มันจบแล้ว 9 ปี ที่คลินิคบ้านทันตแพทย์
เราใช้บริการที่คลินิคบ้านทันตแพทย์ ทั้งสาขา 1 และ 2 มาตลอด 9 ปี
ไม่เคยไปรักษาที่อื่นเลย แม้กระทั่งเปลี่ยนงานมา 3 หน ก็ยังกลับไปใช้บริการที่นี่ที่เดียว
ตั้งแต่ ขูดหินปูน ถอนฟัน อุดฟัน ครอบฟัน ยันทำฟันปลอม จะเรียกว่าเป็นลูกค้าประจำก็ว่าได้
แต่เขาอาจจะเห็นเราเป็นแค่ ผู้มาขอใช้บริการคนนึง
ประสบการณ์ที่ผ่านมา เจอคุณหมอไม่ค่อยซ้ำหน้าเท่าไหร่ เพราะเราทำหลายเคส
แต่ละเคสก็มีคุณหมอเฉพาะทางในเคสนั้นๆ
และเราก็แฮปปี้กับการรักษามาตลอด ไม่เคยรู้สึกไม่โอเคกับคุณหมอ แม้แต่ในครั้งล่าสุด
ที่เราไปถอนฟัน แล้วยังปวดฟันไม่หยุดติดต่อมาเกือบ 2 อาทิตย์ เรากลับเข้าไปอีกครั้งปรึกษาคุณหมอ
คุณหมอให้คำแนะนำ แล้วก็รักษาตามอาการ จนเราหายดี ก็กลับไปใช้บริการอีก คราวนี้เราตัดสินใจจัดฟัน
จุดจบของเราคือเคสจัดฟันนี่แหละ
เราเจอคุณหมอที่ไม่น่ารักเอามากๆ เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกับคุณหมอท่านนี้
เรื่องมีอยู่ว่า
เรามีนัดใส่อุปกรณ์จัดฟัน ก็เข้าไปเตรียมตัว ...ขึ้นเตียงแล้วก็อ้าปาก
พอนึกขึ้นได้ว่าเราใส่ฟันปลอมอยู่ ก็บอกคุณหมอก่อนที่เขาจะใส่เครื่องมือเข้ามาในปาก
แต่คุณหมอกลับแสดงอาการว่า ไม่ต้องบอกเขา เขารู้
หลังจากนั้นคุณหมอก็เอาเครื่องมือมาใส่ในปากเรา
เรานอนโดยวางศีรษะในท่าเดิมมาตั้งแต่แรก
จู่ๆคุณหมอก็พูดขึ้นมาว่า อย่าหันซ้าย
เราก็ได้ยินแล้วคิดในใจว่า...เรายังไม่ได้ขยับสักนิด
คุณหมอพูดต่ออีกว่า ไม่หันไปทางซ้ายนะครับ
ตอนนี้คนไข้กำลังหันไปทางซ้ายอยู่
คือเรานอนท่าเดิมตั้งแต่ขึ้นเตียง
ถ้าคุณหมออยากให้หันขวา
ก็น่าจะบอกเราในสิ่งที่เขาต้องการให้เราทำ
ทั้งๆที่ในใจเราก็งงเต็มที...เรายังไม่ได้หันไปไหนเลย
เลยตัดสินใจหันขวาเล็กน้อย เพื่อให้คุณหมอพอใจ
พอเราหันขวาเสร็จ
คุณหมอก็บอกเราว่า
อย่าเอาลิ้นมาดันฟัน
ทั้งๆที่เรารู้อยู่ด้วยสติว่า ลิ้นเรายังไม่ได้โดนฟัน
เราไม่ได้เอาลิ่นไปดันฟัน
แล้วคุณหมอก็พูดซ้ำอีกว่า คนไข้กำลังเอาลิ้นมาดันฟัน
เราไม่ได้ทำอย่างที่คุณหมอพูด เราเลยยกมือขึ้นโบก
เพื่อสื่อว่า 'เปล่านะคะ'พร้อมกับอ้าปากให้กว้างขึ้น
เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับลิ้น
คุณหมอดับไฟ แล้ววางอุปกรณ์ทั้งหมด
แล้วต่อว่าเรา
"อย่ามาปฏิเสธผม ผมเห็นอยู่
ทำแบบนี้ เท่ากับกำลังบอกว่าหมอโกหก
ผมบอกให้คุณอย่าเอาลิ้นมาดันฟัน
แต่คุณกลับอ้าปาก ผมไม่ได้บอกให้คุณอ้าปาก
คนไข้หลายคนไม่รู้จักยอมรับความจริง
คุณต้องหัดยอมรับความจริงนะ"
