เรื่องมีอยู่ว่าพ่อได้ให้คนเช่าที่ดินผืนนี้ที่ชื่อเจ้าของที่ดินคือพ่อของผม
แต่ไม่ได้มีการเซ็นสัญญา โดยตกลงกันปากเปล่าว่าจะจ่ายค่าเช่าเป็นจำนวนเงิน XXXX บาท/เดือน
ช่วง 3-4 ปีแรกก็จ่ายตรงปกติ มีแอบเลทบ้าง กลางเดือนปลายเดือน แต่ก็จ่ายในเดือนนั้นตลอด
แต่ช่วงปี 2565 ด้วยความชราภาพ ท่านเลยไม่ได้ไปตามผู้เช่ารายนี้
ปรากฎว่า ผู้เช่ารายนี้ก็ไม่ได้มาจ่ายเลย ผมเห็นแล้วว่าพ่อผมน่าจะไม่มีศักยภาพแล้ว
ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปตามค่าเช่าของผู้เช่ารายนี้ให้
และช่วงปลายปี 2566 ประมาณเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ผมก็เริ่มที่จะไปตามค่าเช่าผู้เช่ารายนี้แทน
ก็ตามได้เงินบ้างไม่ได้เงินบ้าง เพราะ ก็ถือว่าไม่ได้ลำบากขับรถจากบ้านไปบ้านของผู้เช่าก็ไม่เกิน 15 นาทีก็ถึงแล้ว
และผู้เช่าจ่ายค่าเช่าครั้งสุดท้ายคือเดือนพฤษภาคม 2567 หลังจากนั้นผู้เช่าก็หายออกจากบ้านไปเลย
สอบถามจากคนที่อยู่บ้านเดียวกันบอกว่าจะออกจากบ้านตั้งแต่เช่าตี 5 และกลับบ้านตอนดึก 4 ทุ่ม
นั่นคือผมไปตามที่บ้านโดยตลอดยังไงก็ไม่มีทางเจอ
จนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2568 ผู้เช่ารายนี้ก็ได้บอกว่าตอนนี้กลับมาอยู่บ้านแล้ว
ไม่มีธุระได้ออกไปไหนบ่อยเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่มีค่าเช่าให้ ขอผลัดไปเรื่อย
ผมได้พูดคุยกับพ่อผมว่า เราน่าจะปรึกษาทนายใช้วิธีทางกฎหมายไล่ผู้เช่ารายนี้ออกได้แล้ว
แต่พ่อของผมท่านก็บอกว่าขอให้วิธีทางกฎหมายเป็นวิธีสุดท้าย
คือ ท่านไม่อยากจะให้เรื่องไปถึงศาล เพราะ ด้วยนิสัยของท่านเองแหละ คนแก่หัวโบราณไม่รู้กฎหมาย
การที่ต้องขึ้นศาลนี่ถึงตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่ขึ้นชื่อว่าศาลก็กลัวนั่นแหละ
ทีนี้ผมเคยได้ยินมาว่า หากผู้อื่นเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินครบ 10 ปี อย่างเปิดเผย โดยคนอื่นรับรู้
จะสามารถครอบครองปรปักษ์ที่ดินเป็นของตัวเองได้
ซึ่งข้อนี้พ่อผมก็รู้ แต่นั่นแหละ กลัว ผมก็จนปัญญาจะช่วย ว่าตามตรงปล่อยไปผู้เช่ารายนี้ก็ไม่น่าจะจ่ายเงินอยู่ดี
ผมเลยอยากจะปรึกษาว่า หากผมยังไปตามหนี้กับผู้เช่ารายนี้โดยตลอด แม้จะไม่ได้เงินค่าเช่าก็ตาม
จนครบ 10 ปี มันจะเข้าเงื่อนไขครอบครองปรปักษ์ไหม
เพราะ ยังไงผมก็ตามเรื่อยๆ อย่างน้อยก็เดือนละ 1-2 ครั้ง โดยเฉลี่ย เดินไปพูดคุยกับผู้เช่าโดยตลอด
และอยากถามเพิ่มเติมว่า
1.กรณีไม่ได้ทำสัญญาเช่าตั้งแต่เริ่ม แต่มีบิลเงินสดที่เขียนว่ามีการจ่ายเงินค่าเช่าและหลักฐานการโอนเงินช่วงปี 2562 - 2564 และบางส่วนที่จ่ายช่วงปี 2566-2567 จะถือเป็นหลักฐานในการสู้คดีได้ไหมว่า คนผู้นี้ไม่ได้ครอบครองปรปักษ์แต่มีการจ่ายค่าเช่ามาโดยตลอดช่วงปีดังกล่าว
2.สมมติว่าปี 2568-2578 ผู้เช่าไม่จ่ายค่าเช่าเลย แต่ผมไปตามกับผู้เช่ารายนี้อยู่เรื่อยๆ โดยตลอด สามารถใช้อ้างกับศาลได้ไหม ว่าผมไม่ได้ปล่อยปละละเลย แต่ช่วยเป็นธุระตามค่าเช่าให้พ่อมาโดยตลอด 10 ปี จึงไม่สามารถครอบครองปรปักษ์ได้
ว่าตามตรงผมรอพ่อผมเสียชีวิตนั่นแหละอาจจะ 20 ปีข้างหน้า ก็ตั้งใจว่าจะตามด้วยตัวเองเรื่อยๆ ได้ไม่ได้เงินก็ช่าง รอให้ที่ดินผืนนี้เป็นของผมแล้วผมจะดำเนินการขับไล่ตามกฎหมายแทนพ่อผมที่ไม่กล้ากลัวการขึ้นศาลนั่นแหละ
