หลังดำรงตำแหน่งครบ 100 วัน นโยบายไหนที่ 'ทรัมป์' ทำสำเร็จแล้วบ้าง?
ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เขาได้ให้สัตย์คำมั่นสัญญาว่าจะมอบ "100 วันแรก" ของการทำงานที่ดีที่สุดมากกว่าประธานาธิบดีคนไหน ๆ ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อวานนี้ 29 เมษายน 2568 ถือเป็นกำหนดครบวาระการดำรงตำแหน่ง 100 วันแรกที่ทรัมป์เข้ามากุมบังเหียนริเริ่มผลักดันสหรัฐฯ ให้เป็นไปตามแผนของเขา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสามเดือนกว่าที่ผ่านมา กลับได้ผลที่ตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว เมื่อชาวอเมริกันรวมถึงผู้คนทั่วโลกหมดศรัทธาต่อการบริหารงานของทรัมป์ จนทำให้คะแนนความนิยมเขาลดต่ำลงที่สุดในประวัติศาสตร์ประธานาธิบดี
.
หลังจากมหกรรมการทำให้ทั้งโลกอกสั่นขวัญผวากับการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย การริดรอนสัญชาติผู้ย้ายถิ่นฐาน หรือสงครามกำแพงภาษีที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ดูเหมือนว่าทรัมป์กำลังพยายามทำตาม "คำสัญญา" ที่ให้ไว้ตอนหาเสียง แต่ผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามคำที่โฆษณาไว้ ทำให้ใครหลายคนต่างพากันผิดหวังและคิดว่าอเมริกากำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย วันนี้ SUM UP จึงอยากพาทุกคนมาย้อนรอย "นโยบายทรัมป์" ว่า 100 วันที่ผ่านมา เขาบรรลุข้อตกลงไหนไปแล้วบ้าง
.
🟠 ยุติสงครามยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง
ผลลัพธ์: ล้มเหลว
.
ในช่วงหาเสียง ทรัมป์เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยในคำปราศรัยบางครั้งเขาถึงขั้นเอ่ยปากว่าจะยุติความขัดแย้งดังกล่าวภายใน 24 ชั่วโมงหลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทว่าผ่านมาแล้วกว่า 100 วัน สงครามและความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป มิหนำซ้ำยังส่งผลในทางที่แย่ลง เมื่อการริเริ่มเจรจาระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ล้มเหลวไม่เป็นท่าจนเกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรง อีกทั้งทรัมป์ยังกล่าวว่า เซเลยสกีเป็นพวกเนรคุณและไม่ให้เกียรติสหรัฐฯ
.
🟠 ยุติสงครามอันยืดเยื้อในฉนวนกาซา
ผลลัพธ์: ล้มเหลว
.
ตั้งแต่การเปิดฉากยิงครั้งแรกในฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ทรัมป์แสดงความคิดเห็นทั้งเชิงวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสีการทำงานของรัฐบาลชุดเก่าที่มีต่อสงครามความรุนแรงในฉนวนกาซา ทรัมป์ยืนกรานว่าหากเขาเป็นประธานาธิบดีเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน และยังแสดงให้เห็นถึงความ "เส้นใหญ่" เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ และมองว่าเขาไม่ได้พูดไปเรื่อย โดยการติดต่อกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู อยู่เสมอ ถึงขั้นที่ว่าเคยพบปะกันในคฤหาสน์หรูที่ฟลอริดา จนทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าทรัมป์น่าจะเอาอยู่ ทว่าอย่างที่เราเห็นกัน ถึงแม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงและส่งคืนตัวประกัน แต่ความขัดแย้งและความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป อิสราเอลยังคงไม่ไว้ใจฮามาสเหมือนที่เหล่าฮามาสก็ไม่ยอมทหารอิสราเอล คราบน้ำตาและเลือดยังคงปรากฏในฉนวนกาซาดังเดิม
.
🟠 การปิดกั้นพรมแดนและยุติการอพยพผิดกฎหมาย
ผลลัพธ์: สำเร็จ
.
การยุติการอพยพคนเข้าเมืองผิดกฎหมายในสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในนโยบายชูโรงของทรัมป์มาตลอดการหาเสียง โดยทรัมป์ได้เสนอแผนริเริ่มต่าง ๆ เพื่อลดการย้ายถิ่นฐานที่ผิดกฎหมายและจำนวนผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาผ่านการปิดกั้นพรมแดนทางใต้ของสหรัฐฯ ที่อยู่ติดกับประเทศเม็กซิโก ซึ่งดูเหมือนว่าทรัมป์จะทำได้สำเร็จ เนื่องจากข้อมูลของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ การข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมายอยู่ในระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ โดยลดลงจาก 211,896 ครั้งในเดือนมีนาคม 2022 เหลือ 8,193 ครั้งในเดือนมีนาคม 2025 หรือลดลง 96%
.
