ตัวอย่าง
“กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่”
เป็นคำพังเพยที่มีที่มาจากวัฒนธรรมการเลี้ยงดูและมารยาทของชนชั้นในสมัยก่อน โดยเปรียบ "คาว" กับของคาว (อาหารจานหลัก) และ "หวาน" กับของหวาน (ของตบท้าย) ซึ่งสื่อถึงมารยาทในการร่วมวงอาหารให้ครบถ้วนตามประเพณี หรือการตอบแทนบุญคุณให้ครบถ้วน ไม่ขาดตอน
แต่ในชีวิตจริงสมัยนี้...มันก็ใช้ไม่ได้เสมอไป เช่น:
บางคนแพ้ของหวาน กินคาวแต่ไม่กินหวานก็ไม่ผิด
ในบางสถานการณ์ เช่น การร่วมงาน การช่วยเหลือ หรือการมีน้ำใจ "การไม่ตอบแทน" ไม่ได้แปลว่าเป็น "สันดานไพร่" เพราะบริบทมันต่างกันเยอะ
คำว่า "สันดานไพร่" ก็เป็นคำที่มีน้ำเสียงดูถูกทางชนชั้นอย่างชัดเจน ซึ่งไม่เหมาะกับยุคปัจจุบันที่เน้นความเท่าเทียม
สรุป: คำพังเพยนี้มีความรุนแรงและอคติเรื่องชนชั้นอยู่พอสมควร ใช้กับยุคปัจจุบันไม่ค่อยได้ และอาจต้องมองใหม่ว่า การตอบแทนหรือแสดงน้ำใจควรทำด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพื่อรักษาภาพลักษณ์หรือหลีกเลี่ยงคำดูถูก
คุณคิดว่าสำนวน สุภาษิต คำพังเพยไหนใช้ไม่ได้กับชีวิตจริงหรือยุคปัจจุบัน
“กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่”
เป็นคำพังเพยที่มีที่มาจากวัฒนธรรมการเลี้ยงดูและมารยาทของชนชั้นในสมัยก่อน โดยเปรียบ "คาว" กับของคาว (อาหารจานหลัก) และ "หวาน" กับของหวาน (ของตบท้าย) ซึ่งสื่อถึงมารยาทในการร่วมวงอาหารให้ครบถ้วนตามประเพณี หรือการตอบแทนบุญคุณให้ครบถ้วน ไม่ขาดตอน
แต่ในชีวิตจริงสมัยนี้...มันก็ใช้ไม่ได้เสมอไป เช่น:
บางคนแพ้ของหวาน กินคาวแต่ไม่กินหวานก็ไม่ผิด
ในบางสถานการณ์ เช่น การร่วมงาน การช่วยเหลือ หรือการมีน้ำใจ "การไม่ตอบแทน" ไม่ได้แปลว่าเป็น "สันดานไพร่" เพราะบริบทมันต่างกันเยอะ
คำว่า "สันดานไพร่" ก็เป็นคำที่มีน้ำเสียงดูถูกทางชนชั้นอย่างชัดเจน ซึ่งไม่เหมาะกับยุคปัจจุบันที่เน้นความเท่าเทียม
สรุป: คำพังเพยนี้มีความรุนแรงและอคติเรื่องชนชั้นอยู่พอสมควร ใช้กับยุคปัจจุบันไม่ค่อยได้ และอาจต้องมองใหม่ว่า การตอบแทนหรือแสดงน้ำใจควรทำด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพื่อรักษาภาพลักษณ์หรือหลีกเลี่ยงคำดูถูก