Hi Everyone!!! สวัสดีค่ะทุกคน
😅😅😅😅 เรามีประสบการณ์มาแชร์นะ อยากระบายความอัดอั้น แต่ไม่รู้จะระบายอย่างไรดี
ก็เลยถือโอกาสมาแชร์ให้ทุ๊กคนนนได้อ่านกันเพลินๆ เพื่อจะได้แนวทางไปปรับใช้
เมื่อหลายปีก่อน เราเป็นหนี้บัตรเครดิต รวมๆแล้ว ทุกบัตรเลย ประมาณ 300000 บาท ครั้งแรกเลย พี่สาวมาช่วยเราเคลียร์หนี้ก้อนนั้นด้วยการที่พี่สาวกู้เงินสหกรณ์มาช่วยเคลียร์ให้ จัดการให้เป็นหนี้ก้อนเดียว โดยที่เราต้องจ่ายคืนให้พี่สาว เดือนละ 5000 บาท เราก็จ่ายคืนให้พี่สาวทุกเดือน ณ ตอนนั้น เราก็ไม่เข็ดนะ กลับไปเป็นหนี้บัตรเครดิต + หนี้อื่นๆ อีก ประมาณ 250000 บ. คราวนี้ต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง บอกพี่สาวก็ไม่ได้แล้ว เพราะพี่สาวเค้าช่วยจนไม่รู้ว่าจะช่วยยังไงแล้ว ย้อนกลับมาคิดอีก เรานี้มันแย่จริงๆ เป็นภาระให้ครอบครัว ตอนนั้นเสียใจ คิดมาก คิดแต่โทษว่าตัวเองทำอะไรก็ไม่ดี คิดมากจนไม่อยากจะอยู่ต่อแล้ว ทุกคนคงคิดว่าทำไมหนี้บัตรเครดิต ถึงได้เยอะขนาดนั้น คือจริงๆแล้ว เราพยายามจ่ายบัตรเครดิตตลอดนะ พยายามจะไม่ผิดนัด แต่ด้วยความที่มีหลายบัตร มันก็เลยกลายเป็นว่าเราจะต้องจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำไปทุกเดือน จึงไม่สามารถปิดบัตรอันไหนได้เลย วันหนึ่งเราได้เข้าไปอบรมหลักสูตรของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อบรมฟรี เป็น e- learning มีหลักสูตรเรื่องการจัดการหนี้ (จำชื่อหลักสูตรไม่ได้ ไปหาเอาเองนะ ) เราเรียนไม่จบหรอก เทซะก่อน ที่จำได้เลย คือเราต้องไม่เอาเงินบัตรเครดิต หรือกู้เงินมาหมุนหนี้ นึกออกไหม เรากดเงินจากบัตรกดเงินสดเอามาจ่ายหนี้บัตรเครดิต เพราะเงินเดือนของเราไม่พอจ่าย เราว่าก็คงจะมีหลายคนที่ทำแบบเรา บอกเลยว่าอย่าหาทำ.... นั่นไม่ใช้วิธีการจัดการหนี้ที่ถูกต้อง
ต่อมาเราสอบเป็นพนักงานราชการได้ ที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ถือว่ายังมีความโชคดีอยู่ แต่ขอบอกก่อนนะว่าหนี้บัตรเครดิต+อื่นๆ พวกนั้น มันเกิดขึ้นก่อนที่เราจะเป็นพนักงานราชการ ปกติพนักงานราชการจะมีสัญญาจ้าง 4 ปี แต่ของเราได้ 2 ปีก่อน เพราะจะต้องให้พอดี กับการต่อสัญญาจ้างของพนักงานราชการทั่วประเทศ หลังจากทำงานได้ครบ 1 ปี เราก็สมัครสมาชิกสหกรณ์ มีเป้าหมายว่าจะได้มีเงินเก็บเอาไว้ใช้ตอนเกษียณ เพราะสหกรณ์จะหักเงินจากบัญชีเงินเดือนทันที และในตอนนนั้นยังไม่คิดจะกู้สหกรณ์ ถึงจะต้องการกู้สหกรณ์ก็ต้องเป็นสมาชิกให้ครบ 1 ปีก่อน ถึงจะสามารถกู้ได้
ก่อนจะต่อสัญญาจ้างพนักงานราชการ เราก็ปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมงาน เรื่องภาระหนี้สิน (เรื่องนี้จะคุยกับคนในครอบครัวไม่ได้ 😖😖) เพื่อนก็เลยแนะนำว่า เราต้องจัดการรวบหนี้ให้มันเป็นก้อนเดียว จะทำให้สามารถจัดการได้ง่ายขึ้น เราเลยตัดสินใจกู้สหกรณ์เพื่อเอาเงินก้อนมาปิดหนี้บัตรเครดิตและหนี้อื่นๆ และถ้าจะกู้สหกรณ์ก็จะต้องมีคนค้ำ ซึ่งคนค้ำเค้าก็จะต้องสลับกันค้ำอ่ะ ไม่มีใครเค้าจะมาค้ำให้เราฟรีๆหรอกจริงไหม (คนที่ค้ำให้เรา ก็เป็นพนักงานราชการเหมือนกัน แต่อายุงานมากกว่าเรา วงเงินที่เค้ากู้ก็เท่าๆกัน กับเรา)
