JJNY : 5in1 เปิดราคาครุภัณฑ์│ปชน.พบหลายโครงการรัฐมีปัญหา│วรภพชี้ค่าไฟลดไม่จริง│กมธ.สธ.ทวงถามเอกสาร│ออสเตรเลียปิดส.ขงจื๊อ

ไปกันต่อ! เปิดราคาครุภัณฑ์ตึก สตง. พรมห้องประธานผืนละ 1 แสน
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_9702214
.
.
ไปกันต่อ! เปิดราคาครุภัณฑ์ตึก สตง. พรมห้องประธานผืนละ 1 แสน ที่ใส่สบู่ห้องน้ำผู้บริหาร ชุดละ 1,668 ฝักบัวอาบน้ำ ชุดละ 11,214 บาท
.
2 เม.ย. 68 – จากกรณีแผ่นดินไหวขนาด 8.2 โดยมีจุดศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา ส่งผลมาถึงประเทศไทย ทำให้ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างถล่มลงมา มีแรงงานได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมากนั้น

ล่าสุดแฟนเพจเฟซบุ๊ก ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย ได้เปิดเผยเอกสารโครงการก่อสร้างดังกล่าว โดยระบุราคาครุภัณฑ์และสุขภัณฑ์บางรายการดังนี้

– ก๊อกน้ำอ่างล่างหน้าผู้บริหาร ชุดละ 8,250 บาท จัดซื้อ 98 ชุด รวม 808,500 บาท
– ที่ใส่สบู่ห้องน้ำผู้บริหาร ชุดละ 1,668 บาท จัดซื้อ 98 ชุด รวม 163,464 บาท
– โถส้วมชักโครกผู้บริหาร ชุดละ 9,140 บาท จัดซื้อ 98 ชุด รวม 895,720 บาท
– สายฝักบัวชำระห้องน้ำผู้บริหาร ชุดละ 1,122 บาท จัดซื้อ 98 ชุด รวม 109,956 บาท
– ฝักบัวอาบน้ำ ชุดละ 11,214 บาท จัดซื้อ 44 ชุด รวม 493,416 บาท
– พรมห้องประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน พรมขนยาวรุ่น ลุกซ์ แชคกี สีเทาเข้ม ขนาดกว้าง 3.40 x ยาว 2.40 เมตร ผืนละ 110,000 บาท จัดซื้อ 2 ผืน รวม 220,000 บาท
– โซฟา งานแกะสลักด้วยมือ แกะสลักแล้วปิดทองนำเข้าจากอิตาลี ห้องรับรอง ชั้น 11 จำนวน 1 ตัว ราคา 157,000 บาท
– โซฟาห้องรับรอง ชั้น 3 เป็นสีรัก บากร่องหางเหยี่ยว หุ้มผ้า ตอกหมุดโดยรอบ จำนวน 1 ตัว ราคา 165,000 บาท
– เก้าอี้ ห้องรับรอง ชั้น 11 แกะสลักด้วยมือแล้วปิดทอง นำเข้าจากอิตาลี ราคาตัวละ 95,000 บาท จัดซื้อ 4 ตัว รวม 380,000 บาท




