“รถสันดาป”ใกล้สิ้นมนต์ขลัง 3 ค่ายยักษ์อันดับส่งออกร่วง

ส่งออกรถยนต์สันดาปภายในใกล้สิ้นมนต์ขลัง อีวีจีนแรง ทุบตลาดทั่วโลก “โตโยต้า-มิตซู-อีซูซุ” อันดับผู้ส่งออกร่วง อิเล็กทรอนิกส์แซงหน้า สภาอุตฯ ลุ้นผลิตส่งออก 1 ล้านคัน

สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ผลิตในประเทศไทยที่ครองอันดับ 1 ของสินค้าส่งออกไทยมานานกว่า 20 ปี ณ เวลานี้กำลังถูกท้าทาย ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน(ICE)ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง สู่รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถอีวี และรถยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาดต่างๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ในไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่ายจากญี่ปุ่นเริ่มมีผลประกอบการที่ลดลง จากส่งออกรถยนต์สันดาปภายในได้ลดลง

สะท้อนได้จากการตรวจสอบข้อมูลของ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึง 10 อันดับผู้ส่งออกไทย จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร พบว่า ค่ายรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นในไทยมีอันดับการส่งออกที่ลดลง โดยบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (บจก.) ที่ครองอันดับ 1 ของผู้ส่งออกไทยในปี 2566 ในปี 2567 หล่นมาอยู่อันดับ 2 (รองจาก บจก.เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) ในธุรกิจชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์), บจก.โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จากผู้ส่งออกอันดับ 3 ในปี 2566 หล่นมาอยู่อันดับ 4 ในปี 2567
บจก.มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จากผู้ส่งออกอันดับ 4 ในปี 2566 หล่นมาอยู่ในอันดับ 5 ในปี 2567 และบจก.อีซูซุ อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่น (ประเทศไทย) จากผู้ส่งออกอันดับ 8 ในปี 2566 หล่นมาอยู่อันดับ 12 ในปี 2567 เป็นต้น

รถสันดาปนับถอยหลัง
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การที่ค่ายรถยนต์ในไทยที่ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในมีอันดับการส่งออก หรือมียอดขายที่ลดลง มีส่วนสำคัญจากเทรนด์รถยนต์ของโลกในห้วงเวลานี้นับจากนี้ ได้มุ่งสู่รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ที่ขณะนี้ประเทศที่ครองตลาดรถ EV ของโลกคือ จีน

ทั้งนี้การที่ค่ายรถยนต์โตโยต้า และค่ายอื่น ๆ ในไทย มียอดขาย และอันดับการส่งออกที่ลดลง เนื่องจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน หรือรถยนต์สันดาปภายใน จะไม่ตอบโจทย์รถยนต์แห่งอนาคตที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยลดโลกร้อน ในอนาคตรถยนต์สันดาปภายในจะมีความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงเรื่อย ๆ และแข่งขันยากขึ้น

นอกจากนี้ ฐานการผลิตใหม่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่ายรถยนต์ EV จากจีนที่เข้ามาลงทุน จะทำให้ซัพพลายเออร์ในส่วนของผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปจะถูกดิสรัปทำให้หดหายไป และต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับการผลิตชิ้นส่วนเพื่อป้อนให้กับรถยนต์ EV ที่ผู้ซื้อรถหันไปใช้มากขึ้น มีการแข่งขันสูง ทำให้ราคารถ EV ถูกลง

หลากปัจจัยทุบส่งออกรถยนต์
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การส่งออกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีแนวโน้มส่งออกได้ลดลง มีปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องในหลายเรื่องที่สำคัญได้แก่
1.สินค้าอื่นส่งออกได้ดีขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่การส่งออกยังขยายตัวสูง
2. รถยนต์ EV ของจีนที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ได้ถูกส่งไปจำหน่ายในประเทศที่เป็นคู่ค้าของไทยมากขึ้น และแย่งตลาดรถยนต์สันดาป
3.ค่ายรถยนต์บางยี่ห้ออยู่ระหว่างการเปลี่ยนรุ่นรถ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อ
4.มาตรการที่เข้มงวดของการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าบางประเทศ ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไปไม่ได้
5.ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า และนโยบายการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ทำให้หลายประเทศที่เป็นคู่ค้าของไทยชะลอการนำเข้า
และ 6.ผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยังมีการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-ฮามาส สหรัฐกับกลุ่มฮูตีในเยเมน รวมถึงความตึงเครียดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความแน่นอน กระทบกับบรรยากาศในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของผู้บริโภคในประเทศต่าง ๆ

