและกลิ่นเหม็น โดยส่งผลต่อระดับความพึงพอใจของทั้งมนุษย์และสัตว์

นักวิชาการประมาณว่ามีกลิ่นบนโลกนี้มากกว่า 10,000 กลิ่น (บ้างก็ว่ามีเป็นล้านกลิ่น !) ซึ่งกลิ่นส่วนใหญ่เป็นส่วนผสมของกลิ่นพื้นฐาน (fundamental odors) หรือกลิ่นหลัก ที่จำแนกออกเป็น 10 กลุ่มข  ดังนี้

“1. กลิ่นหอม (fragrant)
กลิ่นเบาบางและเป็นธรรมชาติ เช่น กลิ่นดอกไม้ กลิ่นหญ้า และกลิ่นสมุนไพร โดยทั่วไปกลิ่นนี้ใช้ผลิตน้ำหอม

2. กลิ่นผลไม้ (fruity)
กลิ่นของผลไม้สุกที่อบอุ่น และกลิ่นหอมสดชื่นอื่นๆ ที่ละมุนจมูก

3. กลิ่นส้ม (citrus)
กลิ่นส้มแตกต่างจากกลิ่นผลไม้อื่น มันสดชื่น สะอาดและมีความเปรี้ยว แต่ก็เจือความหอมอยู่ด้วย

4. กลิ่นไม้และยาง (woody and resinous)
กลิ่นดินที่เป็นธรรมชาติ เช่น กลิ่นของปุ๋ย รา เครื่องเทศ ต้นซีดาร์ ต้นสน

5. กลิ่นสารเคมี (chemical)
กลิ่นสารสังเคราะห์ ยา ตัวทำละลาย และน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะแรงกลบกลิ่นอื่นๆ

6. กลิ่นหอมหวาน (sweet)
กลิ่นที่อบอุ่น เต็มอิ่ม และหอมหวาน  ซึ่งมาพร้อมลักษณะของครีม ไม่ว่าจะเป็นช็อกโกแลต ข้าวมอลต์ และวานิลลา

7. กลิ่นมินต์ (minty and peppermint)
ความรู้สึกเย็น สดชื่นและมีชีวิตชีวา กระตุ้นได้ด้วยกลิ่นมินต์ ยูคาลิปตัส และการบูร

8. กลิ่นไหม้และกลิ่นถั่ว (toasted and nutty)
กลิ่นไหม้เล็กน้อยที่แทรกด้วยกลิ่นอบอุ่นและหอมน้ำมันอย่างกลิ่นข้าวโพดคั่ว กลิ่นเนย ถั่ว เป็นต้น

9. กลิ่นฉุน (pungent)
มักเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นปุ๋ยคอก กลิ่นนมบูด รวมถึงกลิ่นหอมหัวใหญ่ กลิ่นกระเทียม และกลิ่นอาหารดอง

10. กลิ่นเน่า (decayed) 
กลิ่นที่เหม็นกว่ากลิ่นฉุน เช่น กลิ่นอาหารเน่า กลิ่นขยะ กลิ่นแก๊สหุงต้ม และกลิ่นที่ “น่าคลื่นไส้” อื่นๆ”
 
ซึ่งดิฉันคาดเดาเอาเองว่าสารตั้งต้นของการจัดกลุ่มกลิ่นข้างต้นน่าจะมีการปรับปรุงและพัฒนามาจากผลการศึกษาที่เผยแพร่ ใน ปี 2013
ของนักวิจัย 3 คน (พ.ศ.2556) ได้แก่ Jason B. Castro , Chakra Chennubhotla,  และ Arvind Ramanathan ซึ่งนำเสนอ
กลิ่นพื้นฐาน 10 กลุ่ม ดังนี้                                       
1. fragrant  2. woody – resinous  3. fruity (not citrus)  4. chemical  5. mint / peppermint  
6. sweet  7. popcorn  8. lemon 9. pungent 10. Decomposed
 
 
ดอกไม้

หอมกลิ่นศีล

ดิฉันลองเชื่อมโยงภูมิปัญญา จากอดีตกาลมาสู่ปัจจุบัน ผ่านพระไตรปิฎกที่นอกจากจะ “เป็นที่รวบรวมคำสอนในพระพุทธศาสนาที่จัดเป็น
หมวดหมู่แล้ว”   แล้วยังเป็นแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ ศูนย์รวมความชาญฉลาดและบันทึกประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ที่ทรงค่ายิ่ง น่าสนใจว่า
มีการจำแนก “กลิ่น” อย่างไร

โดยที่ กลิ่น หรือ คันธ คันธะ ในภาษาไทย มาจากภาษาบาลี คือ คนธฺ  ซึ่งนาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย  ได้อธิบายถึงความหมาย ดังนี้
“คนฺธ อ่านว่า คัน-ทะ รากศัพท์มาจาก –
1. คมฺ (ธาตุ = ไป, ถึง, เป็นไป) + ก ปัจจัย, แปลง คมฺ เป็น คนฺธ, ลบ ก : คมฺ + ก = คมก > คนฺธก > คนฺธ 
แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ไปในที่นั้น ๆ ได้ด้วยลม” “สิ่งอันลมพัดพาไป”
2. คนฺธฺ (ธาตุ = ประกาศ, ตัด) + อ (อะ) ปัจจัย : คนฺธ + อ = คนฺธ 
แปลตามศัพท์ว่า (1) “สิ่งที่ประกาศฐานะของตน” (2) “สิ่งที่ตัดความเหม็นด้วยความหอม ตัดความหอมด้วยความเหม็น”
 
