รีวิวภาพยนตร์ "Django Unchained" (2012) – การล่าทาส ล้างแค้นอย่างมีสไตล์ ฉบับเควนติน ทารันติโน่



คะแนน IMDb ปัจจุบัน: 8.5/10
ผู้กำกับ: Quentin Tarantino
นำแสดงโดย: Jamie Foxx, Christoph Waltz, Leonardo DiCaprio, Kerry Washington, Samuel L. Jackson

🎬 เรื่องย่อ
"Django Unchained" เป็นภาพยนตร์แอ็กชัน-ดราม่าตะวันตกสุดระห่ำ ผลงานของผู้กำกับเจ้าพ่อหนังเลือดสาด Quentin Tarantino ที่มีเอกลักษณ์ทั้งสไตล์และบทสนทนาที่แสบสัน
เรื่องราวเริ่มขึ้นในอเมริกาช่วงก่อนสงครามกลางเมือง เมื่อ Django (Jamie Foxx) ทาสผิวดำผู้ถูกพรากจากคนรัก ได้รับการปลดปล่อยจากนักล่าค่าหัวชาวเยอรมัน Dr. King Schultz (Christoph Waltz) ซึ่งกำลังตามล่าคนร้ายและต้องการความช่วยเหลือจาก Django เพราะเขารู้จักหน้าเป้าหมาย
จากการร่วมมือกันล่าค่าหัว Django ได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้และกลายเป็น “คาวบอยผู้ปลดแอก” ที่ออกเดินทางเพื่อตามหาภรรยาของเขา Broomhilda (Kerry Washington) ที่ถูกขายไปยังไร่ของมหาเศรษฐีจอมโหด Calvin Candie (Leonardo DiCaprio) ผู้เป็นเจ้าของไร่ "Candyland" อันแสนวิปริต
เมื่อการลอบเข้าไปในถิ่นของ Candie กลายเป็นเกมหลอกลวงที่มีชีวิตของคนรักเป็นเดิมพัน Django จึงต้องเปลี่ยนจาก “ทาส” กลายเป็น “นักล่า” อย่างเต็มตัว

🔫 รีวิวหลังรับชม
จุดเด่นของภาพยนตร์
บทภาพยนตร์ที่ทั้งดิบ เผ็ด และมีชั้นเชิง
ทารันติโน่เขียนบทที่เต็มไปด้วย อารมณ์ขันเสียดสี ความรุนแรงแบบโหดแต่สไตล์ และการสะท้อนสังคมยุคทาสได้แบบเจ็บ ๆ คัน ๆ
การแสดงที่ทรงพลังทุกคน ทุกบท
Jamie Foxx ถ่ายทอด Django ได้อย่างเท่และทรงพลัง เป็นฮีโร่ที่ผู้ชมเอาใจช่วยทุกวินาที
Christoph Waltz คว้าออสการ์จากบท Dr. Schultz ที่ฉลาด ใจดี แต่เด็ดขาด
Leonardo DiCaprio ทำให้คนดู "เกลียด" Calvin Candie ได้แบบสุดใจ ด้วยพลังร้ายล้ำและเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าขนลุก
Samuel L. Jackson ในบททาสแก่ Stephen ที่ลึกและร้ายพอ ๆ กับนายของเขา
ซีนยิงกันแบบจัดหนัก ทะลุทะลวง สไตล์ Tarantino
ฉากแอ็กชันเป็นอะไรที่ “โคตรสะใจ” โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่องที่เป็น คาวบอยบู๊เลือดสาดสุดคลาสสิก ที่เต็มไปด้วยพลังสะท้อนอารมณ์
ดนตรีประกอบเท่บาดใจ ผสมคลาสสิกกับฮิปฮอปได้อย่างลงตัว
เพลงในเรื่องตั้งแต่ Ennio Morricone จนถึง Rick Ross บอกเลยว่า “โคตรมีสไตล์”

จุดที่อาจเป็นข้อเสีย
ความรุนแรงสูงและใช้คำเหยียดผิวอย่างไม่กรอง
ด้วยความที่หนังพูดถึงยุคทาสแบบตรงไปตรงมา คำพูดและฉากหลายฉากอาจรุนแรงเกินไปสำหรับบางคน
ความยาวของหนัง (เกือบ 3 ชั่วโมง)
ด้วยความที่บทพูดเยอะและเดินเรื่องหลายชั้น อาจทำให้บางคนรู้สึก "เนือย" ในช่วงกลาง

🏆 สรุป
"Django Unchained" ไม่ใช่แค่หนังล้างแค้น แต่มันคือ บทกวีแห่งการปลดปล่อยอันดุดัน สนุก และทรงพลัง ที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญในการเล่าเรื่อง การวิพากษ์ระบบทาสอย่างเจ็บแสบ และการสร้าง “ฮีโร่ผิวดำ” ที่ผู้ชมจดจำไม่ลืม
ใครชอบหนัง Tarantino, ชอบคาวบอย, ชอบหนังแสบ ๆ มีเลือด มีดราม่า มีความเท่ – ห้ามพลาดเด็ดขาด
คะแนน: 9.0/10 ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่