ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่า เราเป็นเด็กที่เติบโตมาเพราะตายาย พ่อแม่ทำงานต่างจังหวัด ไปเยี่ยมปีละครั้ง หรือบางปีไม่ไปเลย ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมาจากตายาย 100% ในตอนนั้นช่องทางการติดต่อเดียวที่บ้านมีที่ทันสมัยที่สุดคือโทรศัพท์มือถือรุ่นปุ่มกดจอขาวดำ ตอนเราอายุ 13 ปี พ่อเราเสียชีวิต และแม่ก็เหมือนคนเสียหลักไปเลย (ในส่วนนี้ขอไม่ลงรายละเอียด) เราเรียนจบ ม.ต้น แล้วออกมาทำงาน เราไม่เรียนต่อเพราะยายชอบบ่นว่าไม่มีปัญญาส่งเรียน เราก็เลยออกมารับจ้างทุกอย่างที่สามารถทำได้ตอนนั้น ทํางานพาร์ทไทม์ เลิกงานแล้วต่อร้านข้าวแกง แต่ไม่สามารถทำงานที่มีประกันสังคมได้เพราะยังไม่ถึง 18 พออายุครบ 18 เราสมัครทำงานโรงงานเป็นพนักงานในไลน์ผลิตอะไหล่รถยนต์ ช่วงนั้นเราก็สมัครเรียนวันอาทิตย์ ส่งตัวเองเรียนจากวุฒิ ม.ต้น จนจบ ป.ตรี ระหว่างนี้ก็มีการติดต่อกับแม่บ้างซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเงิน ที่แม่ใช้คำว่ายืม(แต่ไม่เคยได้คืน) พอเรามีครอบครอบครัว ก็ยังไม่หลุดพ้นจากคำว่ายืมของแม่ เรารู้มาตลอดว่าแม่เรามีปัญหาเรื่องเงิน เคยเจอว่าเจ้าหนี้ของแม่มาทวงเงิน หรือตามหาแม่ เจอบ่อยจนกลายเป็นความชินชา เราไม่เคยขอเงินจากแม่คืน เพราะเราคิดว่านั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เราทำให้เขาได้ในฐานะลูก จนกระทั่งวันหนึ่งฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดลง เพราะแม่ได้มาขอใช้บัญชีของสามีเรา เพื่อโอนเงินเข้าออกผ่านบัญชี แรกๆเราไม่ได้พูดอะไร สามีเราเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะการไม่พูดอะไรของสามีทำให้เรายิ่งเกรงใจเขามากๆ พอบ่อยๆเข้าเราบอกกับแม่ว่าทำแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง แม่ไม่พอใจเราและหาว่าเรารักสามีมากว่าแม่ ช่วงนั้นแม่ลงโซเชียลด่าเราสารพัด ด่าเนรคุณ ตัดลูกตัดแม่ เราไม่ตอบโต้อะไรทั้งสิ้น เวลามีคนมาถามเรา เราจะตอบแค่ว่าน้อมรับทุกอย่าง ไม่ขอพูดถึงหรืออธิบายอะไรทั้งนั้น ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเราไม่ได้ติดต่อกับแม่อีกเลย เราไม่ได้ทิ้งแม่นะ เราแค่ถอยมาดูอยู่ห่างๆ แต่ยังเป็นคำถามคาใจเรามาตลอดว่าเราเป็นคนเนรคุณจริงเหรอ
เมื่อโดนแม่ด่าว่าเนรคุณ