ดิฉันเห็นความสอดคล้องของความหมายที่ว่า “สิ่งที่ไปในที่นั้น ๆ ได้ด้วยลม” “สิ่งอันลมพัดพาไป” กับ  “อนุภาคทางเคมีที่กระจายตัวอยู่ในอากาศ”  
และชื่นชมเป็นพิเศษกับความหมาย “สิ่งที่ตัดความเหม็นด้วยความหอม ตัดความหอมด้วยความเหม็น” เป็นตรรกะในการอธิบายที่ไม่เคยล้าสมัย
แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน
 
ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ 4 มีเนื้อความบางส่วนที่ใช้กลิ่นมาเป็นความเปรียบ ดังนี้
 
“น ปุปฺผคนฺโธ ปฏิวาตเมติ
สตญฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ
น จนฺทนํ ตครมลฺลิกา วา
สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติ.
 
กลิ่นดอกไม้ย่อมฟุ้งทวนลมไปไม่ได้
กลิ่นจันทน์หรือกฤษณา และกระลำพัก ย่อมฟุ้งทวนลมไปไม่ได้
ส่วนกลิ่นของสัตบุรุษย่อมฟุ้งทวนลมไปได้
เพราะสัตบุรุษฟุ้งไปทั่วทิศ
 
จนฺทนํ ตครํ วาปิ             อุปฺปลํ อถ อสฺสิกี
เอเตสํ คนฺธชาตานํ          สีลคนฺโธ อนุตฺตโร.
 
กลิ่นคือศีลเป็นเยี่ยมกว่าคันธชาติเหล่านี้ คือจันทน์ กฤษณา ดอกบัว และมะลิ         
กลิ่นกฤษณาและจันทน์นี้ เป็นกลิ่นมีประมาณน้อย
ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลทั้งหลายเป็นกลิ่นสูงสุด
ย่อมฟุ้งไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
 
และความชาญฉลาดที่ปรากฏในคัมภีร์ชั้นต่อๆ มา มีการแบ่งกลุ่มกลิ่นออกเป็น 4 กลุ่ม ตาม คนธฺ 4 ประการ คือ

1. สีลคนฺธ ได้แก่ กลิ่นแห่งศีล
    องค์ธรรมได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ

2. สมาธิคนฺธ ได้แก่ กลิ่นแห่งสมาธิ
    องค์ธรรมได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ

3. ปญฺญาคนฺธ ได้แก่ กลิ่นแห่งปัญญา
    องค์ธรรมได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
          คันธะในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงตัวกลิ่นที่หอมหรือเหม็นนั้น แต่หมายถึงว่า เป็น การฟุ้งไปทั่ว กระจายไปทั่ว แผ่ไปทั่ว กลิ่นหอมหรือเหม็นนั้น ตามปกติ
    ย่อมกระจายไปตามลม และไปได้ในบริเวณ แคบไม่กว้างไม่ไกลนัก แต่การกระจาย การแผ่ไปของ สีล สมาธิ ปัญญา นั้นไปได้ทั้งตามลมและทวนลม
    ทั้งแผ่ไปได้ทั่วไม่มีขอบเขตอันจำกัดเลย

4. อายตนคนฺธ ได้แก่ กลิ่นแห่งอายตนะ คือ การกระทบกันระหว่างกลิ่น กับฆานปสาทและฆานวิญญาณ
    องค์ธรรม ได้แก่ คันธารมณ์ คือ สุคนฺธ = กลิ่นที่ดี  ทุคนฺธ = กลิ่นที่ไม่ดี”
 
flowerเห็นด้วยกับดิฉันมั้ยคะว่า ผู้ทรงภูมิธรรมผู้ทรงปัญญาท่านจำแนกกลิ่นได้อย่างครบถ้วนทั้งรูปธรรมนามธรรม เป็นความลึกซึ้งที่งดงามยิ่งนัก
 

ภาพ : kitmaiwatpho.com/dataWorld-Heritage/10SalaMondop/Lokniti420/East211-315/230.png
  

นานาเรียน
ที่มา
ก th.wikipedia.org/wiki/กลิ่น
ข สมองทำงานอย่างไร  : Dorling Kindersley  แปลโดย  วิญญู นามเรืองศรี 
ค scentspiracy.com/blog/10-fundamental-categories-of-olfactive-perception?srsltid=AfmBOopAVdmaEaeq1upNtDTCC8ZNi4Tr8qwy-ySr-TG76C-gayiBYCht
ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
จ  นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย  “เทวสุคนธ์”  ใน บาลีวันละคำ  dhamtara.com/?p=29204
ฉ  คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ 4  84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=25&item=14&items=1 และ 84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=395&Z=433&pagebreak=0
ช คู่มือพระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 6  thepathofpurity.com
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่