เราสองคนรู้จักกันผ่านการแนะนำของเพื่อน
แฟนเราเรียนจบ กศน.(ม.3) ว่างาน ส่วนเราจบปริญญาตรีเงินเดือน 3-4 หมื่น ช่วงคุยกันก็รู้สึกดี พอได้เจอกันเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราพยายามหนีแต่เขาก็ตาม แต่ในที่สุดเราก็แพ้ความพยายามของเขา เขายอมเลิกบุหรี่เพื่อเรา ติดเราแจเหมือนรักเรามาก คบกันได้ 5 ปีเราก็แต่งงานกัน (ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้) หลังแต่งงานเราก็ช่วยกันทำงานหาเงิน เราก็ลงทุนกู้แบงค์เพื่อให้เขาได้เปิดร้านเป็นของตัวเองซึ่งเป็นงานที่เขารักและถนัดที่สุด ทำได้สักพักก็ไปไม่รอด สรุปเราก็ติดหนี้ร่วมกัน ยุติการทำร้านหันมาเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน เงินเดือนให้เราหมด ต่อมา 3 ปีเราก็ท้องลูกคนที่ 1 หลังคลอดเขาก็มองว่าแค่เงินเดือนน่าจะไม่พอใช้ เลยขับวินหารายได้เพิ่มหลังเลิกงาน และรู้สึกว่ามันได้เงินดี เลยขอลาออกจากงานมาขับวินเป็นงานประจำ ต่อมาเราก็ท้องลูกคนที่ 2 แฟนอยากจะเปิดร้านอีกรอบ เราก็ตัดสินใจ ลองอีกครั้งก็ได้ ก็กู้เงินมาอีกเหมือนเดิม(อันเดิมใช้หมดแล้ว) ช่วงแรกก็ทำท่าจะไปไม่รอด ถึงขั้นมาชวนเราหนีไปอยู่ที่อื่นเพราะอายถ้าจะต้องปิดร้านเป็นครั้งที่ 2 เราก็บอกว่าเราไม่ไปเพราะเรามีงานที่มั่นคงอยู่แล้ว ขอให้ลองทำไปเรื่อยๆก่อน จนในที่สุดร้านก็มีลูกค้ามีรายได้เรื่อยๆจนสามารถอยู่ต่อได้
จุดเริ่มต้นของรักร้าว
เราคลอดลูกคนที่ 2 และกลับไปพักผ่อนที่บ้านต่างจังหวัด 3 เดือน ลูกคนที่ 2 ให้ยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัดส่วนลูกคนแรกเอากลับมา กทม. ด้วยเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่มีคนเลี้ยงให้ แฟนจึงพาเพื่อนคนนึงมาดูแลให้ในวันเสาร์อาทิตย์ (วันธรรมดาน้องไปโรงเรียน) ช่วงปี 2565 ที่บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงการทำงาน เริ่มกดดันพนักงานให้ทำงานยากขึ้น เราจึงตัดสินใจลาออก และขอกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด 2 ปี เพื่อไปรับลูกคนเล็กมาอยู่ด้วยกันที่ กทม. ไปอยู่บ้านได้ประมาณ 2 เดือน ถึงได้รู้ว่า ผู้หญิงคนที่เขาพามาเลี้ยงลูกให้ คือผู้หญิงของเขาอีกคน ซึ่งตอนนั้นเขาโกหกเราว่าเป็นแฟนเก่าเพื่อนเขา พอรู้ความจริงเราเสียใจมากและเขาเองก็มีท่าทีว่าเสียใจ บอกว่าจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้น เราก็คิดหนักอยู่เหมือนกันนะแต่สุดท้ายเราก็ให้อภัย ด้วยความรัก และเขาเป็นพ่อของลูกเรา เราไม่อยากเลิกกันกับใครทั้งนั้น เพราะคนที่ได้รับผลกระทบจริงๆคือลูก ชีวิตก็ยังเดินต่อด้วยความเชื่อใจจนครบ 2 ปีที่จะต้องย้ายกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ก่อนมาก็พร้อมไหม เขาก็โอเค พอย้ายกลับเข้ามากรุงเทพฯไม่ถึง 2 อาทิตย์ เราก็มีปัญหากันอีก เรื่องเดิมไปกับผู้หญิงคนใหม่ เรากลับมาอยู่ด้วยกันก็จริงแต่อยู่คนละห้อง วันนั้นเรามาเข้าห้องน้ำเอะใจว่าจะตี 