SMIC ผู้ผลิตชิปขั้นสูง เพียงหนึ่งเดียวของจีน ที่สหรัฐฯ เพ่งเล็งเป็นพิเศษ /โดย ลงทุนแมน
การต่อสู้กันอย่างดุเดือดของ สหรัฐฯ และจีน เพื่อแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจ ในเรื่อง “เทคโนโลยี”
ทำให้บริษัทจีนหลายแห่ง ถูกแบนจากสหรัฐฯ
ทั้งการห้ามใช้งานเทคโนโลยี หรือห้ามคู่ค้าทำธุรกิจกับบริษัทจากจีน ไล่มาตั้งแต่ Huawei, Tencent และ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok
และแน่นอน ธุรกิจต้นน้ำอย่างโรงงานผลิตชิป ที่เป็นกระดูกสันหลังของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ก็คือเป้าหมายสำคัญ ซึ่งบริษัทที่โดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ มีชื่อว่า “SMIC” ที่ได้ถูกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้ทำธุรกรรมกับบริษัทอเมริกันเช่นกัน
แม้จะถูกแบน แต่ดูเหมือนว่า SMIC จะยังพัฒนาและผลิตชิปต่อไปได้ แถมยังกลายเป็นความหวังของจีนในสงคราม AI ที่กำลังเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแม้แต่รัฐบาลจีน ก็ได้มีการเข้ามาให้เงินทุนกับ SMIC โดยตรง
ธุรกิจของ SMIC แข็งแกร่งแค่ไหน
และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมชิปของจีนขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปในปี 2019
บริษัทจีนรายแรกที่ถูกสหรัฐฯ ประกาศแบนไม่ให้บริษัทสัญชาติอเมริกันทำธุรกิจด้วย ก็คือ Huawei ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และผู้พัฒนาอินเทอร์เน็ต 5G รายใหญ่ของโลก
คำสั่งดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อ Huawei พอสมควร
เพราะการผลิตสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้มีประสิทธิภาพสูงทัดเทียมกับคู่แข่งรายอื่น จำเป็นจะต้องใช้ “ชิป” ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
เมื่อ Huawei ค้าขายกับบริษัทต่างประเทศได้ยากขึ้น จึงหันมาพึ่งผู้ผลิตชิปในจีนแทน และผู้เล่นรายใหญ่สุดของตลาดชิปในจีน คือ Semiconductor Manufacturing International Corporation หรือ “SMIC”
SMIC เป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติจีน ที่รับจ้างผลิตแผงวงจร หรือชิป ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2000 หรือ 25 ปีที่แล้ว โดยคุณริชาร์ด ฉาง (Richard Chang) ที่มีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทชิปของสหรัฐฯ ที่ชื่อ Texas Instruments มาก่อน
ซึ่งคุณฉาง ตั้งใจจะตั้ง SMIC มาแข่งกับ TSMC ผู้ผลิตชิปเบอร์หนึ่งของโลกจากไต้หวัน..
ปัจจุบัน SMIC เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปรายสำคัญในประเทศ ที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลจีน ผ่านทางตรงและทางอ้อมกว่า 30%
ตั้งแต่ก่อตั้ง SMIC บริษัทได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างมาก ตั้งแต่การจัดสรรที่ดิน การลดหย่อนภาษี และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน จึงสามารถสร้างและขยายโรงงานในจีนได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งปัจจุบัน SMIC มีมูลค่าบริษัทกว่า 2,041,000 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการล่าสุดของบริษัท
ปี 2022 รายได้ 248,638 ล้านบาท กำไร 62,179 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 216,104 ล้านบาท กำไร 30,852 ล้านบาท
ปี 2024 รายได้ 274,502 ล้านบาท กำไร 16,843 ล้านบาท
ในปี 2024 SMIC เติบโต และทำรายได้สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา แต่กำไรกลับลดลงอย่างมาก
สาเหตุสำคัญคือ บริษัทกำลังอยู่ในช่วง เพิ่มกำลังการผลิตครั้งใหญ่ โดยก่อสร้างโรงงานใหม่ในหลายเมือง เช่น เซี่ยงไฮ้, เทียนจิน, เซินเจิ้น และปักกิ่ง
