(1) หาก Longlegs ผลงานเรื่องก่อนของผู้กำกับ ออสกูด เพอร์กินส์ (Osgood Perkins) ได้สร้างรอยร้าวเล็กๆ ไว้ จากความคาดหวังระดับขึ้นหิ้ง แต่ตัวภาพยนตร์ดันสวนทางกับความคาดหวังนั้นมากไปสักหน่อย การมาของ The Monkey ที่มาไวจนน่าประหลาดใจเหมือนสร้างมาพร้อมกันกับงานก่อนหน้า จึงช่วยไม่ได้ที่ผู้ชมจะคาดหวังให้มันเป็นการแก้ตัวจากงานก่อนหน้า

(2) หนำซ้ำยังมียอดฝีมือทั้ง “สตีเฟ่น คิง” (Stephen King) ราชานิยายระทึกขวัญระดับตำนานที่มาช่วยเขียนบทด้วย เพราะ The Monkey สร้างมาจากหนึ่งในเรื่องสั้นของเขา และ “เจมส์ วาน” (James Wan) ปรมาจารย์ด้านความสยองขวัญก็มานั่งแท่นเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้คาดหวังได้อย่างไร

(3) เมื่อดูจากหน้าหนังแล้ว The Monkey น่าจะแตกต่างจาก Longlegs อย่างสิ้นเชิง ทั้งโทนเรื่องที่เปลี่ยนจากซีเรียสจริงจังมาเป็นโบ๊ะบ๊ะหรรษา แต่ก็น่าจะมีไม้เด็ดซ่อนอยู่เป็นแน่ เพราะอย่างไรก็ตามผลงานก่อนหน้านี้ของเขามันไม่ได้แย่ระทมขนาดนั้น เพียงแต่มันอาจจะยังไม่ใช่รสชาติที่เข้าถึงได้ง่ายนัก ซึ่งแม้แต่ตัวของออสกูดเองก็ยังยอมรับว่า “แม้ผู้คนจะชอบ Longlegs แต่ผมยังคิดว่ามันยังมีบางอย่างที่ยากต่อการเข้าถึงในเนื้อหา” แต่กับ The Monkey เขาบอกว่า “นี่คือจานอาหารที่มีทุกอย่างที่ผู้ชมชอบ แล้วทุกคนก็แค่รับประทานมันไป หัวเราะและกรีดร้องไปด้วยกัน”

(4) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ The Monkey มอบเสียงหัวเราะและเสียงกรีดร้องจากการตายที่ทั้งคาดเดาไม่ได้และพิศดารอยู่ในระดับที่กลางๆ ซึ่งทั้งหมดถูกบิ้วอารมณ์ด้วยดนตรีประกอบสุดรื่นเริงผิดฝั่งผิดฝาตามความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการให้ความตายในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ “น่าสนุก” แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลกที่มันไม่ได้พาตัวภาพยนตร์ไปอยู่ในจุดที่ “มีของ” ได้เลย

(5) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะ “บทภาพยนตร์” ของออสกูด เพอร์กินส์ ที่แม้จะมีต้นทางมาจากเรื่องสั้นของสตีเฟน คิง แต่มันกลับ “กลวงโบ๋” อย่างน่าตกใจ ไม่มีจุดไหนของหนังเลยที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงพลังในการเล่าเรื่อง ทั้งที่มาของลิงอาถรรพ์(ซึ่งไม่มี) ความน่ากลัวในฐานะความตายที่คาดเดาไม่ได้ หรือความสัมพันธ์ของพ่อลูกกับการส่งทอดคำสาปที่ทำให้พวกเขาต้องห่างเหินกัน ทั้งหมดไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำเลย

(6) เมื่อต้องเลือกระหว่างน่ากลัวกับน่าขัน กลายเป็นว่า The Monkey เหมือนเหยียบเรือสองแควสุดท้ายก็ตกน้ำ อาจเป็นเพราะว่าสองสิ่งนี้เป็นทางแยกที่เข้ากันได้ยาก เพราะหากจะน่ากลัวก็จะไม่ขำ หรือขำก็จะไม่กลัว สุดท้ายกลายเป็นว่าไม่มีอารมณ์ใดเด่นชัดขึ้นมาในเรื่อง เมื่อบวกกับเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จมากๆ แล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ความบันเทิงได้ตามที่หวังไว้เลย

