The Fifth Wave: มหันตภัยล้างโลก หรือจุดจบของมนุษยชาติ?



เรื่องย่อ:
The Fifth Wave (2016) คือภาพยนตร์ไซไฟ-แอ็กชัน ที่สร้างจากนิยายขายดีของ Rick Yancey เล่าเรื่องของโลกที่ถูกรุกรานโดยสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่เรียกว่า “The Others” ซึ่งไม่ได้บุกโลกแบบยิงแสงเลเซอร์ใส่ตึก แต่กลับโจมตีด้วย “คลื่น” แห่งความหายนะทีละระลอก
คลื่นแรก: คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า — ทำลายเทคโนโลยีทั่วโลก
คลื่นที่สอง: สึนามิยักษ์ — กวาดล้างเมืองใหญ่
คลื่นที่สาม: โรคร้าย — ไวรัสไข้หวัดนกกลายพันธุ์
คลื่นที่สี่: การแทรกซึม — พวกมันแฝงตัวอยู่ในร่างมนุษย์
และ คลื่นที่ห้า กำลังจะมา...
เรื่องราวติดตาม แคสซี่ ซัลลิแวน (Chloë Grace Moretz) เด็กสาวธรรมดาที่ชีวิตพังพินาศหลังการรุกรานครั้งแรก เธอต้องเอาตัวรอดในโลกที่ไม่เหลืออะไรอีก ทั้งพ่อแม่ เพื่อน หรือแม้แต่ความเชื่อใจในใครก็ตาม เมื่อพวกมันอาจ “ปลอมตัวเป็นคน” ได้
เธอออกเดินทางตามหาน้องชายที่ถูกพรากไป โดยได้พบกับ “อีวาน” ชายหนุ่มลึกลับที่อาจมีเบื้องหลังบางอย่าง และยังได้พบกับ “เบน พาริช” รุ่นพี่สุดฮอตจากโรงเรียน ที่กลายเป็นผู้นำกลุ่มเยาวชนทหารในการต่อต้านศัตรูที่มองไม่เห็น

รีวิวหลังดู:
The Fifth Wave เปิดเรื่องได้น่าสนใจมาก — ไอเดียของการโจมตีแบบเป็นระลอกจากต่างดาวดูแปลกใหม่และมีพลังพอจะดึงคนดูให้รู้สึกตื่นเต้น บวกกับการเล่าเรื่องผ่านสายตาของแคสซี่ เด็กสาวธรรมดาที่ต้องกลายเป็นนักรบในโลกที่โหดร้าย กลายเป็นพล็อต Coming-of-Age ที่น่าติดตาม
แต่หลังจากนั้น... หนังเริ่มเป๋
หลังพ้นช่วงแรกที่เต็มไปด้วยความลุ้นระทึก หนังกลับค่อยๆ กลายเป็นสูตรสำเร็จแบบ YA (Young Adult) ที่คุ้นเคย — มีนางเอกแกร่งๆ มีพระเอก 2 คนให้รักพอเป็นรักสามเส้า มีองค์กรลับ มีการฝึกทหาร มีแผนลับซ้อนแผน และจบแบบเตรียมภาคต่อ (ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง...)
แม้จะมี Chloë Grace Moretz มาช่วยแบกเรื่อง แต่บทพูดหลายจุดยังดูแข็งๆ และขาดมิติ ตัวร้ายและการเฉลยเรื่องใน “คลื่นที่ห้า” ก็ไม่ได้ชวนตกใจอย่างที่คาดหวัง

จุดเด่น:
ไอเดียเริ่มต้นเจ๋งมาก (การโจมตีโลกเป็นคลื่นแบบวิวัฒน์)
ฉากภัยพิบัติน่าตื่นตาในช่วงต้น
คาแรกเตอร์ของแคสซี่มีพลังและน่าร่วมเอาใจช่วย
จุดอ่อน:
พล็อตช่วงกลาง-ท้ายแบน ไม่มีจุดพีค
ขาดน้ำหนักทางอารมณ์และความน่ากลัวของ “The Others”
เหมือนดู Hunger Games ผสม Divergent แต่ไม่สุดสักทาง

คะแนน IMDb (อัปเดตเมษายน 2025): ⭐️ 5.2/10

สรุป:
The Fifth Wave เป็นหนังที่เริ่มต้นอย่างทะเยอทะยาน แต่ไปไม่ถึงฝัน แม้จะมีแนวคิดที่ดีและนักแสดงนำมีเสน่ห์ แต่การเล่าเรื่องกลับไม่สามารถทำให้คนดูรู้สึกผูกพันหรือรู้สึกลุ้นกับชะตากรรมของตัวละครได้เท่าที่ควร หากคุณชอบหนังแนวโลกพินาศแบบ The Maze Runner หรือ I Am Number Four อาจสนุกได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าหวังหนังไซไฟเข้มข้น — คุณอาจต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่