และแม้รายได้จะเติบโต แต่ส่วนใหญ่ก็มาจากกลุ่มที่ใช้ชิปเทคโนโลยีต่ำและกลาง เช่น เทคโนโลยีระดับ 55nm-180nm ซึ่งกลุ่มนี้มีการแข่งขันสูง และอัตรากำไรที่ต่ำ
อย่างไรก็ตาม นอกจากเป็นซัปพลายเออร์ที่ผลิตชิปให้ Huawei ที่ถือเป็นลูกค้าหลักแล้ว
SMIC ยังมีส่วนสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนได้มีนโยบาย “Made in China 2025”
ซึ่งเป็นแผนที่จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตในอนาคต
ส่วนประกอบสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยประเภทต่าง ๆ ก็หนีไม่พ้น “ชิป”
โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายลดการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ และเพิ่มสัดส่วนการผลิตชิปของบริษัทท้องถิ่น เป็น 70% ของความต้องการของตลาดในประเทศ ภายในปี 2025 และหัวหอกที่จะทำให้ภารกิจนี้สำเร็จ ก็คือ SMIC
นี่คงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มเพ่งเล็ง SMIC เป็นพิเศษ และได้ประกาศขึ้นบัญชีดำ SMIC
ทำให้บริษัทอเมริกันและชาติพันธมิตร ที่ต้องการส่งออกชิ้นส่วนที่เป็นส่วนประกอบในการนำไปผลิตชิป ไปให้กับบริษัท SMIC จะต้องขอใบอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ เสียก่อน
โดยเฉพาะการแบนไม่ให้ ASML ส่งออกเครื่องฉายแสง EUV ที่เป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการผลิตชิปขั้นสูง
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็น่าจะทำให้ SMIC ผลิตชิปได้ยากลำบากขึ้น
และนอกจากนั้น มันอาจส่งผลให้การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของบริษัท รวมไปถึงประเทศจีน ชะลอความเร็วลงอีกด้วย
แต่สุดท้าย SMIC ก็ได้ดิ้นรนหาหนทาง จนนำเครื่องฉายแสงรุ่นเก่าที่มีอยู่ มาผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีระดับ 7 นาโนเมตร ใส่ในสมาร์ตโฟนของ Huawei รุ่น Mate 60 ได้..
และช่วยดันให้ยอดขายของ Huawei ในประเทศจีน กลับมาแซง iPhone ได้สำเร็จ..
การกลับมาผลิตชิปสมาร์ตโฟนเรือธงได้อีกครั้ง เป็นการบ่งบอกถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของจีน ว่าสามารถดันตัวเองกลับมาสู่สนามได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาชาติตะวันตก
ซึ่งไม่ใช่แค่ตลาดสมาร์ตโฟนเท่านั้น แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอื่น ๆ ทั่วโลก
เมื่อ SMIC พิสูจน์แล้วว่า มีความสำคัญต่อการเติบโตในอุตสาหกรรมชิปของจีน
รัฐบาลจีน ก็ได้มีการสนับสนุนเงินทุนให้กับ SMIC เป็นมูลค่ากว่า 66,000 ล้านบาท รวมทั้งมีมาตรการยกเว้นภาษี และมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ เพื่อหวังให้อุตสาหกรรมการผลิตชิปภายในประเทศ เติบโตแบบก้าวกระโดด จนเทียบเท่าบริษัทชั้นนำของโลกได้
ซึ่งปัจจุบัน SMIC ก็สามารถผลิตชิปได้ด้วยเทคโนโลยีระดับ 5 นาโนเมตรแล้ว แต่ก็ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของชิป และต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ที่อาจจะยังคงสูงกว่าชาติตะวันตกอยู่ ซึ่งก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า SMIC จะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่
อ่านถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นแล้วว่า
เทคโนโลยีในอนาคต ที่ประเทศจีนวาดภาพเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็น 6G, Internet of Things, ระบบอัตโนมัติ หรือ AI ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจผลิตชิป
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่บริษัท SMIC จะกลายเป็นหนึ่งในหัวหอกสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน รวมไปถึงแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีน
ที่ไม่ว่าจะเอกชน หรือรัฐบาลของจีน ต่างก็วิ่งเข้าหา และพร้อมจับมือกับ SMIC ผู้ผลิตชิปขั้นสูง เพียงหนึ่งเดียวของจีน..