เราก็ยกมือเป็นสัญญาณว่าเราเข้าใจแล้ว
แต่คุณหมอยังไม่หยุดพูดต่อว่าคนไข้
จนเราต้องหลับตาลง เพื่อบอกให้คุณหมอรู้ว่าเรายอมแพ้
คุณหมอจะได้ทำงานต่อเสียที
หลังจากนั้นคุณหมอเปลี่ยนไปคุยเรื่องข่าวการเมืองกับผู้ช่วย
ขณะที่ทำการใส่อุปกรณ์จัดฟันให้เรา
มีทั้งเรื่อง กาสิโน เศรษฐกิจ คนตกงาน รัฐบาลชุดปัจจุบัน
เราก็พลอยได้รับรู้ทัศนคติทางการเมืองของคุณหมอไปด้วย
ว่าเขาเห็นด้วยกับกาสิโน เขาว่านี่แหละเป็นการทำให้เงินดำกลายมาเป็นเงินขาว
พวกที่ออกมาต่อต้าน ไม่รู้อะไร คิดแค่ว่า เป็นการพนัน
ทำลายอนาคตลูกหลาน ต่อให้บ่อนผิดกฎหมาย ถ้าคนมันอยากเล่น มันก็ยังเล่นอยู่ดี
บลาๆๆ...
พอวิพากษ์เศรษฐกิจการเมืองจบ คุณหมอก็หันมาจวกเราต่อ
ว่า "คนไข้แบบคุณ พูดไปก็เท่านั้น เพราะทำแต่สิ่งที่ตัวเองอยากทำ ที่ผมเงียบเนี่ย
เพราะผมไม่อยากพูด ลิ้นคุณยังขยับ ผมบอกแล้วว่าให้อยู่นิ่งๆ แต่คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าลิ้นคุณขยับ
เพราะคุณเกร็ง"
เราคิดในใจว่า ลิ้นเราเนี่ยน่าจะเป็นปัญหา และอีกปัญหาคือ อยากรู้ว่าลิ้นต้องอยู่ตำแหน่งไหน
นี่แหละที่คุณหมอไม่บอก แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะถามได้
เราพยายามผ่อนความเกร็งโดยวางลิ้นลง
ก็โดนด่าอีกเหมือนเดิม ว่าเราทำลิ้นคับปาก มันแผ่เต็มปากไปหมด
เราเลยกระดกลิ้นขึ้น ค้างอยู่อย่างนั้น
ก็โดนด่าอีก ว่าเอาลิ้นไปตำแหน่งนั้น เดี๋ยวก็สำลักน้ำลายตัวเอง
ในหัวนี่ รอฟังแค่คำว่า จะให้เอาลิ้นไว้ตำแหน่งไหน ก็พร้อมจะทำตาม
แต่คุณหมอก็เอาแต่ดุแต่ว่า
กลืนน้ำลายก็ยังผิด คุณหมอบอกว่าเขาเพิ่งดูดน้ำลายไป
คุณไม่มีอะไรให้กลืน ในปากคุณมีแค่ลิ้นแห้งๆ
ใช่...เราไม่ได้กลืนน้ำลาย แต่ที่เรากลืนคือเสมหะจากโพรงจมูก
แล้วหมอก็เอาแต่ต่อว่าเราไม่เลิก
ถ้อยคำของคุณหมอจะเรียกว่าการเหยียดหยามแบบสุภาพชนก็ไม่ผิด
เขาพูดว่า คนไข้มี 2 ประเภท ประเภทแรกมานอนแล้วอยู่ไม่นิ่ง แต่พอหมอพูดเขาก็หยุด
แล้วอีกประเภทนึงก็แบบคุณ ที่ไม่รู้จักยอมรับความจริง เอาแต่ความคิดตัวเอง
นาทีนั้นนี่ น้ำตาไหลออกจากตาทั้ง 2 ข้าง แต่หมอไม่เห็นหรอก เพราะผ้าปิดหน้าอยู่
50 นาทีที่นอกจากมาจัดฟันแล้ว ก็มานอนฟังคุณหมอเหยียดหยามแบบสุภาพชน
หลังเสร็จพิธีกรรมของคุณหมอ
เราบ้วนปาก แล้วก็พูดกับคุณหมอว่า หนูไม่ได้จะต่อต้านคุณหมอนะคะ ถ้าทำให้คุณหมอทำงานไม่สะดวก
หนูขอโทษด้วยค่ะ (พร้อมกับยกมือไหว้) หนูไม่รู้จริงๆว่าจะต้องวางลิ้นไว้ที่ตำแหน่งไหน
ในใจนึกว่า คุณหมอจะเปลี่ยนท่าทีกับคนไข้บ้าง...