2 แล้วทำไมเขายังไม่กลับบ้าน ก็เลยโทรตาม 20 กว่าสายที่เขาได้ มันทำให้เรามั่นใจได้เลยว่ามันต้องมีเรื่องผู้หญิง จนเขารับสายและบอกเราว่าเพื่อนเลี้ยงเหล้าอยู่ เราเลยขอสายเพื่อนหน่อย แต่เขาก็วางสายไป มันทำให้เรามั่นใจ 100% เราเลยออกมายืนรอที่หน้าร้าน และก็เห็นเขาขับรถมามีผู้หญิงซ้อนท้าย เสียงรถจอด และเสียงประตูบ้านข้างๆดังขึ้น ชัดเจนผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างๆเรานี่เอง(เด็กร้านนวด) เพราะเขาเดินมาถึงหน้าร้านและเห็นหน้าเรา ก็ไม่มีการปฏิเสธเพราะมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่กลับทำหน้าบึ้งตึงใส่เราด่าเราว่าเราให้ลูกรู้เรื่องนี้ทำไม ขึ้นกูกับเราทั้งที่อยู่ด้วยกันมาเราไม่เคยพูดคำนี้กับเขาเลย
..มันเจ็บมาก แต่ครั้งนี้เราไม่มีน้ำตา แสดงว่าเราเตรียมใจมาพร้อมแล้ว นอนไม่หลับทั้งคืนเลยนะคิดว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต จะไปต่อหรือพอแค่นี้ แต่หลักๆเลยคือเราอยากให้ครอบครัวมีพร้อม พ่อ แม่ ลูก เจ็บกว่านั้นคือ ตื่นเช้ามาประโยคแรกที่เขาพูดกับเราคือ "อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นนะ มันเป็นอาชีพของเขา มันเป็นเรื่องปกติ" อึ้งค่ะบอกเลย!! ได้แต่ตอบกลับไปว่า "ฉันรู้ว่าขี้ ฉันไม่ไปใกล้อยู่แล้ว สกปรก" ถึงตอนนี้ก็ยังอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่ต่างคนต่างอยู่ ก็ยังนั่งคิดทบทวนอยู่ว่าจะเอายังไงต่อดี
...เพื่อนๆแสดงความคิดเห็นได้นะคะ..
จะไปต่อหรือพอแค่นี้ อยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์
แฟนเราเรียนจบ กศน.(ม.3) ว่างาน ส่วนเราจบปริญญาตรีเงินเดือน 3-4 หมื่น ช่วงคุยกันก็รู้สึกดี พอได้เจอกันเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราพยายามหนีแต่เขาก็ตาม แต่ในที่สุดเราก็แพ้ความพยายามของเขา เขายอมเลิกบุหรี่เพื่อเรา ติดเราแจเหมือนรักเรามาก คบกันได้ 5 ปีเราก็แต่งงานกัน (ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้) หลังแต่งงานเราก็ช่วยกันทำงานหาเงิน เราก็ลงทุนกู้แบงค์เพื่อให้เขาได้เปิดร้านเป็นของตัวเองซึ่งเป็นงานที่เขารักและถนัดที่สุด ทำได้สักพักก็ไปไม่รอด สรุปเราก็ติดหนี้ร่วมกัน ยุติการทำร้านหันมาเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน เงินเดือนให้เราหมด ต่อมา 3 ปีเราก็ท้องลูกคนที่ 1 หลังคลอดเขาก็มองว่าแค่เงินเดือนน่าจะไม่พอใช้ เลยขับวินหารายได้เพิ่มหลังเลิกงาน และรู้สึกว่ามันได้เงินดี เลยขอลาออกจากงานมาขับวินเป็นงานประจำ ต่อมาเราก็ท้องลูกคนที่ 2 แฟนอยากจะเปิดร้านอีกรอบ เราก็ตัดสินใจ ลองอีกครั้งก็ได้ ก็กู้เงินมาอีกเหมือนเดิม(อันเดิมใช้หมดแล้ว) ช่วงแรกก็ทำท่าจะไปไม่รอด ถึงขั้นมาชวนเราหนีไปอยู่ที่อื่นเพราะอายถ้าจะต้องปิดร้านเป็นครั้งที่ 2 เราก็บอกว่าเราไม่ไปเพราะเรามีงานที่มั่นคงอยู่แล้ว ขอให้ลองทำไปเรื่อยๆก่อน จนในที่สุดร้านก็มีลูกค้ามีรายได้เรื่อยๆจนสามารถอยู่ต่อได้