https://www.facebook.com/share/p/1WrJLqBmez/?mibextid=wwXIfr
SMIC ผู้ผลิตชิปขั้นสูง เพียงหนึ่งเดียวของจีน ที่สหรัฐฯ เพ่งเล็งเป็นพิเศษ
การต่อสู้กันอย่างดุเดือดของ สหรัฐฯ และจีน เพื่อแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจ ในเรื่อง “เทคโนโลยี”
ทำให้บริษัทจีนหลายแห่ง ถูกแบนจากสหรัฐฯ
ทั้งการห้ามใช้งานเทคโนโลยี หรือห้ามคู่ค้าทำธุรกิจกับบริษัทจากจีน ไล่มาตั้งแต่ Huawei, Tencent และ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok
และแน่นอน ธุรกิจต้นน้ำอย่างโรงงานผลิตชิป ที่เป็นกระดูกสันหลังของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ก็คือเป้าหมายสำคัญ ซึ่งบริษัทที่โดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษ มีชื่อว่า “SMIC” ที่ได้ถูกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำ ไม่ให้ทำธุรกรรมกับบริษัทอเมริกันเช่นกัน
แม้จะถูกแบน แต่ดูเหมือนว่า SMIC จะยังพัฒนาและผลิตชิปต่อไปได้ แถมยังกลายเป็นความหวังของจีนในสงคราม AI ที่กำลังเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแม้แต่รัฐบาลจีน ก็ได้มีการเข้ามาให้เงินทุนกับ SMIC โดยตรง
ธุรกิจของ SMIC แข็งแกร่งแค่ไหน
และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมชิปของจีนขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปในปี 2019
บริษัทจีนรายแรกที่ถูกสหรัฐฯ ประกาศแบนไม่ให้บริษัทสัญชาติอเมริกันทำธุรกิจด้วย ก็คือ Huawei ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และผู้พัฒนาอินเทอร์เน็ต 5G รายใหญ่ของโลก
คำสั่งดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อ Huawei พอสมควร
เพราะการผลิตสมาร์ตโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้มีประสิทธิภาพสูงทัดเทียมกับคู่แข่งรายอื่น จำเป็นจะต้องใช้ “ชิป” ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
เมื่อ Huawei ค้าขายกับบริษัทต่างประเทศได้ยากขึ้น จึงหันมาพึ่งผู้ผลิตชิปในจีนแทน และผู้เล่นรายใหญ่สุดของตลาดชิปในจีน คือ Semiconductor Manufacturing International Corporation หรือ “SMIC”
SMIC เป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติจีน ที่รับจ้างผลิตแผงวงจร หรือชิป ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2000 หรือ 25 ปีที่แล้ว โดยคุณริชาร์ด ฉาง (Richard Chang) ที่มีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทชิปของสหรัฐฯ ที่ชื่อ Texas Instruments มาก่อน
ซึ่งคุณฉาง ตั้งใจจะตั้ง SMIC มาแข่งกับ TSMC ผู้ผลิตชิปเบอร์หนึ่งของโลกจากไต้หวัน..
ปัจจุบัน SMIC เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิปรายสำคัญในประเทศ ที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลจีน ผ่านทางตรงและทางอ้อมกว่า 30%
ตั้งแต่ก่อตั้ง SMIC บริษัทได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างมาก ตั้งแต่การจัดสรรที่ดิน การลดหย่อนภาษี และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน จึงสามารถสร้างและขยายโรงงานในจีนได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งปัจจุบัน SMIC มีมูลค่าบริษัทกว่า 2,041,000 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการล่าสุดของบริษัท
ปี 2022 รายได้ 248,638 ล้านบาท กำไร 62,179 ล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 216,104 ล้านบาท กำไร 30,852 ล้านบาท
ปี 2024 รายได้ 274,502 ล้านบาท กำไร 16,843 ล้านบาท
ในปี 2024 SMIC เติบโต และทำรายได้สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา แต่กำไรกลับลดลงอย่างมาก
สาเหตุสำคัญคือ บริษัทกำลังอยู่ในช่วง เพิ่มกำลังการผลิตครั้งใหญ่ โดยก่อสร้างโรงงานใหม่ในหลายเมือง เช่น เซี่ยงไฮ้, เทียนจิน, เซินเจิ้น และปักกิ่ง