แต่ไม่เลย คุณหมอพูดกลับมาว่า ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ใช่...ก็เพราะคุณไม่รู้ไง
หลังออกจากคลินิค ก็คิดว่าวันนี้เจอดีอีกแล้ว เจอดีเฉยๆนะ...ไม่ได้เจอหมอดี
โทรกลับไปหาเจ้าหน้าที่คลินิค บอกว่าขอย้ายเคสนะคะ พรุ่งนี้จะเข้าไปเอาประวัติพร้อมกับฟิล์มเอ็กซเรย์
เจ้าหน้าที่ถามถึงเหตุผล
เราก็บอกไปแค่ว่า ...ไม่สะดวกใจที่จะรักษาต่อกับคุณหมอท่านนี้ค่ะ
เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ
ให้เกียรติคุณหมอแล้ว...คุณหมอก็ไม่ต้องให้เกลียดเรามากก็ได้
มันจบแล้ว 9 ปี คลินิคบ้านทันตแพทย์ แปดริ้ว
เราใช้บริการที่คลินิคบ้านทันตแพทย์ ทั้งสาขา 1 และ 2 มาตลอด 9 ปี
ไม่เคยไปรักษาที่อื่นเลย แม้กระทั่งเปลี่ยนงานมา 3 หน ก็ยังกลับไปใช้บริการที่นี่ที่เดียว
ตั้งแต่ ขูดหินปูน ถอนฟัน อุดฟัน ครอบฟัน ยันทำฟันปลอม จะเรียกว่าเป็นลูกค้าประจำก็ว่าได้
แต่เขาอาจจะเห็นเราเป็นแค่ ผู้มาขอใช้บริการคนนึง
ประสบการณ์ที่ผ่านมา เจอคุณหมอไม่ค่อยซ้ำหน้าเท่าไหร่ เพราะเราทำหลายเคส
แต่ละเคสก็มีคุณหมอเฉพาะทางในเคสนั้นๆ
และเราก็แฮปปี้กับการรักษามาตลอด ไม่เคยรู้สึกไม่โอเคกับคุณหมอ แม้แต่ในครั้งล่าสุด
ที่เราไปถอนฟัน แล้วยังปวดฟันไม่หยุดติดต่อมาเกือบ 2 อาทิตย์ เรากลับเข้าไปอีกครั้งปรึกษาคุณหมอ
คุณหมอให้คำแนะนำ แล้วก็รักษาตามอาการ จนเราหายดี ก็กลับไปใช้บริการอีก คราวนี้เราตัดสินใจจัดฟัน
จุดจบของเราคือเคสจัดฟันนี่แหละ
เราเจอคุณหมอที่ไม่น่ารักเอามากๆ เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกับคุณหมอท่านนี้
เรื่องมีอยู่ว่า
เรามีนัดใส่อุปกรณ์จัดฟัน ก็เข้าไปเตรียมตัว ...ขึ้นเตียงแล้วก็อ้าปาก
พอนึกขึ้นได้ว่าเราใส่ฟันปลอมอยู่ ก็บอกคุณหมอก่อนที่เขาจะใส่เครื่องมือเข้ามาในปาก
แต่คุณหมอกลับแสดงอาการว่า ไม่ต้องบอกเขา เขารู้
หลังจากนั้นคุณหมอก็เอาเครื่องมือมาใส่ในปากเรา