(7) ในต้นฉบับของ King นั้น ตุ๊กตาลิงต้องคำสาปจะตีฉาบแทน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านลิขสิทธิ์กับตัวละครใน Toy Story ที่มีการใช้เจ้าลิงตัวนี้ก่อนแล้ว ออสกูด เพอร์กินส์ จึงจำใจจะต้องเปลี่ยนให้เป็นการตีกลองแทน ตรงนี้เกิดปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอนเซปต์ของเรื่องอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหากการตีฉาบหนึ่งครั้งเท่ากับความตายต่อหนึ่งบุคคล มันเป็นแอคชั่นที่ดูเด็ดขาดและมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นการรัวกลองตามท้องเรื่อง แอคชั่นการรัวกล่องมันไม่ได้เฉียบขาด ซึ่งขัดกับจังหวะความตายที่เกิดขึ้นในพริบตา

(8) และก็น่าตลกตรงที่ตัวเรื่องพร่ำบอกเหลือเกินว่าเป้าหมายของลิงคำสาปนี้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่เราสามารถพูดได้เต็มปากแบบไม่ใช่การสปอยเลยว่าตัวละครหลักของเรื่องอย่างคู่แฝด บิลและฮาล จะอยู่รอดไปได้ถึงท้ายเรื่องแน่ๆ ตามหลักของการเป็น “ตัวเอก” (protagonist) เป็นสิ่งที่ชี้ชัดถึงความสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่องของออสกูด เพอร์กินส์ ว่าค่อนข้างไร้ชั้นเชิง จุดนี้หากเป็นผู้กำกับสายอินดี้สุดโต่งสักคน เราคงได้เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงแล้ว

(9) ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อและพบได้ตามภาพยนตร์สยองขวัญทั่วไป ถึงประเด็นเรื่องครอบครัวและบางสิ่งที่ติดค้างในใจ แต่กลายเป็นว่ามิติสำหรับเรื่องนี้ คือ ออสกูด เพอร์กินส์ ต้องการจะใช้มันเป็นภาพแทนระหว่างเขากับพ่อ ต้องอย่าลืมว่าพ่อของเขา คือ แอนโธนี เพอร์กินส์ ผู้รับบทเป็น “นอร์แมน เบทส์” ฆาตกรต่อเนื่องในภาพยนตร์ระทึกขวัญระดับตำนานอย่าง Psycho (1960) ความเป็นนอร์แมน เบทส์ เหมือนเป็นคำสาปบางอย่างจากตัวพ่อของเขาสู่ตัวเขาทำให้ต้องเดินทางในสายผู้กำกับหนังสยองขวัญ หนำซ้ำพ่อของเขายังจากไปเมื่อออสกูดอายุได้เพียง 5 ปี ทำให้เขาต้องโตมากับแม่เพียงลำพัง ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละครในเรื่องแบบเป๊ะๆ

(10) ในขณะที่แม่ของออสกูดเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ วินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 นี่ทำให้เขาตระหนักได้และใช้มันเป็นประเด็นหลักของเรื่องว่า ความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่และทุกเวลานั่นเอง ถามว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อรู้แล้วก็ไม่ได้ทำให้ตัวหนังสนุกขึ้นแต่อย่างใด และมันก็ซ้ำรอยกับใน Longlegs ที่ตัวผู้กำกับต้องมาอธิบายฉากจบเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจถึงแนวคิดของเขา และเราก็ต้องย้ำคำเดิมว่า มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเขาต้องมาอธิบายเรื่องพวกนี้อีกที แทนที่จะทำให้ผู้ชมเข้าใจมันขณะที่ชมภาพยนตร์