ปชน. พบหลายโครงการรัฐมีปัญหา ต้นตอจากบริษัทจีนสร้างตึกสตง. จี้นายกฯสอบ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9702407
.
ปชน. พบหลายโครงการรัฐมีปัญหา ต้นตอจาก บริษัทจีนสร้างตึกสตง. เรียกร้องพม.แจงสัญญาทีโออาร์บ้านการเคหะฯ จี้นายกฯ สอบกระบวนการเหตุมีกิจการร่วมค้า เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ หลังจบงาน หนีการตรวจสอบ
.
เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 ที่รัฐสภา พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. ร่วมแถลงข่าวกรณีมีหลายโครงการรัฐที่ทำร่วมกับบริษัทจีน หรือ ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ซึ่งเป็นผู้สร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบปัญหาจากการก่อสร้างอาคารพักอาศัย โดยเฉพาะโครงการของการเคหะแห่งชาติ และยังมีกิจการร่วมค้ากับที่มีบริษัทที่มีปัญหาร่วมอยู่ด้วย
.
นายณัฐชา กล่าวว่า บางโครงการอาจจะเปลี่ยนผู้รับเหมา มาเป็นผู้รับเหมาของไทย หรือผู้รับเหมาบริษัทอื่นแล้ว แต่การเริ่มต้นก่อสร้างที่มีปัญหาอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการใช้งานแรงงาน การจ้างเหมาแรงงานโดยไม่จ่ายค่าจ้าง รวมถึงคุณภาพของวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง จึงตั้งข้อสังเกตว่า งานโครงสร้างทั้งหมดที่ผ่านไปแล้วนั้น จะการันตีคุณภาพได้หรือไม่ หรือจะเข้าไปตรวจสอบคุณภาพได้หรือไม่
.
นี่จึงเป็นสัญญาณไม่ชอบมาพากลของบริษัทจีน ที่เข้ามารับงานในโครงการของรัฐหลายๆ แห่ง และอาจจะไปไม่ถึงวันส่งมอบงาน เนื่องจากบางโครงการ ดำเนินงานไปครึ่งทางแล้วก็ทิ้งงาน ทำให้บริษัทไทยที่มารับช่วงต่อ ไปต่อไม่ได้ เกิดภาวะเจ๊ง ทิ้งงาน สุดท้ายคนที่รับผิดชอบโดยตรง ก็คือประชาชนที่จะต้องรับโครงการนั้นไปอยู่อาศัย
.
นายณัฐชา กล่าวว่า นอกจากโครงการใหญ่ในกทม.แล้ว ยังมีโครงการในจังหวัดอื่นอีก เช่น ภูเก็ต ที่มีบริษัทนอมินีจำนวนมาก และพบว่าสายไฟไม่ได้คุณภาพที่มาจากประเทศจีน ไม่มีเครื่องหมายการรับประกันมาตรฐาน รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้า และอื่นๆ เนื่องจากมีประชาชนร้องมาว่า หลังส่งมอบบ้านไปเพียงแค่ 3 เดือนถึง 6 เดือน ไฟก็ดับทั้งหมด เพราะอายุการใช้งานของอุปกรณ์หมด แม้กระทั่งท่อน้ำประปา หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ล้วนมีปัญหาด้านคุณภาพทั้งหมด
.
ตนจึงอยากเรียกร้องให้ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ ออกมารับประกัน และเปิดเผยข้อมูลว่า ที่ผ่านมาโครงการก่อสร้างทั้งหมด มีการจ้างบริษัทจีนกี่แห่ง และคุณภาพในทีโออาร์ ทั้งเรื่องวัสดุอุปกรณ์ หรือเหล็กโครงสร้างต่างๆ ได้มีระบุมาตรฐานไว้หรือไม่
.
นายณัฐชา กล่าวว่า ตนยังตั้งข้อสังเกตถึงอีกบริษัทหนึ่งคือ ซีอาร์ซีซี ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชนที่ได้รับเหมา และเป็นบริษัทของคนจีนเช่นกัน ที่ประกอบธุรกิจด้านการโรงแรมที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ ตลอดจนการก่อสร้างโดยบริษัทกิจการร่วมค้าอื่น
.
ตรวจสอบเก็บข้อมูลเบื้องต้นแล้วพบว่า บริษัทดังกล่าวที่ใช้กิจการร่วมค้าในการประมูลงานรัฐ เมื่อทำงานเสร็จแล้ว ก็จะเปลี่ยนชื่อบริษัทไปเรื่อยๆ เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบ
.
จึงต้องฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีเร่งตรวจสอบกระบวนการดังกล่าว รวมถึงการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย ที่มีคู่สัญญาเป็นบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ด้วยว่า มีการก่อสร้างในช่วงใดของเส้นทางบ้าง
.