เรานอนโดยวางศีรษะในท่าเดิมมาตั้งแต่แรก
จู่ๆคุณหมอก็พูดขึ้นมาว่า อย่าหันซ้าย
เราก็ได้ยินแล้วคิดในใจว่า...เรายังไม่ได้ขยับสักนิด
คุณหมอพูดต่ออีกว่า ไม่หันไปทางซ้ายนะครับ
ตอนนี้คนไข้กำลังหันไปทางซ้ายอยู่
คือเรานอนท่าเดิมตั้งแต่ขึ้นเตียง
ถ้าคุณหมออยากให้หันขวา
ก็น่าจะบอกเราในสิ่งที่เขาต้องการให้เราทำ
ทั้งๆที่ในใจเราก็งงเต็มที...เรายังไม่ได้หันไปไหนเลย
เลยตัดสินใจหันขวาเล็กน้อย เพื่อให้คุณหมอพอใจ
พอเราหันขวาเสร็จ
คุณหมอก็บอกเราว่า
อย่าเอาลิ้นมาดันฟัน
ทั้งๆที่เรารู้อยู่ด้วยสติว่า ลิ้นเรายังไม่ได้โดนฟัน
เราไม่ได้เอาลิ่นไปดันฟัน
แล้วคุณหมอก็พูดซ้ำอีกว่า คนไข้กำลังเอาลิ้นมาดันฟัน
เราไม่ได้ทำอย่างที่คุณหมอพูด เราเลยยกมือขึ้นโบก
เพื่อสื่อว่า 'เปล่านะคะ'พร้อมกับอ้าปากให้กว้างขึ้น
เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับลิ้น
คุณหมอดับไฟ แล้ววางอุปกรณ์ทั้งหมด
แล้วต่อว่าเรา
"อย่ามาปฏิเสธผม ผมเห็นอยู่
ทำแบบนี้ เท่ากับกำลังบอกว่าหมอโกหก
ผมบอกให้คุณอย่าเอาลิ้นมาดันฟัน
แต่คุณกลับอ้าปาก ผมไม่ได้บอกให้คุณอ้าปาก
คนไข้หลายคนไม่รู้จักยอมรับความจริง
คุณต้องหัดยอมรับความจริงนะ"
เราก็ยกมือเป็นสัญญาณว่าเราเข้าใจแล้ว
แต่คุณหมอยังไม่หยุดพูดต่อว่าคนไข้
จนเราต้องหลับตาลง เพื่อบอกให้คุณหมอรู้ว่าเรายอมแพ้
คุณหมอจะได้ทำงานต่อเสียที
หลังจากนั้นคุณหมอเปลี่ยนไปคุยเรื่องข่าวการเมืองกับผู้ช่วย
ขณะที่ทำการใส่อุปกรณ์จัดฟันให้เรา
มีทั้งเรื่อง กาสิโน เศรษฐกิจ คนตกงาน รัฐบาลชุดปัจจุบัน
เราก็พลอยได้รับรู้ทัศนคติทางการเมืองของคุณหมอไปด้วย
ว่าเขาเห็นด้วยกับกาสิโน เขาว่านี่แหละเป็นการทำให้เงินดำกลายมาเป็นเงินขาว
พวกที่ออกมาต่อต้าน ไม่รู้อะไร คิดแค่ว่า เป็นการพนัน
ทำลายอนาคตลูกหลาน ต่อให้บ่อนผิดกฎหมาย ถ้าคนมันอยากเล่น มันก็ยังเล่นอยู่ดี
บลาๆๆ...