เราเป็นพนักงานราชการจะกู้ได้ไม่เยอะหรอก เพราะเงินเดือนก็ไม่ได้เยอะมาก เพราะจะต้องใช้เงินคืน ภายใน 46-48 งวด ตามสัญญาจ้างพนักงานราชการ ถ้ากู้เยอะ เงินที่หักแต่ละเดือนก็เยอะตามไปด้วย เงินไม่พอใช้ก็จะต้องกลับเข้าสู่วงเวียนหนี้อีก อย่างน้อยเรายังได้เห็นว่า วงจรหนี้ของเราจะจบภายใน 4 ปี แต่ถ้าเราเป็นหนี้กระจายอยู่หลายที่ เราคงจะใช้หนี้ไม่หมดสักที
เราไม่แน่ใจว่าสหกรณ์แต่ละที่ดำเนินการเหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไร แต่น่าจะคล้ายกันนะ ผู้กู้จะได้เงินเฉลี่ยคืนในแต่ละปี ซึ่งจะคำนวณจากดอกเบี้ยที่จ่ายให้สหกรณ์ เราอาจจะเขียนงงๆ นิดนึง แต่สหายที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ น่าจะเข้าใจแหล่ะ
หลายคนอาจจะมีปัญหาจากการเป็นหนี้สหกรณ์ เนื่องจากคนกู้หนีหนี้ ไม่ใช่คืนสกรณ์ เลยทำให้สหกรณ์ต้องไปตามกับคนค้ำ สหกรณ์เลยดูน่ากลัวไปเลย จริงๆแล้วการค้ำประกันต่างหากที่น่ากลัว ซึ่งจะค้ำประกันให้ใครเราก็ต้องเลือกนิดนึงอ่ะ คิดดูให้ดี ให้ถี่ถ้วน เราจึงอยากจะบอกว่า สหกรณ์เป็นแหล่งเงินกู้ที่ดีนะ แต่ก็ควรจะต้องเตือนสติตัวเองเสมอๆ ว่า การไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐ ทุกวันนี้หลังจากที่เรากู้เงินมาปิดหนี้บัตรเครดิต เราปิดบัตรเครดิตไปแล้ว แต่ยังคงมีบัตรเครดิตเอาไว้ เพราะบริการบางอย่างจะต้องชำระด้วยบัตรเครดิต เวลามีจดหมายทวงมา เราจะชำระเต็มจำนวนทุกครั้ง และอะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปซื้อ ไปอยากได้ ตรงนี้ก็ช่วยได้เยอะ แถมยังสามารถนำเงินมาออมได้อีก
เราเข้าใจล่ะว่าทำไมข้าราชการถึงเป็นหนี้สหกรณ์กันเยอะนัก เพราะเค้าสามารถกู้ได้เรื่อยๆ คือสามารถกู้ได้หลังจากที่ชำระหนี้สหกรณ์ไปแล้ว 6 งวด ก็สามารถทำสัญญากู้ใหม่ได้เลย ไม่รู้ว่าสหกรณ์อื่นๆ จะเหมือนกันหรือเปล่า แต่ก็น่าจะคล้ายกันแหล่ะ ทำ ให้บางคนเกษียณแล้ว ยังไม่สามารถชำระหนี้สหกรณ์ได้หมด เรียกว่าเงินบำนาญแทบไม่เหลือ หลายคนก็เลยไม่ได้ชำระคืน เพราะไม่ได้เซ็นเอกสารอนุญาตให้สหกรณ์หักเงินบำนาญ ทำให้สหกรณ์ไม่สามารถหักเงินจากผู้กู้ได้ ก็เลยต้องไปหักเงินจากคนค้ำแทน เราเห็นตัวอย่างจากเพื่อนที่ทำงานแล้วเราก็กลัวเลยล่ะ (ทุกวันนี้ เพื่อนร่วมงานของเราไม่สามารถกู้สหกรณ์ได้ เลยไปกู้ธนาคาร เป็นหนี้บัตรเครดิต)
เราถือว่าเมื่อเป็นหนี้ก็ต้องใช้คืนนะ มันคือความรับผิดชอบของเรา เราต้องรับผิดชอบหนี้ และรับผิดชอบคนค้ำให้เราด้วย จะไปทำบาปทำกรรมกับเค้าไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้เราพยายามรักษาเนื้อรักษาตัวอยู่รอดไปจนครบสัญญา เตือนสติตัวเองเสมอ เพื่อนร่วมงานก็คือเพื่อนร่วมงาน กระทบกระทั่งกันบ้าง อย่าไปถือเ ป็นอารมณ์ให้ขุ่นเคืองใจตัวเองเลย ท่องไว้ๆ “งานคือเงิน เงินคืองาน” “อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอกลับบ้าน” แล้วอดทนต่อไป 555555 (ทุกวันนี้ก็ท่อง 4 ปี 4 ปีเท่านั้น) และจงเข็ดกับการเป็นหนี้!!!!!!😆😆😆😆 หลังจากใช้หนี้สหกรณ์แล้วเป้าหมายต่อไปคือการออมเงิน ตอนนี้ก็ออมเงินอยู่นะ อาจจไม่เยอะมาก แต่ก็ออมแหล่ะ เอาไว้ว่างๆ จะมาแชร์ค่ะ
อยากแชร์การจัดการหนี้บัตรเครดิต