▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ภาพถ่ายทิวทัศน์
บันทึกนักเดินทาง
อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
[CR] ทริปนี้มีเรื่องมาเล่า #ตอนที่ 3 >ผู้พิชิตเขาคิชฌกูฏ ดินแดนแห่งเหล่าผู้ศรัทธา
>> เขาคิชฌกูฏ หรือเขาพระบาทพลวง เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ตั้งอยู่ในเขาวงพระจันทร์ อยู่ในอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ที่นี่เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ และเป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทที่อยู่สูงที่สุดในประเทศไทย มีความสูงกว่า 1,050 เมตร จากระดับน้ำทะเล แต่เดิมเริ่มเปิดขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี แต่มาระยะหลังนี้เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนที่มีความเลื่อมใสศรัทธาทั้งชาวไทยและต่างประเทศ จึงได้เปิดเวลาให้นมัสการมากขึ้น กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2536 เปิด 30 วัน ในปี พ.ศ. 2537 เปิด 45 วัน และในปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา เปิดให้นมัสการ 60 วัน และยังคงเริ่มเปิดให้นมัสการในช่วงเดือน 3 เหมือนเดิม
>> สำหรับปี 2568 เปิดให้ขึ้นไปสักการะรอยพระพุทธบาท ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2568 ซึ่งแต่ละปีวันอาจมีการเปลี่ยนแปลง
>> ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องเล่ากัน บอกตรงๆ เลยว่า ทริปนี้ผมอาจจะไม่ได้เน้นไปที่การกราบไหว้ และแรงศรัทธามากเท่าไหร่นะครับ แต่จะเน้นไปที่บรรยากาศ และวิวของเส้นทางเดินเขาคิชฌกูฏเป็นหลัก เพราะด้วยส่วนตัวผมแล้ว ผมไม่ใช่สายทางด้านนี้ แต่ที่ได้มาที่นี่ เหตุหลักๆ คือ การมาประทับตราอุทยาน และการได้ขึ้นมาชมบรรยากาศของสถานที่ และมาชมวิวของขุนเขาครับ เพราะตามลักษณะการเที่ยวของผมแล้วจะชอบไปตามป่าเขาที่คนเที่ยวไม่มากเท่าไหร่ ชอบบรรยากาศที่สงบๆ หน่อย แต่ครั้งนี้ผมอยากลองมาดูว่าการมาเที่ยวในสถานที่คนเยอะๆ จะเป็นแบบไหน
>> ก็เช่นเคยบ้างสถานที่ที่ส่วนใหญ่ผมได้มาก็เกิดขึ้นจากการได้เห็นรีวิวจากเพื่อนท่านอื่น หรือรีวิวจากอุทยานแห่งชาติในเพจ Facebook ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมก็เลยลองชวนพี่ที่ทำงานที่เมื่อก่อนเขามาที่นี่บ่อยมากๆ น่าจะเกือบทุกปี 6-7 ปี ติดกัน เพราะเขาค่อนข้างมีความเชื่อด้านนี้ พอตกลงกันได้เราก็นัดแนะวันที่จะมาเที่ยวกัน โดยมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน รวมผม ซึ่งต่างวัยกันตั้งแต่วัยเลข 3-5 โดยเราจะนำรถส่วนตัวไปกันเองโดยมีผมเป็นคนขับเช่นเคย มีกำหนดเดินทางกันคืนวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ และไปเดินขึ้นแต่เช้ามืดของวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ โดยผมมีแผนไว้ว่าเราจะนำไปจอดไว้ที่วัดพลวงแล้วให้พี่อีก 3 คน นั่งรถขึ้นเขาคิชฌกูฏ ส่วนตัวผมจะเดินขึ้น
>> พอถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ วันที่เรานัดกันออกเดินทางตอน 5 ทุ่ม ซึ่งวันนั้นผมดันมีอากาศท้องเสียจากอาหารเป็นพิษตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นก็มีอาการไข้ขึ้น หนาวสั่น อ่อนเพลีย หลังจากเลิกงานตอน 5 โมงเย็น ก็เลยบอกกับคนอื่นอันไว้ว่า ผมจะขอนอนพักดูก่อนถ้าถึง 4 ทุ่ม ยังไม่ดีขึ้นก็จะเลื่อนทริป บอกเลยพอถึงห้องผมก็อาเจียนหลายรอบจนหมดไส้หมดพุ่ง แต่ก็รู้สึกสบายท้องขึ้น และก็เริ่มไข้ขึ้นจนเหงื่อออก นอนก็ไม่ค่อยหลับเพราะคั่นเนื้อคั่นตัว ผมจึงอัดคาร์บอน กับยาพาราไปรัวๆ จนผมเริ่มตัดใจแล้ว แต่พอประมาณ 3 ทุ่ม ผมก็รู้สึกว่าไข้เริ่มลด อาการคั่นเนื้อคั่นตัวลดลง อ่อนเพลียอยู่บ้างแต่ไหวแหละ จึงน่าจะได้อยู่นะ จน 4 ทุ่ม ก็ดูแล้วว่าได้แหละ แต่คงจะเดินขึ้นเขาไม่ไหวแล้ว คงต้องนั่งรถไปเหมือนคนอื่นๆ เอา ผมจึงโทรไปคอนเฟิร์นเพื่อนคนอื่น
>> 5 ทุ่ม เรามารวมตัวกัน และออกเดินทาง โดยมีผมเป็นคนขับรถ ซึ่งเราจะเดินทางไปกันที่วัดพลวงที่จะเป็นจุดนั่งรถต่อขึ้นเขาคิชฌกูฏกัน
GPS..วัดพลวง
>> อันที่จริงมีจุดขึ้นรถอีกจุดหนึ่งคือ ที่วัดกระทิง ที่จะอยู่ตรงถนนหมายเลข 3249 ก่อนที่จะแยกเข้ามาถนน หมายเลข 3010 ที่จะมาวัดพลวงนั่นเอง เพราะถ้าช่วงรถเยอะ คนมาเที่ยวมากๆ การจอดรถไว้ที่วัดกระทิงจะสะดวกกว่าเพราะอยู่นอกๆ และนั่งรถมาจากที่นั่นในราคา 200 บาท/คน ไป-กลับ
GPS..วัดกระทิง
>> แต่ก็มีอีกเส้นทางหนึ่งที่ใช้ในการขึ้นเขาคิชฌกูฏที่ผมเข้าใจผิดว่าเป็นเส้นทางขึ้นจากวัดพลวงโดยการเดินเท้า ที่ตอนแรกเลยผมจะใช้วิธีนี้ แต่สรุปคือ จุดเดินเท้าของตรงวัดพลวงจะเริ่มเดินกันได้จากการนำรถขึ้นไปจอดที่ตรงลานจอดรถจุดชมวิวเขื่อนพลวง หรือจุดไว้ตรงหน่วยพิทักษ์อุทยานเขาคิชฌกูฏ ที่ คก.1 (พระบาทพลวง) ซึ่งทางนี้จะเป็นทางเดินลัดเลาะตามถนนเส้นทางเดียวกันกับเส้นทางรถขึ้น ซึ่งค่อยข้างดูอันตรายหน่อยๆ จากรถที่วิ่งขึ้นลง ไม่ใช่เส้นทางเดินเข้าป่าอย่างที่ผมดูในคลิปของคนอื่น และที่ผมคิดไว้เลย
>> แต่ความจริงเส้นทางเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏนั้นมีอีกเส้นทางที่เป็นทางเดินป่าแบบป่าจริงๆ ที่ต้องไปที่วัดโคกตะพง ที่ทางเข้าอยู่บนถนนหมายเลข 3010 เหมือนกัน แต่ทางแยกจะเลยไปไกลอีกหน่อย
GPS..วัดโคกตะพง