พอวิพากษ์เศรษฐกิจการเมืองจบ คุณหมอก็หันมาจวกเราต่อ
ว่า "คนไข้แบบคุณ พูดไปก็เท่านั้น เพราะทำแต่สิ่งที่ตัวเองอยากทำ ที่ผมเงียบเนี่ย
เพราะผมไม่อยากพูด ลิ้นคุณยังขยับ ผมบอกแล้วว่าให้อยู่นิ่งๆ แต่คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าลิ้นคุณขยับ
เพราะคุณเกร็ง"
เราคิดในใจว่า ลิ้นเราเนี่ยน่าจะเป็นปัญหา และอีกปัญหาคือ อยากรู้ว่าลิ้นต้องอยู่ตำแหน่งไหน
นี่แหละที่คุณหมอไม่บอก แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะถามได้
เราพยายามผ่อนความเกร็งโดยวางลิ้นลง
ก็โดนด่าอีกเหมือนเดิม ว่าเราทำลิ้นคับปาก มันแผ่เต็มปากไปหมด
เราเลยกระดกลิ้นขึ้น ค้างอยู่อย่างนั้น
ก็โดนด่าอีก ว่าเอาลิ้นไปตำแหน่งนั้น เดี๋ยวก็สำลักน้ำลายตัวเอง
ในหัวนี่ รอฟังแค่คำว่า จะให้เอาลิ้นไว้ตำแหน่งไหน ก็พร้อมจะทำตาม
แต่คุณหมอก็เอาแต่ดุแต่ว่า
กลืนน้ำลายก็ยังผิด คุณหมอบอกว่าเขาเพิ่งดูดน้ำลายไป
คุณไม่มีอะไรให้กลืน ในปากคุณมีแค่ลิ้นแห้งๆ
ใช่...เราไม่ได้กลืนน้ำลาย แต่ที่เรากลืนคือเสมหะจากโพรงจมูก
แล้วหมอก็เอาแต่ต่อว่าเราไม่เลิก
ถ้อยคำของคุณหมอจะเรียกว่าการเหยียดหยามแบบสุภาพชนก็ไม่ผิด
เขาพูดว่า คนไข้มี 2 ประเภท ประเภทแรกมานอนแล้วอยู่ไม่นิ่ง แต่พอหมอพูดเขาก็หยุด
แล้วอีกประเภทนึงก็แบบคุณ ที่ไม่รู้จักยอมรับความจริง เอาแต่ความคิดตัวเอง
นาทีนั้นนี่ น้ำตาไหลออกจากตาทั้ง 2 ข้าง แต่หมอไม่เห็นหรอก เพราะผ้าปิดหน้าอยู่
50 นาทีที่นอกจากมาจัดฟันแล้ว ก็มานอนฟังคุณหมอเหยียดหยามแบบสุภาพชน
หลังเสร็จพิธีกรรมของคุณหมอ
เราบ้วนปาก แล้วก็พูดกับคุณหมอว่า หนูไม่ได้จะต่อต้านคุณหมอนะคะ ถ้าทำให้คุณหมอทำงานไม่สะดวก
หนูขอโทษด้วยค่ะ (พร้อมกับยกมือไหว้) หนูไม่รู้จริงๆว่าจะต้องวางลิ้นไว้ที่ตำแหน่งไหน
ในใจนึกว่า คุณหมอจะเปลี่ยนท่าทีกับคนไข้บ้าง...
แต่ไม่เลย คุณหมอพูดกลับมาว่า ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ใช่...ก็เพราะคุณไม่รู้ไง
หลังออกจากคลินิค ก็คิดว่าวันนี้เจอดีอีกแล้ว เจอดีเฉยๆนะ...ไม่ได้เจอหมอดี
โทรกลับไปหาเจ้าหน้าที่คลินิค บอกว่าขอย้ายเคสนะคะ พรุ่งนี้จะเข้าไปเอาประวัติพร้อมกับฟิล์มเอ็กซเรย์
เจ้าหน้าที่ถามถึงเหตุผล
เราก็บอกไปแค่ว่า ...ไม่สะดวกใจที่จะรักษาต่อกับคุณหมอท่านนี้ค่ะ
เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ
ให้เกียรติคุณหมอแล้ว...คุณหมอก็ไม่ต้องให้เกลียดเรามากก็ได้