(11) การแสดงของนักแสดงเด็ก “คริสเตียน คอนเวอรี่” (Christian Convery) ค่อนข้างเฉิดฉายเพราะต้องรับบทเป็นสองคน คือฝาแฝดบิลและฮาลในวัยเด็ก ซึ่งส่งต่อบทบาทการแสดงให้ “ธีโอ เจมส์” (Theo James) รับช่วงต่อในวัยผู้ใหญ่ได้ดี แม้นี่จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด แต่หากจะบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดใน The Monkey แล้วก็ว่าได้ และไม่แน่ว่าตัวผู้กำกับออสกูด เพอร์กินส์ อาจจะกำลังเผชิญคำสาปอยู่ก็เป็นได้ ที่ทำให้หนังสองเรื่องล่าสุดของเขาออกมาดูน่าผิดหวังอย่างน่าตกใจ
Story Decoder
[รีวิว] The Monkey - ลิงต้องสาปที่บางทีอาจจะเผลอส่งคำสาปใส่ผู้กำกับก็เป็นได้
(2) หนำซ้ำยังมียอดฝีมือทั้ง “สตีเฟ่น คิง” (Stephen King) ราชานิยายระทึกขวัญระดับตำนานที่มาช่วยเขียนบทด้วย เพราะ The Monkey สร้างมาจากหนึ่งในเรื่องสั้นของเขา และ “เจมส์ วาน” (James Wan) ปรมาจารย์ด้านความสยองขวัญก็มานั่งแท่นเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้คาดหวังได้อย่างไร
(3) เมื่อดูจากหน้าหนังแล้ว The Monkey น่าจะแตกต่างจาก Longlegs อย่างสิ้นเชิง ทั้งโทนเรื่องที่เปลี่ยนจากซีเรียสจริงจังมาเป็นโบ๊ะบ๊ะหรรษา แต่ก็น่าจะมีไม้เด็ดซ่อนอยู่เป็นแน่ เพราะอย่างไรก็ตามผลงานก่อนหน้านี้ของเขามันไม่ได้แย่ระทมขนาดนั้น เพียงแต่มันอาจจะยังไม่ใช่รสชาติที่เข้าถึงได้ง่ายนัก ซึ่งแม้แต่ตัวของออสกูดเองก็ยังยอมรับว่า “แม้ผู้คนจะชอบ Longlegs แต่ผมยังคิดว่ามันยังมีบางอย่างที่ยากต่อการเข้าถึงในเนื้อหา” แต่กับ The Monkey เขาบอกว่า “นี่คือจานอาหารที่มีทุกอย่างที่ผู้ชมชอบ แล้วทุกคนก็แค่รับประทานมันไป หัวเราะและกรีดร้องไปด้วยกัน”
(4) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ The Monkey มอบเสียงหัวเราะและเสียงกรีดร้องจากการตายที่ทั้งคาดเดาไม่ได้และพิศดารอยู่ในระดับที่กลางๆ ซึ่งทั้งหมดถูกบิ้วอารมณ์ด้วยดนตรีประกอบสุดรื่นเริงผิดฝั่งผิดฝาตามความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการให้ความตายในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ “น่าสนุก” แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลกที่มันไม่ได้พาตัวภาพยนตร์ไปอยู่ในจุดที่ “มีของ” ได้เลย
(5) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะ “บทภาพยนตร์” ของออสกูด เพอร์กินส์ ที่แม้จะมีต้นทางมาจากเรื่องสั้นของสตีเฟน คิง แต่มันกลับ “กลวงโบ๋” อย่างน่าตกใจ ไม่มีจุดไหนของหนังเลยที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงพลังในการเล่าเรื่อง ทั้งที่มาของลิงอาถรรพ์(ซึ่งไม่มี) ความน่ากลัวในฐานะความตายที่คาดเดาไม่ได้ หรือความสัมพันธ์ของพ่อลูกกับการส่งทอดคำสาปที่ทำให้พวกเขาต้องห่างเหินกัน ทั้งหมดไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำเลย
(6) เมื่อต้องเลือกระหว่างน่ากลัวกับน่าขัน กลายเป็นว่า The Monkey เหมือนเหยียบเรือสองแควสุดท้ายก็ตกน้ำ อาจเป็นเพราะว่าสองสิ่งนี้เป็นทางแยกที่เข้ากันได้ยาก เพราะหากจะน่ากลัวก็จะไม่ขำ หรือขำก็จะไม่กลัว สุดท้ายกลายเป็นว่าไม่มีอารมณ์ใดเด่นชัดขึ้นมาในเรื่อง เมื่อบวกกับเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างเป็นสูตรสำเร็จมากๆ แล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ความบันเทิงได้ตามที่หวังไว้เลย
