ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย รัฐธรรมนูญปี 2540 มักถูกจดจำว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” ที่เกิดจากแรงผลักของการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 และกระแสความต้องการปฏิรูปการเมืองจากภาคประชาชน แต่เมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างและการบริหารอย่างลึกซึ้ง กลับพบว่าต้นตอของความสำเร็จในกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ได้อยู่ที่การนองเลือดหรือการประท้วงบนท้องถนน แต่เกิดจาก พลังของการบริหารจัดการเชิงนโยบาย ที่แม่นยำ เป็นระบบ และกล้าตัดสินใจ — ซึ่งมีสุขวิช รังสิตพล เป็นหัวใจสำคัญในฐานะรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคม
สุขวิชเป็น นักปฏิรูปในฐานะ "CEO ของการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างรัฐไทย" ไม่ใช่นักเคลื่อนไหวแบบมวลชน และไม่ใช่นักการเมือง ผู้มุ่งหวังคะแนนเสียง แต่เป็นผู้วางรากฐานเชิงโครงสร้าง ตั้งแต่การกระจายอำนาจ การจัดระเบียบคุณภาพของโรงเรียน แนวทางการพัฒนาประเทศด้วยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเพัฒนาแล้วใน 25 ปี หลังจากเขาอภิวัฒน์การศึกษา2538/1995 -2563/2020 ผ่านการออกแบบระบบการศึกษาที่สัมพันธ์กับการสร้าง "พลเมืองประชาธิปไตย"
แต่ในทางประวัติศาสตร์การเมือง กลับมีแนวโน้มที่จะ “โรแมนติไซส์” การชุมนุมในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ปี 2516, 6 ตุลาฯ ปี 2519 ปี2535 และ ปี 2553 ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ขณะที่ การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่มีผลจริงในเชิงโครงสร้างกลับถูกมองข้าม หรือไม่ได้รับเครดิตสมกับความจริงทางประวัติศาสตร์
การไม่ให้เครดิตสุขวิช จึงไม่ใช่แค่การลืมบุคคล แต่คือการปฏิเสธ “ธรรมาภิบาล” และ “พลังของความรู้” ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะหากรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นผลของการจัดการบริหารที่นำโดยสุขวิช และไม่ใช่ผลของการชุมนุมกลางถนน ดังนั้นหลังปี 2516, 2519 หรือ 2553 — ในเชิงโครงสร้าง จึงไม่มีสิ่งใดตามมาและเปลี่ยนระบบได้อย่างแท้จริง
และหากนักวิชาการและผู้เรียกร้องในวันนั้น ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ (2568) ไม่สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้อีกเลยหลังปี 2549 จะยิ่งตอกย้ำว่า ความสำเร็จในปี 2540 นั้น ไม่ใช่ของมวลชนหรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นของระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ที่กำกับโดยผู้ที่รู้จริงและมีอำนาจจริง — อย่างสุขวิช รังสิตพล
การปฏิเสธ “ธรรมาภิบาล” และ “พลังของความรู้” : รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540
สุขวิชเป็น นักปฏิรูปในฐานะ "CEO ของการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างรัฐไทย" ไม่ใช่นักเคลื่อนไหวแบบมวลชน และไม่ใช่นักการเมือง ผู้มุ่งหวังคะแนนเสียง แต่เป็นผู้วางรากฐานเชิงโครงสร้าง ตั้งแต่การกระจายอำนาจ การจัดระเบียบคุณภาพของโรงเรียน แนวทางการพัฒนาประเทศด้วยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเพัฒนาแล้วใน 25 ปี หลังจากเขาอภิวัฒน์การศึกษา2538/1995 -2563/2020 ผ่านการออกแบบระบบการศึกษาที่สัมพันธ์กับการสร้าง "พลเมืองประชาธิปไตย"
แต่ในทางประวัติศาสตร์การเมือง กลับมีแนวโน้มที่จะ “โรแมนติไซส์” การชุมนุมในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ปี 2516, 6 ตุลาฯ ปี 2519 ปี2535 และ ปี 2553 ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ขณะที่ การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่มีผลจริงในเชิงโครงสร้างกลับถูกมองข้าม หรือไม่ได้รับเครดิตสมกับความจริงทางประวัติศาสตร์
การไม่ให้เครดิตสุขวิช จึงไม่ใช่แค่การลืมบุคคล แต่คือการปฏิเสธ “ธรรมาภิบาล” และ “พลังของความรู้” ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะหากรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นผลของการจัดการบริหารที่นำโดยสุขวิช และไม่ใช่ผลของการชุมนุมกลางถนน ดังนั้นหลังปี 2516, 2519 หรือ 2553 — ในเชิงโครงสร้าง จึงไม่มีสิ่งใดตามมาและเปลี่ยนระบบได้อย่างแท้จริง
และหากนักวิชาการและผู้เรียกร้องในวันนั้น ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ (2568) ไม่สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้อีกเลยหลังปี 2549 จะยิ่งตอกย้ำว่า ความสำเร็จในปี 2540 นั้น ไม่ใช่ของมวลชนหรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นของระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ที่กำกับโดยผู้ที่รู้จริงและมีอำนาจจริง — อย่างสุขวิช รังสิตพล