และแม้รายได้จะเติบโต แต่ส่วนใหญ่ก็มาจากกลุ่มที่ใช้ชิปเทคโนโลยีต่ำและกลาง เช่น เทคโนโลยีระดับ 55nm-180nm ซึ่งกลุ่มนี้มีการแข่งขันสูง และอัตรากำไรที่ต่ำ
อย่างไรก็ตาม นอกจากเป็นซัปพลายเออร์ที่ผลิตชิปให้ Huawei ที่ถือเป็นลูกค้าหลักแล้ว
SMIC ยังมีส่วนสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีนเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนได้มีนโยบาย “Made in China 2025”
ซึ่งเป็นแผนที่จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตในอนาคต
ส่วนประกอบสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัยประเภทต่าง ๆ ก็หนีไม่พ้น “ชิป”
โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายลดการนำเข้าชิปจากต่างประเทศ และเพิ่มสัดส่วนการผลิตชิปของบริษัทท้องถิ่น เป็น 70% ของความต้องการของตลาดในประเทศ ภายในปี 2025 และหัวหอกที่จะทำให้ภารกิจนี้สำเร็จ ก็คือ SMIC
นี่คงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มเพ่งเล็ง SMIC เป็นพิเศษ และได้ประกาศขึ้นบัญชีดำ SMIC
ทำให้บริษัทอเมริกันและชาติพันธมิตร ที่ต้องการส่งออกชิ้นส่วนที่เป็นส่วนประกอบในการนำไปผลิตชิป ไปให้กับบริษัท SMIC จะต้องขอใบอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ เสียก่อน
โดยเฉพาะการแบนไม่ให้ ASML ส่งออกเครื่องฉายแสง EUV ที่เป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการผลิตชิปขั้นสูง
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็น่าจะทำให้ SMIC ผลิตชิปได้ยากลำบากขึ้น
และนอกจากนั้น มันอาจส่งผลให้การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของบริษัท รวมไปถึงประเทศจีน ชะลอความเร็วลงอีกด้วย
แต่สุดท้าย SMIC ก็ได้ดิ้นรนหาหนทาง จนนำเครื่องฉายแสงรุ่นเก่าที่มีอยู่ มาผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีระดับ 7 นาโนเมตร ใส่ในสมาร์ตโฟนของ Huawei รุ่น Mate 60 ได้..
และช่วยดันให้ยอดขายของ Huawei ในประเทศจีน กลับมาแซง iPhone ได้สำเร็จ..
การกลับมาผลิตชิปสมาร์ตโฟนเรือธงได้อีกครั้ง เป็นการบ่งบอกถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของจีน ว่าสามารถดันตัวเองกลับมาสู่สนามได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาชาติตะวันตก
ซึ่งไม่ใช่แค่ตลาดสมาร์ตโฟนเท่านั้น แต่ยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอื่น ๆ ทั่วโลก
เมื่อ SMIC พิสูจน์แล้วว่า มีความสำคัญต่อการเติบโตในอุตสาหกรรมชิปของจีน
รัฐบาลจีน ก็ได้มีการสนับสนุนเงินทุนให้กับ SMIC เป็นมูลค่ากว่า 66,000 ล้านบาท รวมทั้งมีมาตรการยกเว้นภาษี และมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ เพื่อหวังให้อุตสาหกรรมการผลิตชิปภายในประเทศ เติบโตแบบก้าวกระโดด จนเทียบเท่าบริษัทชั้นนำของโลกได้
ซึ่งปัจจุบัน SMIC ก็สามารถผลิตชิปได้ด้วยเทคโนโลยีระดับ 5 นาโนเมตรแล้ว แต่ก็ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของชิป และต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ที่อาจจะยังคงสูงกว่าชาติตะวันตกอยู่ ซึ่งก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า SMIC จะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่
อ่านถึงตรงนี้ เราคงพอเห็นแล้วว่า
เทคโนโลยีในอนาคต ที่ประเทศจีนวาดภาพเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็น 6G, Internet of Things, ระบบอัตโนมัติ หรือ AI ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจผลิตชิป
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่บริษัท SMIC จะกลายเป็นหนึ่งในหัวหอกสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน รวมไปถึงแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีน
ที่ไม่ว่าจะเอกชน หรือรัฐบาลของจีน ต่างก็วิ่งเข้าหา และพร้อมจับมือกับ SMIC ผู้ผลิตชิปขั้นสูง เพียงหนึ่งเดียวของจีน..
https://www.facebook.com/share/p/1WrJLqBmez/?mibextid=wwXIfr