(7) ในต้นฉบับของ King นั้น ตุ๊กตาลิงต้องคำสาปจะตีฉาบแทน แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านลิขสิทธิ์กับตัวละครใน Toy Story ที่มีการใช้เจ้าลิงตัวนี้ก่อนแล้ว ออสกูด เพอร์กินส์ จึงจำใจจะต้องเปลี่ยนให้เป็นการตีกลองแทน ตรงนี้เกิดปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอนเซปต์ของเรื่องอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหากการตีฉาบหนึ่งครั้งเท่ากับความตายต่อหนึ่งบุคคล มันเป็นแอคชั่นที่ดูเด็ดขาดและมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นการรัวกลองตามท้องเรื่อง แอคชั่นการรัวกล่องมันไม่ได้เฉียบขาด ซึ่งขัดกับจังหวะความตายที่เกิดขึ้นในพริบตา
(8) และก็น่าตลกตรงที่ตัวเรื่องพร่ำบอกเหลือเกินว่าเป้าหมายของลิงคำสาปนี้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่เราสามารถพูดได้เต็มปากแบบไม่ใช่การสปอยเลยว่าตัวละครหลักของเรื่องอย่างคู่แฝด บิลและฮาล จะอยู่รอดไปได้ถึงท้ายเรื่องแน่ๆ ตามหลักของการเป็น “ตัวเอก” (protagonist) เป็นสิ่งที่ชี้ชัดถึงความสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่องของออสกูด เพอร์กินส์ ว่าค่อนข้างไร้ชั้นเชิง จุดนี้หากเป็นผู้กำกับสายอินดี้สุดโต่งสักคน เราคงได้เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงแล้ว
(9) ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องเป็นสิ่งที่แสนน่าเบื่อและพบได้ตามภาพยนตร์สยองขวัญทั่วไป ถึงประเด็นเรื่องครอบครัวและบางสิ่งที่ติดค้างในใจ แต่กลายเป็นว่ามิติสำหรับเรื่องนี้ คือ ออสกูด เพอร์กินส์ ต้องการจะใช้มันเป็นภาพแทนระหว่างเขากับพ่อ ต้องอย่าลืมว่าพ่อของเขา คือ แอนโธนี เพอร์กินส์ ผู้รับบทเป็น “นอร์แมน เบทส์” ฆาตกรต่อเนื่องในภาพยนตร์ระทึกขวัญระดับตำนานอย่าง Psycho (1960) ความเป็นนอร์แมน เบทส์ เหมือนเป็นคำสาปบางอย่างจากตัวพ่อของเขาสู่ตัวเขาทำให้ต้องเดินทางในสายผู้กำกับหนังสยองขวัญ หนำซ้ำพ่อของเขายังจากไปเมื่อออสกูดอายุได้เพียง 5 ปี ทำให้เขาต้องโตมากับแม่เพียงลำพัง ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละครในเรื่องแบบเป๊ะๆ
(10) ในขณะที่แม่ของออสกูดเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ วินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 นี่ทำให้เขาตระหนักได้และใช้มันเป็นประเด็นหลักของเรื่องว่า ความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่และทุกเวลานั่นเอง ถามว่าสิ่งเหล่านี้เมื่อรู้แล้วก็ไม่ได้ทำให้ตัวหนังสนุกขึ้นแต่อย่างใด และมันก็ซ้ำรอยกับใน Longlegs ที่ตัวผู้กำกับต้องมาอธิบายฉากจบเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจถึงแนวคิดของเขา และเราก็ต้องย้ำคำเดิมว่า มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเขาต้องมาอธิบายเรื่องพวกนี้อีกที แทนที่จะทำให้ผู้ชมเข้าใจมันขณะที่ชมภาพยนตร์
(11) การแสดงของนักแสดงเด็ก “คริสเตียน คอนเวอรี่” (Christian Convery) ค่อนข้างเฉิดฉายเพราะต้องรับบทเป็นสองคน คือฝาแฝดบิลและฮาลในวัยเด็ก ซึ่งส่งต่อบทบาทการแสดงให้ “ธีโอ เจมส์” (Theo James) รับช่วงต่อในวัยผู้ใหญ่ได้ดี แม้นี่จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด แต่หากจะบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดใน The Monkey แล้วก็ว่าได้ และไม่แน่ว่าตัวผู้กำกับออสกูด เพอร์กินส์ อาจจะกำลังเผชิญคำสาปอยู่ก็เป็นได้ ที่ทำให้หนังสองเรื่องล่าสุดของเขาออกมาดูน่าผิดหวังอย่างน่าตกใจ
Story Decoder