หมอประชาเตือน! เมื่อยต้นคออย่าให้เมียนวด และ ‘น้ำส้มสายชู’ กินผิดชีวิตเสี่ยง

หมอประชา เตือนเมื่อยต้นคออย่าให้เมียนวด ยกเคสอุทาหรณ์ชายวัย 54 ปี เมื่อยต้นคอให้เมียช่วยบีบนวด ตื่นเช้ามีอาการอ่อนแรง พบเส้นเลือดปริแตก กัดเซาะจนลิ่มเลือดอุดตันสมอง ย้ำนวดแผนไทยต้องเรียน ไม่ใช่ใครก็นวดได้

วันนี้ (6 พ.ค.68) เพจ “หมอประชา ผ่าสมอง“ หรือ นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ แพทย์เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมประสาทได้โพสต์คลิปวีดีโอ ยกเคสอุทาหรณ์ของผู้ป่วยเพศชาย อายุ 54 ปี รู้สึกปวดเมื่อยต้นคอ หลังกินข้าวเสร็จ จึงให้ภรรยาช่วยบีบนวดบริเวณต้นคอ แต่เมื่อนวดเสร็จรู้สึกเคล็ดมากกว่าเดิม จึงเข้านอน ปรากฎว่าตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรงแขนขาข้างขวา ไม่พูด ญาติให้ประวัติว่าผู้ป่วยไม่มีโรคประจำตัว นำส่งโรงพยาบาลประจำอำเภอ ผู้ป่วยได้รับการรีเฟอร์ ส่งต่อมาถึงหมอประชา

เคสนี้ หมอสแกนสมอง พบว่าเนื้อสมองบางส่วนตาย สีดำในภาพ CT แสดงว่าเกิน 8 ชั่วโมง ปกติคนเรามีเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง 4 เส้น คือ หน้าขวา หน้าซ้าย หลังขวา และหลังซ้าย แต่คนไข้รายนี้ เส้นเลือดหายไปเหลือ 3 เส้น เคสนี้เกิดจากเส้นเลือดที่คอปริแตก แล้วลิ่มเลือดไปอุดตันเส้นเลือดของตัวเอง เนื่องจากคนไข้เส้นเลือดสมองตันในเวลากลางคืน เลยเวลาที่จะทำอะไรได้ จึงต้องขยายกะโหลกเพื่อเพิ่มโอกาสรอด ผ่าตัดเปิดกะโหลกเพื่อลดแรงดันในสมอง

หมอประชา จึงย้ำเตือนถึงอุทาหรณ์การกดคลึงหรือนวดบริเวณด้านหน้าของลำคอ ทำให้หลอดเลือดปริแตก แล้วเซาะเข้าไปในผนังของตัวเอง กลายเป็นลิ่มเลือดอุดตัน สมองตายซีกซ้าย ถ้าสามีอยากให้ภรรยานวด ต้องให้ภรรยาไปเรียนเพื่อให้มีความรู้ด้านกายวิภาค ผู้ที่จะให้บริการนวดแผนไทยต้องเรียน เนื่องจากเส้นเลือดบริเวณลำคอด้านหน้าและท้ายทอย ห้ามบีบหรือกดแรง ๆ จะทำให้พิการหรือสโตรกจากการนวดได้”

Cr. และชมคลิปได้ที่ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000042447



สายปรุงรส… ‘น้ำส้มสายชู’ กินผิดชีวิตเสี่ยง

กิน… “น้ำส้มสายชู” ให้ปลอดภัยต้องสังเกตก่อนกินและผู้บริโภคควรใส่ใจในการเลือกซื้อ
สายปรุงรส… ‘น้ำส้มสายชู’ กินผิดชีวิตเปลี่ยน

