ความรู้สึกตามหัวข้อครับ อันนี้เล่าจากประสบณ์การจริงและมุมมองของ จขกท มันมีอยู่ว่าผมและน้องชายเกิดช่วงยุค 90 แถวชนบท พ่อผมเป็นข้าราชการ ช่วงนั้นเงินเดือนหลักพันแต่งงานกับแม่ผมซึ่งชาติตระกูลเป็นชาวนาแถวภาคอีสาน อยู่กินกันแบบพ่อตาแม่ยายอยู่ด้วย พ่อผมหาเงินคนเดียวเลี้ยงทั้งครอบครัวเงินเดือนข้าราชการในยุคนั้นคือน้อยมากแทบไม่พอกินเลย แถมยังต้องมาเลี้ยงพ่อตาแม่ยายอีก ตอนนั้นผมกับน้องชายยังเด็กค่าใช้จ่ายไม่มากก็พอประคับประคองกันอยู่ครับ แต่พอย่างเข้ายุค2000 ผมเรียนประถม ข้าวของเริ่มขยับราคาอันนี้ก็ยังพอไหวอยู่ แต่พอผมจบ ม ปลายหมดโอกาศได้เรียนมหาลัยเลยครับ เพราะเงินไม่มีเนื่องจากภาระที่หนักขึ้นเรื่อยๆ เลยให้น้องชายเรียนคนเดียว ผมต้องออกมาทำนาเลี้ยง ตา ยาย จนกระทั่งผมอายุ 26 ปี จึงได้เข้ามหาลัยปีที่ 1 ที่ และเรียนจบอายุ 30 ได้เข้าเรียนก็เพราะ ตา กับยายก็ตายไป(ผมคิดในใจว่าน่าจะตายตั้งนานแล้วเบื่อถ่วงความเจริญของเด็กมาก) ภาระค่าใช้จ่ายก็ลดลง และภาระการทำงานที่บ้านก็ลดลงด้วย ผมคิดว่าถ้าจะมีครอบครัว คู่ครองของเราควรจะมีสถานะเท่ากัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสถานะด้อยกว่าแสดงว่าอีกฝ่ายต้องเหนื่อย และเหนื่อยแบบเสียเวลาเปล่า เช่นพ่อผม เพื่อนรุ่นเดียวกับผมที่ครอบครัวเข้าเป็นข้าราชการตอนนี้เขาได้ดีหมดแล้วเพราะเขาไม่มีภาระทางญาติฝั่งหญิงหรือชายเรื่องเงินเขาจึงทุ่มให้การศึกษาลูกเขาเต็มที่ เรื่องที่ผมเจอมันทำให้ผมที่สมควรจะมีการศึกษาทัดเทียมรุ่นๆเดียวกันกลับต้องเสียเวลาชีวิตเพราะการติดกระดุมเม็ดแรกไม่ดี สุดท้ายผมตกเป็นจำเลย โดนหาว่าอายุเยอะแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ ผมโดนมองว่าผิดโดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิด ฝ่ายชายมีเมียและต้องเลี้ยงญาติฝ่ายญิงด้วย เรื่องแบบนี้ชนบทแภวภาคอีสานมีเยอะครับ มันเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ครับ สรุปให้เลยครับ จะมีลูกมีครอบครัวมีได้ แต่จะให้มีคุณภาพประสบความสำเร็จยากครับพื้นฐานครอบครัวสำคัญจริงๆ สำหรับผม ผมเข็ดแล้วถ้ามีครอบครัวแล้วจะมาเจอวงจรชีวิตแบบนี้ผมสงสารเด็กที่จะเกิดมา กลัวเสียเวลาชีวิตแบบผมเพราะต้องเสียเวลาไปเลี้ยงญาติฝ่ายหญิงอีก อยากระบายความรู้สึกตัวเองที่เก็บมานานครับ ขอบคุณสำหรับพื้นที่
การมีครอบครัวไม่ได้ตอบโจทย์ที่จะประสบความสำเร็จเสมอไป