อยากสอบถามเกี่ยวกับการครอบครองปรปักษ์
แต่ไม่ได้มีการเซ็นสัญญา โดยตกลงกันปากเปล่าว่าจะจ่ายค่าเช่าเป็นจำนวนเงิน XXXX บาท/เดือน
ช่วง 3-4 ปีแรกก็จ่ายตรงปกติ มีแอบเลทบ้าง กลางเดือนปลายเดือน แต่ก็จ่ายในเดือนนั้นตลอด
แต่ช่วงปี 2565 ด้วยความชราภาพ ท่านเลยไม่ได้ไปตามผู้เช่ารายนี้
ปรากฎว่า ผู้เช่ารายนี้ก็ไม่ได้มาจ่ายเลย ผมเห็นแล้วว่าพ่อผมน่าจะไม่มีศักยภาพแล้ว
ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปตามค่าเช่าของผู้เช่ารายนี้ให้
และช่วงปลายปี 2566 ประมาณเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ผมก็เริ่มที่จะไปตามค่าเช่าผู้เช่ารายนี้แทน
ก็ตามได้เงินบ้างไม่ได้เงินบ้าง เพราะ ก็ถือว่าไม่ได้ลำบากขับรถจากบ้านไปบ้านของผู้เช่าก็ไม่เกิน 15 นาทีก็ถึงแล้ว
และผู้เช่าจ่ายค่าเช่าครั้งสุดท้ายคือเดือนพฤษภาคม 2567 หลังจากนั้นผู้เช่าก็หายออกจากบ้านไปเลย
สอบถามจากคนที่อยู่บ้านเดียวกันบอกว่าจะออกจากบ้านตั้งแต่เช่าตี 5 และกลับบ้านตอนดึก 4 ทุ่ม
นั่นคือผมไปตามที่บ้านโดยตลอดยังไงก็ไม่มีทางเจอ
จนเมื่อ กุมภาพันธ์ 2568 ผู้เช่ารายนี้ก็ได้บอกว่าตอนนี้กลับมาอยู่บ้านแล้ว
ไม่มีธุระได้ออกไปไหนบ่อยเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่มีค่าเช่าให้ ขอผลัดไปเรื่อย
ผมได้พูดคุยกับพ่อผมว่า เราน่าจะปรึกษาทนายใช้วิธีทางกฎหมายไล่ผู้เช่ารายนี้ออกได้แล้ว
แต่พ่อของผมท่านก็บอกว่าขอให้วิธีทางกฎหมายเป็นวิธีสุดท้าย
คือ ท่านไม่อยากจะให้เรื่องไปถึงศาล เพราะ ด้วยนิสัยของท่านเองแหละ คนแก่หัวโบราณไม่รู้กฎหมาย
การที่ต้องขึ้นศาลนี่ถึงตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่ขึ้นชื่อว่าศาลก็กลัวนั่นแหละ
ทีนี้ผมเคยได้ยินมาว่า หากผู้อื่นเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินครบ 10 ปี อย่างเปิดเผย โดยคนอื่นรับรู้
จะสามารถครอบครองปรปักษ์ที่ดินเป็นของตัวเองได้
ซึ่งข้อนี้พ่อผมก็รู้ แต่นั่นแหละ กลัว ผมก็จนปัญญาจะช่วย ว่าตามตรงปล่อยไปผู้เช่ารายนี้ก็ไม่น่าจะจ่ายเงินอยู่ดี
ผมเลยอยากจะปรึกษาว่า หากผมยังไปตามหนี้กับผู้เช่ารายนี้โดยตลอด แม้จะไม่ได้เงินค่าเช่าก็ตาม
จนครบ 10 ปี มันจะเข้าเงื่อนไขครอบครองปรปักษ์ไหม
เพราะ ยังไงผมก็ตามเรื่อยๆ อย่างน้อยก็เดือนละ 1-2 ครั้ง โดยเฉลี่ย เดินไปพูดคุยกับผู้เช่าโดยตลอด
และอยากถามเพิ่มเติมว่า
1.กรณีไม่ได้ทำสัญญาเช่าตั้งแต่เริ่ม แต่มีบิลเงินสดที่เขียนว่ามีการจ่ายเงินค่าเช่าและหลักฐานการโอนเงินช่วงปี 2562 - 2564 และบางส่วนที่จ่ายช่วงปี 2566-2567 จะถือเป็นหลักฐานในการสู้คดีได้ไหมว่า คนผู้นี้ไม่ได้ครอบครองปรปักษ์แต่มีการจ่ายค่าเช่ามาโดยตลอดช่วงปีดังกล่าว
2.สมมติว่าปี 2568-2578 ผู้เช่าไม่จ่ายค่าเช่าเลย แต่ผมไปตามกับผู้เช่ารายนี้อยู่เรื่อยๆ โดยตลอด สามารถใช้อ้างกับศาลได้ไหม ว่าผมไม่ได้ปล่อยปละละเลย แต่ช่วยเป็นธุระตามค่าเช่าให้พ่อมาโดยตลอด 10 ปี จึงไม่สามารถครอบครองปรปักษ์ได้
ว่าตามตรงผมรอพ่อผมเสียชีวิตนั่นแหละอาจจะ 20 ปีข้างหน้า ก็ตั้งใจว่าจะตามด้วยตัวเองเรื่อยๆ ได้ไม่ได้เงินก็ช่าง รอให้ที่ดินผืนนี้เป็นของผมแล้วผมจะดำเนินการขับไล่ตามกฎหมายแทนพ่อผมที่ไม่กล้ากลัวการขึ้นศาลนั่นแหละ