กิน… “น้ำส้มสายชู” ให้ปลอดภัยต้องสังเกตก่อนกินและผู้บริโภคควรใส่ใจในการเลือกซื้อ  

วันนี้ “เดลินิวส์” นำบทความจาก เพจกรมอนามัย ว่าด้วย “น้ำส้มสายชู” ตัวชูรสที่สร้างความเปรี้ยวให้ อาหารหลากหลายชนิด เช่น อาหารประเภท ก๋วยเตี๋ยวและราดหน้า อื่นๆ เผื่อให้อาหารทีรสชาติอร่อยตามความชอบ แต่ “น้ำส้มสายชู” ที่ขายในตลาดนั้นมีหลาย ประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติ และ กระบวนการผลิตแตกต่างกัน


โดยทั่วไป แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

น้ำส้มสายชูหมัก น้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมัก ธัญพืช ผลไม้หรือน้ำตาล น้ำส้มสายชู ชนิดนี้มีรสชาติกลมกล่อม กลิ่นหอม และมีเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย เเต่ราคาค่อนข้างสูง

น้ำส้มสายชูกลั่น น้ำส้มสายชูที่ได้จากการ หมักแอลกอฮอล์กลั่นเจือจางกับ เชื้อน้ำส้มสายชู จากนั้นนำไป กลั่นอีกครั้ง หรือนำน้ำส้มสายชูหมัก มากลั่นนั่นเอง

น้ำส้มสายชูเทียม คือ น้ำส้มสายชู ที่นำกรดน้ำส้ม (Acetic Acid) กรดอินทรีย์มี ฤทธิ์กรดอ่อน ความเข้มข้น 95% มาเจือจางจนได้ปริมาณกรด 4-7%
ดังนั้นผู้บริโภคควรใส่ใจเลือกซื้อ  เนื่องจากมีการนำน้ำส้มสายชูปลอมมาจำหน่ายในตลาด ซึ่งมีราคาถูก ผลิตจาก “หัวน้ำส้ม” (Glacial Acetic Acid) ที่เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง สิ่งพิมพ์ สิ่งทอ และ อาจปนเปื้อนโลหะหนัก หรือวัตถุเจือปนอื่นๆ ระหว่างกรรมวิธีการผลิต เมื่อเข้าสู่ร่างกายทำให้ พิษสะสมได้ การผสมกรดน้ำส้ม ที่ไม่ได้มาตรฐาน ในปริมาณที่สูงเกินไป ทำให้ผู้บริโภคท้องร่วงอย่าง รุนแรงได้


นอกจากนี้ยังพบการนำกรดแร่อิสระบางชนิด เช่น กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟิวริก (Sulfuric Acid) ซึ่งเป็นกรดแร่มาเจือจางด้วยน้ำ มากๆ แล้วบรรจุขวดขาย อันตรายมาก กรดกำมะถันเป็นกรด ที่มีฤทธิ์กัดกร่อน รุนแรง อันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร และตับ การเลือกซื้อน้ำส้มสายชู ให้ เลือกที่มีลักษณะใส ไม่มีตะกอน ไม่มีเจือสี และมีปริมาณกรดน้ำส้ม 4-7 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร หรือ เลือกที่มีข้อความข้างขวดระบุว่า “มีปริมาณกรดน้ำส้ม 4-7%” รวมทั้งมีเครื่องหมาย อย. รับรอง

หากไปกินอาหารนอกบ้าน ควรสังเกตน้ำส้มสายชูก่อนปรุง คือ ภาชนะที่ใส่น้ำส้มสายชูไม่ควร เป็นพลาสติก น้ำส้มสายชูอาจทำ ปฏิกิริยากับพลาสติกเกิดสารพิษที่ ก่อเกิดโรคมะเร็งได้และหากมี พริกดอง ให้สังเกตส่วนน้ำส้มที่อยู่เหนือพริกจะขุ่น เนื้อพริกมีสีซีดขาวและเปื่อยยุ่ย ไม่ควรกิน

เพื่อความปลอดภัย จึงต้อง ใส่ใจเลือกซื้อ …ชีวิตจะได้ไม่เสี่ยง...

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4680426/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่