.
วรภพ ชี้ ค่าไฟลดไม่จริง ครม.แค่รับทราบเป้าหมายเท่านั้น จับตา รบ.จ่อลงนามซื้อเพิ่มอีก 1,500 MW
https://www.matichon.co.th/politics/news_5122280
.
วรภพ ชี้ ค่าไฟลดไม่จริง ครม.แค่รับทราบเป้าหมายเท่านั้น จับตา รบ.จ่อลงนามซื้อเพิ่มอีก 1,500 MW
.
เมื่อวันที่ 2 เมษายน นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลดค่าไฟลงเหลือ 3.99 บาท/หน่วย ว่า ในฐานะที่ติดตามและเสนอแนวทางในการลดค่าไฟ ไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ พอได้เห็นข่าว ก็รู้สึกดีใจ แต่เมื่อไปดูในมติ ครม. ของจริง ก็ต้องผิดหวังที่ เป็นเพียง มติ ครม. ที่รับทราบค่าไฟเป้าหมาย และ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปหาแนวทางเพื่อให้ลดค่าไฟได้ คือ ครม. ยังไม่มีข้อสรุปในการลดค่าไฟและ กกพ. ก็พึ่งประกาศสัปดาห์ก่อนหน้าว่า ค่าไฟงวด พ.ค. – ส.ค. 68 จะคงค่าไฟที่ 4.15 บาท/หน่วย เพราะ ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนในแนวทางการลดค่าไฟ จาก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
.
แต่แนวทางลดค่าไฟ นั้นมีข้อเสนอมาหลายครั้ง ส.อ.ท. ก็เสนอมาหลายรอบ ก็คือ รัฐบาลต้องริเริ่มเจรจาแก้ไขสัญญาโรงไฟฟ้าเอกชนที่ไม่เป็นธรรม ทั้ง โรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่อง (ค่าความพร้อมจ่าย) หรือ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (ค่า adder) เพียงแต่ต้องใช้เจตจำนงทางการเมืองในการเจรจากับกลุ่มทุนพลังงาน ที่ล้วนสนิทสนมกับ นายกรัฐมนตรี และ พ่อนายกฯ อยู่แล้วด้วย แต่รัฐบาลกลับยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ
.
นายวรภพ กล่าวว่าที่สำคัญ ค่าไฟเดิมยังลดไม่ได้ แต่รู้ไหมว่า รัฐบาล กำลังจะ ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 1,500 MW ที่จะทำให้ค่าไฟแพงขึ้น ตลอดอายุสัญญา 25 ปี ข้างหน้าเพราะโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก รอบ 5,200 MW กำลังจะถึงกำหนดให้รัฐบาล ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนที่ได้รับคัดเลือก (โดยไม่เปิดประมูล) หลังสงกรานต์ 19 เม.ย. นี้ ทั้งๆที่ รัฐบาลก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ค่าไฟที่ รัฐบาลกำลังจะไปซื้อจากเอกชน โดยที่ไม่เปิดประมูล Solar 2.2 บาท/หน่วย นั้น แพงเกินไป และจะทำให้ค่าไฟประชาชนแพงขึ้น
.
นายวรภพ กล่าวว่า โครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก นี้ เคยมีคำสั่งทุเลาจากศาลปกครองมาแล้วด้วย ว่า “กระบวนการคัดเลือก ไม่โปร่งใส ไม่ยุติธรรม และจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียประโยชน์ได้” จากการที่เป็นโครงการรับซื้อที่ไม่เปิดประมูล และ ไม่มีประกาศหลักเกณฑ์ในการคำนวนคะแนนเทคนิคล่วงหน้า ที่กลายเป็นการให้ใช้ดุลพินิจในการจิ้มเลือกเอกชนได้ และ มติ กพช. (นายกฯ เป็น ประธาน) มีอำนาจเต็มในการยกเลิกโครงการนี้ได้ แต่ต้องมีมติ ยกเลิก/ชลอ ก่อนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเท่านั้น ถึงจะยกเลิกได้ ดังนั้น จึงหมายความว่า ถ้าเลยวันที่ 19 เม.ย. นี้ รัฐบาล นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธาน กพช. ยังไม่มีมติ ชลอ หรือ ยกเลิก โครงการการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก ที่เหลือยังไม่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า อีก 1,500 MW นี้ ก็จะทำให้ค่าไฟฟ้าประชาชนในอนาคตต้องแพงขึ้นไปอีก 25 ปี จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้านี้
.

.
กมธ.การสาธารณสุข ทวงถามเอกสารการประชุม ประสานงาน 3 กองทุนสุขภาพ หลังผ่านมาแล้ว 27 วัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_5122304
.
กมธ.การสาธารณสุข ทวงถามเอกสารการประชุม ประสานงาน 3 กองทุนสุขภาพ หลังผ่านมาแล้ว 27 วัน
.
เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่รัฐสภา น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสาธารณสุข แถลงถึงการติดตามบันทึกการประชุมของคณะกรรมการประสานงาน 3 กองทุนสุขภาพ ว่า ทาง กมธ.ได้ขอให้คณะกรรมการประสานงาน 3 กองทุน ส่งบันทึกการประชุมตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มาตรา 9 มาตรา 10 และมาตรา 66 ย้อนหลัง 23 ปี จนถึงปัจจุบัน เพื่อขอทราบความคืบหน้า อุปสรรค และแนวทางการลดความเหลื่อมล้ำของระบบบริการสุขภาพ โดยขอให้ตัวแทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ส่งเอกสารให้คณะ กมธ. ภายใน 15 วัน ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้เลขาธิการ สปสช. และ สปส. ก็ยังคงไม่ส่งเอกสารให้คณะ กมธ. ทั้งที่มีการทวงถามบันทึกการประชุมดังกล่าวในหลายวาระโอกาส
.
น.ส.กัลยพัชร กล่าวต่อว่า ตนขอทวงถามถึงความรับผิดชอบของผู้บริหารกองทุนประกันสังคมต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนผู้จ่ายเงินเดือน และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจากการบริหารกองทุนดังกล่าว และกำลังหมิ่นเหม่ที่จะทำผิดตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 11 อีกทั้งยังลดทอนหลักธรรมาภิบาลองค์กรที่ดี ตลอดจนหลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม และหลักสำนึกรับผิดชอบ รวมทั้งขอให้คณะกรรมการประสานงานทั้ง 3 กองทุน ส่งรายงานดังกล่าวมาให้คณะ กมธ. โดยเร็วที่สุด และขอให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย หรือบอร์ดลดภาระค่ารักษา-เหลื่อมล้ำ 3 กองทุน ช่วยติดตามทวงถามบันทึกการประชุมดังกล่าวด้วย และยังเป็นการสะท้อนถึงความจำเป็นของ พ.ร.บ.อำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 หรือ พ.ร.บ.อำนาจเรียก ซึ่งจะช่วยให้หน่วยงานราชการต้องรับผิดชอบในการส่งเอกสารและผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลกับรัฐสภา
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่