จุดเริ่มต้นของรักร้าว
เราคลอดลูกคนที่ 2 และกลับไปพักผ่อนที่บ้านต่างจังหวัด 3 เดือน ลูกคนที่ 2 ให้ยายเลี้ยงที่ต่างจังหวัดส่วนลูกคนแรกเอากลับมา กทม. ด้วยเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่มีคนเลี้ยงให้ แฟนจึงพาเพื่อนคนนึงมาดูแลให้ในวันเสาร์อาทิตย์ (วันธรรมดาน้องไปโรงเรียน) ช่วงปี 2565 ที่บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงการทำงาน เริ่มกดดันพนักงานให้ทำงานยากขึ้น เราจึงตัดสินใจลาออก และขอกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด 2 ปี เพื่อไปรับลูกคนเล็กมาอยู่ด้วยกันที่ กทม. ไปอยู่บ้านได้ประมาณ 2 เดือน ถึงได้รู้ว่า ผู้หญิงคนที่เขาพามาเลี้ยงลูกให้ คือผู้หญิงของเขาอีกคน ซึ่งตอนนั้นเขาโกหกเราว่าเป็นแฟนเก่าเพื่อนเขา พอรู้ความจริงเราเสียใจมากและเขาเองก็มีท่าทีว่าเสียใจ บอกว่าจะเลิกกับผู้หญิงคนนั้น เราก็คิดหนักอยู่เหมือนกันนะแต่สุดท้ายเราก็ให้อภัย ด้วยความรัก และเขาเป็นพ่อของลูกเรา เราไม่อยากเลิกกันกับใครทั้งนั้น เพราะคนที่ได้รับผลกระทบจริงๆคือลูก ชีวิตก็ยังเดินต่อด้วยความเชื่อใจจนครบ 2 ปีที่จะต้องย้ายกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ก่อนมาก็พร้อมไหม เขาก็โอเค พอย้ายกลับเข้ามากรุงเทพฯไม่ถึง 2 อาทิตย์ เราก็มีปัญหากันอีก เรื่องเดิมไปกับผู้หญิงคนใหม่ เรากลับมาอยู่ด้วยกันก็จริงแต่อยู่คนละห้อง วันนั้นเรามาเข้าห้องน้ำเอะใจว่าจะตี 2 แล้วทำไมเขายังไม่กลับบ้าน ก็เลยโทรตาม 20 กว่าสายที่เขาได้ มันทำให้เรามั่นใจได้เลยว่ามันต้องมีเรื่องผู้หญิง จนเขารับสายและบอกเราว่าเพื่อนเลี้ยงเหล้าอยู่ เราเลยขอสายเพื่อนหน่อย แต่เขาก็วางสายไป มันทำให้เรามั่นใจ 100% เราเลยออกมายืนรอที่หน้าร้าน และก็เห็นเขาขับรถมามีผู้หญิงซ้อนท้าย เสียงรถจอด และเสียงประตูบ้านข้างๆดังขึ้น ชัดเจนผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างๆเรานี่เอง(เด็กร้านนวด) เพราะเขาเดินมาถึงหน้าร้านและเห็นหน้าเรา ก็ไม่มีการปฏิเสธเพราะมันชัดเจนอยู่แล้ว แต่กลับทำหน้าบึ้งตึงใส่เราด่าเราว่าเราให้ลูกรู้เรื่องนี้ทำไม ขึ้นกูกับเราทั้งที่อยู่ด้วยกันมาเราไม่เคยพูดคำนี้กับเขาเลย
..มันเจ็บมาก แต่ครั้งนี้เราไม่มีน้ำตา แสดงว่าเราเตรียมใจมาพร้อมแล้ว นอนไม่หลับทั้งคืนเลยนะคิดว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิต จะไปต่อหรือพอแค่นี้ แต่หลักๆเลยคือเราอยากให้ครอบครัวมีพร้อม พ่อ แม่ ลูก เจ็บกว่านั้นคือ ตื่นเช้ามาประโยคแรกที่เขาพูดกับเราคือ "อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นนะ มันเป็นอาชีพของเขา มันเป็นเรื่องปกติ" อึ้งค่ะบอกเลย!! ได้แต่ตอบกลับไปว่า "ฉันรู้ว่าขี้ ฉันไม่ไปใกล้อยู่แล้ว สกปรก" ถึงตอนนี้ก็ยังอยู่บ้านหลังเดียวกันแต่ต่างคนต่างอยู่ ก็ยังนั่งคิดทบทวนอยู่ว่าจะเอายังไงต่อดี
...เพื่อนๆแสดงความคิดเห็นได้นะคะ..