🟠 เนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ผลลัพธ์: ล้มเหลว
.
การเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ถือเป็นหนึ่งในการหาเสียงเรื่อยมาของทรัมป์เช่นกัน ถึงแม้จะไม่เคยให้รายละเอียดว่าจะมีขั้นตอนการเนรเทศอย่างไร แต่เขาพูดมาเสมอว่า จะส่งร่างกฎหมายไปยังรัฐสภาเพื่อมิให้ใช้เมืองเป็นสถานที่ลี้ภัยไม่ว่าจะสถานที่ใดก็ตาม อีกทั้งยังกล่าวว่า นี่จะเป็นการเนรเทศผู้อพยพครั้งประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด แต่ถึงตอนนี้ดูเหมือนการเนรเทศดังกล่าวจะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด แม้ว่าจะมีการสั่งให้เริ่มดำเนินการทันที แต่จำนวนการเนรเทศของทรัมป์กลับต่ำกว่าไบเดนและโอบามาในตอนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเสียอีก แต่ทรัมป์ยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมายมากมายต่อคำสั่งการเนรเทศ ซึ่งหลายกรณีถูระงับโดยศาลฎีกาหรือศาลรัฐบาลกลาง
.
🟠 ยุติสิทธิพลเมืองโดยกำเนิด
ผลลัพธ์: ยังไม่มีข้อสรุป
.
ทรัมป์มีความพยายามในการยุติสิทธิพลเมืองโดยกำเนิด สำหรับผู้ที่มาพำนักในสหรัฐฯ แล้วคลอดบุตรเพื่อต้องการสัญชาติอเมริกันมาตั้งแต่ปี 2023 และได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ซึ่งเขาได้ปราศรัยขณะหาเสียงว่า ในวาระการดำรงตำแหน่งใหม่ของเขาจะมีการลงนามฝ่ายบริหาร เพื่อชี้แจงให้หน่วยงานรัฐบาลกลางทราบอย่างชัดเจนว่า ภายใต้การตีความกฎหมายที่ในอนาคต บุตรของผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจะไม่ได้รับสัญชาติสหรัฐฯ โดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยุติการให้สัญชาติโดยกำเนิดตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่คำสั่งดังกล่าวกลายเป็นคดีความโต้แย้ง เมื่อผู้พิพากษาศาลอย่างน้อย 4 คน ไม่เห็นด้วยต่อคำสั่งนี้
.
🟠 จัดเก็บภาษีและปรับปรุงเศรษฐกิจ
ผลลัพธ์: ล้มเหลว
.
หลังจากการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ที่ทำให้ทั้งโลกถึงกับกุมขมับ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างเริ่มมีความกังวลกับสิ่งที่จะตามมาหากข้อต่อรองนี้ไม่เป็นผล สหรัฐฯ จะเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ทรัมป์ยังคงเชื่อมันว่าการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในครั้งนี้จะช่วยทำให้ชาวอเมริกันมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่พอเอาเข้าจริงแล้วดูเหมือนทรัมป์จะลังเลอยู่พอสมควร โดยบางครั้งก็สัญญาว่าจะเรียกเก็บภาษี 100 เปอร์เซ็นต์กับรถยนต์ทุกคันจากเม็กซิโก และบางครั้งก็เสนอที่จะเรียกเก็บภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ถึง 20 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้าทุกประเภท ดูเหมือนว่าเขาเองก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ กับผลลัพธ์ที่จะตามมา ซึ่งจุดนี้เองทำให้ชาวอเมริกันเริ่มไม่เชื่อใจการบริหารงานของทรัมป์ เป็นผลให้คะแนนความนิยมของเขาลดต่ำลงในช่วงเวลาที่ผ่านมา
.
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากนโยบายของทรัมป์ที่ถือเป็นนโยบายชูโรง แต่เมื่อลงมือทำจริงกลับไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง อีกทั้งยังส่งผลตรงกันข้ามในบางข้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ทรัมป์จะกอบกู้สถานการณ์ความไม่เชื่อใจของชาวอเมริกันอย่างไร

หลังดำรงตำแหน่งครบ 100 วัน นโยบายไหนที่ 'ทรัมป์' ทำสำเร็จแล้วบ้าง?
ในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) เขาได้ให้สัตย์คำมั่นสัญญาว่าจะมอบ "100 วันแรก" ของการทำงานที่ดีที่สุดมากกว่าประธานาธิบดีคนไหน ๆ ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อวานนี้ 29 เมษายน 2568 ถือเป็นกำหนดครบวาระการดำรงตำแหน่ง 100 วันแรกที่ทรัมป์เข้ามากุมบังเหียนริเริ่มผลักดันสหรัฐฯ ให้เป็นไปตามแผนของเขา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสามเดือนกว่าที่ผ่านมา กลับได้ผลที่ตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว เมื่อชาวอเมริกันรวมถึงผู้คนทั่วโลกหมดศรัทธาต่อการบริหารงานของทรัมป์ จนทำให้คะแนนความนิยมเขาลดต่ำลงที่สุดในประวัติศาสตร์ประธานาธิบดี
.
หลังจากมหกรรมการทำให้ทั้งโลกอกสั่นขวัญผวากับการเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย การริดรอนสัญชาติผู้ย้ายถิ่นฐาน หรือสงครามกำแพงภาษีที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ดูเหมือนว่าทรัมป์กำลังพยายามทำตาม "คำสัญญา" ที่ให้ไว้ตอนหาเสียง แต่ผลลัพธ์อาจไม่เป็นไปตามคำที่โฆษณาไว้ ทำให้ใครหลายคนต่างพากันผิดหวังและคิดว่าอเมริกากำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย วันนี้ SUM UP จึงอยากพาทุกคนมาย้อนรอย "นโยบายทรัมป์" ว่า 100 วันที่ผ่านมา เขาบรรลุข้อตกลงไหนไปแล้วบ้าง
.
🟠 ยุติสงครามยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง
ผลลัพธ์: ล้มเหลว
.
ในช่วงหาเสียง ทรัมป์เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยในคำปราศรัยบางครั้งเขาถึงขั้นเอ่ยปากว่าจะยุติความขัดแย้งดังกล่าวภายใน 24 ชั่วโมงหลังการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ทว่าผ่านมาแล้วกว่า 100 วัน สงครามและความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป มิหนำซ้ำยังส่งผลในทางที่แย่ลง เมื่อการริเริ่มเจรจาระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ล้มเหลวไม่เป็นท่าจนเกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรง อีกทั้งทรัมป์ยังกล่าวว่า เซเลยสกีเป็นพวกเนรคุณและไม่ให้เกียรติสหรัฐฯ
.
🟠 ยุติสงครามอันยืดเยื้อในฉนวนกาซา
ผลลัพธ์: ล้มเหลว
.
ตั้งแต่การเปิดฉากยิงครั้งแรกในฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ทรัมป์แสดงความคิดเห็นทั้งเชิงวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสีการทำงานของรัฐบาลชุดเก่าที่มีต่อสงครามความรุนแรงในฉนวนกาซา ทรัมป์ยืนกรานว่าหากเขาเป็นประธานาธิบดีเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน และยังแสดงให้เห็นถึงความ "เส้นใหญ่" เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ และมองว่าเขาไม่ได้พูดไปเรื่อย โดยการติดต่อกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู อยู่เสมอ ถึงขั้นที่ว่าเคยพบปะกันในคฤหาสน์หรูที่ฟลอริดา จนทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าทรัมป์น่าจะเอาอยู่ ทว่าอย่างที่เราเห็นกัน ถึงแม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงและส่งคืนตัวประกัน แต่ความขัดแย้งและความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป อิสราเอลยังคงไม่ไว้ใจฮามาสเหมือนที่เหล่าฮามาสก็ไม่ยอมทหารอิสราเอล คราบน้ำตาและเลือดยังคงปรากฏในฉนวนกาซาดังเดิม
.
🟠 การปิดกั้นพรมแดนและยุติการอพยพผิดกฎหมาย
ผลลัพธ์: สำเร็จ
.
การยุติการอพยพคนเข้าเมืองผิดกฎหมายในสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในนโยบายชูโรงของทรัมป์มาตลอดการหาเสียง โดยทรัมป์ได้เสนอแผนริเริ่มต่าง ๆ เพื่อลดการย้ายถิ่นฐานที่ผิดกฎหมายและจำนวนผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาผ่านการปิดกั้นพรมแดนทางใต้ของสหรัฐฯ ที่อยู่ติดกับประเทศเม็กซิโก ซึ่งดูเหมือนว่าทรัมป์จะทำได้สำเร็จ เนื่องจากข้อมูลของสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ การข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมายอยู่ในระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์ โดยลดลงจาก 211,896 ครั้งในเดือนมีนาคม 2022 เหลือ 8,193 ครั้งในเดือนมีนาคม 2025 หรือลดลง 96%
.