เป้าผลิต 1.5 ล้านคันยังน่าห่วง
อย่างไรก็ดีในปี 2568 กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ได้ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ที่ 1.5 ล้านคัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 500,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ผลิตได้ 1.46 ล้านคัน โดยในปี 2567 ไทยส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 1.01 ล้านคัน ลดลง 8.80% เมื่อเทียบกับปี 2566 และขายในประเทศได้ 572,675 คันลดลง 26.18% จากปี 2566

ขณะที่การตั้งเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศในปีนี้ที่ 500,000 คัน มีปัจจัยบวกจาก การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อชดเชยการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในปี 2565-2566 ของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าตามโครงการ EV 3.0 ในอัตรา 1.5 เท่า ที่ในปี 2567 ผลิตในประเทศแล้ว 10,000 กว่าคัน และจะผลิตให้ครบ 70,000 คันในเร็ววัน

นอกจากนี้มีปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจหรือจีพีดีของประเทศที่คาดปีนี้จะขยายตัวได้ที่ระดับ 2.4-2.9% และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยจะมากกว่าในปี 2567 จะช่วยสนับสนุนการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน จากการที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) จะช่วยค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อวงเงิน 10,000 ล้านบาท (เริ่มต้น 5,000 ล้านบาท)เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการซื้อรถกระบะใหม่ ในการขนส่งและทำการค้า จะช่วยกระตุ้นยอดซื้อรถยนต์ได้เพิ่มอีกระดับหนึ่ง
“อยากให้รัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการลงทุนของภาครัฐ และการดึงการลงทุนภาคเอกชนจากทั้งในและต่างประเทศที่มาขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ ให้เกิดการลงทุนจริงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คนมีงานทำ มีกำลังซื้อมากขึ้น และกล้าที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น และจะส่งผลให้ไฟแนนซ์กล้าที่จะปล่อยกู้มากขึ้น จากที่เวลานี้ไฟแนนซ์ยึดรถที่ไม่ส่งค่างวดมาขายต่อ และมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้” นายสุรพงษ์ กล่าว

“โตโยต้า”หดเป้าส่งออก-สวนทางตลาดในประเทศโต
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบัน บริษัทและดีลเลอร์จำเป็นต้องปรับตัว เนื่องจากที่ผ่านมาออกแบบโมเดลธุรกิจและการลงทุน เพื่อรองรับตลาดปริมาณยอดขาย 1.5 ล้านคันต่อปี (ปี 2567 ตลาดรวมรถยนต์ในประเทศ 5.7 แสนคัน ลดลง 26% เมื่อเทียบกับปี 2566)

“การปรับแผนธุรกิจใหม่ของโตโยต้า คือพยายามลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการบริหารจัดการ ส่วนการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า โตโยต้ามองว่าต้องเดินหน้าไปหลากหลายทางเลือก และเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดยังตอบโจทย์การใช้งาน ส่วนอีวี ไม่ว่าจะเป็นค่ายไหน แต่ขอให้มาลงทุนตั้งโรงงานผลิต ใช้ซัพพลายเออร์ในไทย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศได้ประโยชน์”

บสย.ช่วยค้ำสินเชื่อคาดทิศทางดีขึ้น
ปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังทรงตัว สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ตลอดจนภาวะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้า ส่งผลให้โตโยต้าตั้งเป้าการส่งออกรถยนต์ไว้ 336,184 คัน ลดลง 1% เมื่อเทียบกับปี 2567 ส่วนการผลิตรถยนต์จะใกล้เคียงปีที่แล้วที่ 537,860 คัน
อย่างไรก็ตาม จากหนี้ภาคครัวเรือนสูง ไฟแนนซ์คุมเข้มสินเชื่อส่งผลถึงตลาดรถยนต์ไทย ซึ่ง 2 เดือนแรกของปี (ม.ค.-ก.พ.68) ยอดขายรวมลดลง10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่เชื่อว่าหลังจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาล สถานการณ์จะค่อยๆ เชิดหัวขึ้น คาดว่าตลาดรวมปีนี้จะถึง 6 แสนคัน ในส่วนโตโยต้า ตั้งเป้าหมายไว้ 2.3 แสนคัน รักษาส่วนแบ่งการตลาด 38.5%

ส่วนมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ โตโยต้าและ JCC หอการค้าญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้พูดคุยกับภาครัฐไว้หลายแนวทาง เช่นที่ประกาศไปแล้วคือ โครงการ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อให้กลุ่ม SMEs ที่ต้องการออกรถกระบะใหม่ ส่วนมาตรการอื่น ๆ คาดว่าจะได้เห็นเร็ว ๆ นี้



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่