>> ซึ่งเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเชิงนิเวศในการขึ้นเขาคิชฌกูฏที่ผ่านป่า ผ่านน้ำตก และทางชัน ระยะทาง 3.2 กิโลเมตร โดยจะมีรถกระบะจากวัดไปส่งที่จุดเริ่มเดิน ราคาไป-กลับ 200 บาท แต่ถ้าไม่ลงทางเดิม เช่นลงไปที่เนินสิวลี ต้องเสียเพิ่ม 100 บาท เพื่อรถไปรับ และต้องแจ้งเขาด้วย
>> ไปดูที่การเดินทางของเราวันนี้แล้วกันครับ ผมขับรถมาเรื่อยๆ พักเข้าห้องน้ำ 1 ครั้ง ที่ปั๊ม ปตท. และก็ยิงยาวมาถึงวัดพลวงตอนประมาณตี 4 ซึ่งมีรถจอดตามลานจอดที่กระจายอยู่ทั่วลานวัดค่อนข้างเยอะ ซึ่งเห็นพี่ที่มาด้วยกันบอกว่าอันนี้คนดูน้อยลงกว่าเมื่อก่อนแล้วนะ ไม่อยากจะคิดถึงถ้าเจอแบบนั้นเลย
>> หลังจากจอดรถได้แล้วซึ่งก็ไกลจากจุดจำหน่ายตั่ว และนั่งรถประมาณ 500-600 เมตรได้ เราก็เดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นกันก่อนเลย ซึ่งก็เป็นทางผ่านของเราพอดี และเหมือนเขาพึ่งทำจุดนี้ได้ไม่นานมั้งครับจากสภาพที่ยังดูใหม่ๆ มีห้องน้ำหลายห้อง มีอ่างล้างหน้า และห้องอาบน้ำด้วย ด้านหน้าก็มีร้านค้ามาวางขายน้ำ มาม่า ทิชชู และอื่นๆ ด้วย
>> หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จเราก็เดินต่อไปกันที่ รอยพระพุทธบาทจำลอง เพื่อที่จะไหว้กันก่อนที่จะนั่งรถต่อขึ้นไปด้านบน ซึ่งผมก็ให้พี่ที่เขาเคยมาประจำเป็นคนเดินนำ แต่เราก็ไม่ได้เดินชมบรรยากาศภายในวัดพลวงเท่าไหร่ เพราะจะรีบขึ้นเขากัน
>> หลังจากไหว้รอยพระพุทธบาทจำลองเสร็จ เราก็เดินต่อไปที่จุดจำหน่ายตั๋วขึ้นรถ ซึ่งก็ได้แวะซึ่งดอกไม้ ธูปเทียน แผ่นทองคำเปลว และพลอยสีประจำวัดเกิดเพื่อนำขึ้นไปไหว้รอยพระพุทธบาท ซึ่งก็จะมีของขายเยอะเลย ทั้งอาหาร ขนม ผลไม้ ของกินอื่นๆ แบบไม่ต้องกลัวอด และมีศูนย์อาหาร ร้านค้าของวัดด้วย
>> ปกติพี่เขาบอกว่าคนจะเยอะมากๆ ต่อคิวกันยาวเลย แต่อันนี้มีต่อคิวกันสัก 10 กว่าคน ไม่กี่นาทีเราก็ได้บัตรนั่งรถ ราคาไป-กลับ 200 บาท/คน ซึ่งเราต้องเก็บบัตรอันนี้ไว้ดีๆ เพราะต้องแสดงบัตรอีกทีตอนขานั่งรถลง
>> งวดนี้ อุ้ย!! เลขบัตรนั่งรถผม ได้บัตรมาแล้ว เราก็ได้เวลาเดินต่อไปยังจุดขึ้นรถ ที่เป็นโดมอยู่ใกล้ๆ กัน
>> เรามาต่อคิวเพื่อขึ้นรถกระบะโฟวิล ซึ่งจะมีทั้งแบบนั่งได้ 4-6 คน และ 6-10 คน จะนั่งไปคันไหนก็ได้ เช่นกันกับตอนลง จะนั่งคันไหนก็ได้ ซึ่งพี่เขายังบอกอีกว่า เมื่อก่อนมาต่อคิวรอรถกันเกือบเป็นชั่วโมงกว่าจะได้ขึ้น แต่วันนี้เรารอประมาณสิบกว่านาที คนก็น้อย รถก็วิ่งเข้าวิ่งออกเรื่อยๆ มีรถหลายคันมากๆ
>> มาดูแผนที่เส้นทางที่เราจะไปต่อกันครับ จากคิวรถวัดพลวง
>> ซึ่งเราต้องนั่งรถกันต่อไปอีก 7.8 กิโลเมตร เพื่อไปยังจุดเริ่มเดินที่ ลานพระสิวลี
>> มีรถขึ้น-ลงตลอดเวลา รับส่งนั่งท่องเที่ยว เพราะที่นี่เปิดเดินขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง ไม่หลับไม่นอน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้