🟠 เนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ผลลัพธ์: ล้มเหลว
.
การเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ถือเป็นหนึ่งในการหาเสียงเรื่อยมาของทรัมป์เช่นกัน ถึงแม้จะไม่เคยให้รายละเอียดว่าจะมีขั้นตอนการเนรเทศอย่างไร แต่เขาพูดมาเสมอว่า จะส่งร่างกฎหมายไปยังรัฐสภาเพื่อมิให้ใช้เมืองเป็นสถานที่ลี้ภัยไม่ว่าจะสถานที่ใดก็ตาม อีกทั้งยังกล่าวว่า นี่จะเป็นการเนรเทศผู้อพยพครั้งประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด แต่ถึงตอนนี้ดูเหมือนการเนรเทศดังกล่าวจะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด แม้ว่าจะมีการสั่งให้เริ่มดำเนินการทันที แต่จำนวนการเนรเทศของทรัมป์กลับต่ำกว่าไบเดนและโอบามาในตอนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเสียอีก แต่ทรัมป์ยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมายมากมายต่อคำสั่งการเนรเทศ ซึ่งหลายกรณีถูระงับโดยศาลฎีกาหรือศาลรัฐบาลกลาง
.
🟠 ยุติสิทธิพลเมืองโดยกำเนิด
ผลลัพธ์: ยังไม่มีข้อสรุป
.
ทรัมป์มีความพยายามในการยุติสิทธิพลเมืองโดยกำเนิด สำหรับผู้ที่มาพำนักในสหรัฐฯ แล้วคลอดบุตรเพื่อต้องการสัญชาติอเมริกันมาตั้งแต่ปี 2023 และได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ซึ่งเขาได้ปราศรัยขณะหาเสียงว่า ในวาระการดำรงตำแหน่งใหม่ของเขาจะมีการลงนามฝ่ายบริหาร เพื่อชี้แจงให้หน่วยงานรัฐบาลกลางทราบอย่างชัดเจนว่า ภายใต้การตีความกฎหมายที่ในอนาคต บุตรของผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจะไม่ได้รับสัญชาติสหรัฐฯ โดยอัตโนมัติ ถึงแม้ว่าทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยุติการให้สัญชาติโดยกำเนิดตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่คำสั่งดังกล่าวกลายเป็นคดีความโต้แย้ง เมื่อผู้พิพากษาศาลอย่างน้อย 4 คน ไม่เห็นด้วยต่อคำสั่งนี้
.
🟠 จัดเก็บภาษีและปรับปรุงเศรษฐกิจ
ผลลัพธ์: ล้มเหลว
.
หลังจากการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรของทรัมป์ที่ทำให้ทั้งโลกถึงกับกุมขมับ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างเริ่มมีความกังวลกับสิ่งที่จะตามมาหากข้อต่อรองนี้ไม่เป็นผล สหรัฐฯ จะเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ทรัมป์ยังคงเชื่อมันว่าการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในครั้งนี้จะช่วยทำให้ชาวอเมริกันมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่พอเอาเข้าจริงแล้วดูเหมือนทรัมป์จะลังเลอยู่พอสมควร โดยบางครั้งก็สัญญาว่าจะเรียกเก็บภาษี 100 เปอร์เซ็นต์กับรถยนต์ทุกคันจากเม็กซิโก และบางครั้งก็เสนอที่จะเรียกเก็บภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ถึง 20 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้าทุกประเภท ดูเหมือนว่าเขาเองก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ กับผลลัพธ์ที่จะตามมา ซึ่งจุดนี้เองทำให้ชาวอเมริกันเริ่มไม่เชื่อใจการบริหารงานของทรัมป์ เป็นผลให้คะแนนความนิยมของเขาลดต่ำลงในช่วงเวลาที่ผ่านมา
.
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากนโยบายของทรัมป์ที่ถือเป็นนโยบายชูโรง แต่เมื่อลงมือทำจริงกลับไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง อีกทั้งยังส่งผลตรงกันข้ามในบางข้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ทรัมป์จะกอบกู้สถานการณ์ความไม่เชื่อใจของชาวอเมริกันอย่างไร