คราวนี้ขอเปลี่ยนอารมณ์มาเขียนแชร์เป็นข้อๆดูบ้างนะครับ...
1. จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่นี่คือ(หรืออย่างน้อยก็อาจจะเป็น)หนังที่ตลกที่สุดของผกก. Quentin Tarantino นับตั้งแต่ Pulp Fiction
หลายฉากฮาจริง ฮาเอาตาย โชว์อารมณ์ขันร้ายๆสไตล์ Tarantino ได้อย่างถึงใจ
2. ชอยส์ดนตรีของ Tarantino ยังคงความเจ๋งป๊าปเหมือนทุกๆครั้ง ส่วนตัวแล้วชอบการเลือกใช้สกอร์เพลงประกอบหนังคาวบอยเก่าๆของ Ennio Morricone ในหนังมาก ยิ่งการใช้เพลงเปิดของหนัง Django ต้นฉบับปีค.ศ. 1966 มาเปิดหนัง Django Unchained ในสไตล์เดียวกัน...เท่โคตร
3. ฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีเยอะ(แต่ถ้าเทียบตามมาตรฐานหนัง Tarantino โดยมี Kill Bill: Vol. 1 เป็นข้อยกเว้นแล้วก็ถือว่าเยอะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน) แต่ทุกครั้งที่มี รับรองว่าคนดูจะได้ฟินเลือดกันอย่างแน่นอน เพราะเวลายิงกันที(ซึ่งก็ไม่ได้ยิงกันแค่นัดสองนัด ยิ่งฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง)น้ำแดงสาดกระจายอย่างกับอะไรดี
4. สำหรับคนทำหนังที่หลายๆครั้งออกแนวทีเล่นทีจริงอย่างเขา ต้องยอมรับเลยว่า Tarantino สามารถถ่ายทอดอเมริกาสมัยที่ยังมีการค้าทาสออกมาได้อย่างสมจริงไม่แพ้หนังดราม่าที่ว่าด้วยการค้าทาสอย่าง Amistad ของ Spielberg เลย
ประเด็นเกี่ยวกับการค้าทาสเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในความรู้สึกของคนอเมริกันมาก ในแง่หนึ่งแล้วนั่นจึงทำให้ไอ้เด็กดื้อแห่งฮอลลีวู้ดอย่าง Tarantino เป็นคนที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับการจับประเด็นละเอียดอ่อนแบบนี้มาเล่น(ซะงั้น)
5. หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่มีการแบ่งเล่าเนื้อเรื่องของตัวเองออกเป็นตอนๆ (chapter) แบบที่หนังเรื่องก่อนๆของ Tarantino มักจะทำ ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดีสำหรับคนที่ติดตามหนังของ QT มาตลอดอย่างผม
6. เป็นอีกครั้งที่ Tarantino สามารถดึงการแสดงชั้นยอดออกมาจากนักแสดงของเขาเพราะองค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดของหนังเรื่องนี้นั้นก็คือนักแสดงที่เล่นดีเข้าขั้นดีมากกกกกกกกกกกกกันทุกคน เรียกได้ว่าจับมือกันมาท็อปฟอร์มเลยทีเดียว
Jamie Foxx เท่ๆสุดๆกับมาดนิ่งๆขรึมๆในบท Django
ใครที่ยังหลอนกับความเป็น"มีดโกนอาบน้ำผึ้ง" เฉือดเฉือนกันนิ่มๆด้วยรอยยิ้มของ Christoph Waltz แบบคราว Inglorious Basterds ล่ะก็ คราวนี้หายห่วงได้เลยเพราะตัวละครของเฮีย Waltz ในหนังเรื่องนี้เป็นคนดีมาก ถึงแม้ว่าเสน่ห์ออกแนวยิ้มๆเจ้าเล่ห์ๆในแบบของแกก็ยังไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ตัดความหลอนแบบใน Inglorious Basterds ทิ้งไปแล้วเพิ่มความฮา น่ารักแบบแปลกๆเข้าไปแทน ตัวละคร Dr. King Schultz ของแกในหนังเรื่องนี้เปรียบได้กับเป็นอาจารย์/พี่ชายของ Django และเคมีของ Foxx กับ Waltz ก็เข้ากันได้ดีมาก
ส่วนใครที่เบื่อกับการเห็น Leonardo DiCapario ทำหน้านิ่ว ตะโกนโหวกเหวกในบทพระเอกแล้วล่ะก็ ก็หายห่วงเรื่องนี้ได้อีกเหมือนกัน เพราะพี่แกเปลี่ยนมาตะโกนโหวกเหวกในบทตัวร้ายแทน XD ก็เป็นการแสดงเป็นตัวร้ายที่หลอนดี โรคจิตแบบยิ้มๆ โดยมีฉากที่ Candie ขู่จะทุบหัวเมีย Django ด้วยค้อนเป็นไฮไลท์โชว์พลังการแสดงของพี่แกในหนัง ถึงส่วนตัวแล้วจะยังคิดว่าบท Calvin Candie ของพี่แกเป็นตัวร้ายที่ยังไม่น่าจดจำเท่า Bill ใน Kill Bill, COL. Hans Landa ใน Inglorious Basterds ก็ตาม แต่ถึงจะยังไม่น่าจดจำในระดับเดียวกันก็ยังถือว่ามีความน่าจดจำในระดับหนึ่งอยู่(เพราะยังไงๆนี่ก็คือตัวร้ายในหนังของ Tarantino ที่รับบทโดยพ่อหน้าใส DiCaprio) โดยรวมแล้วก็เป็นตัวร้ายที่ดี(เลว)ใช้ได้ ดูเรื่องนี้แล้วก็อยากเห็นพี่แกรับเล่นเป็นตัวร้ายอีกบ่อยๆ
Samuel L. Jackson ในบทพ่อบ้าน/มือขวาของ Candie ก็เป็นอีกหนึ่งบทแย่งซีนที่ทุกคนจะจดจำได้หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ เป็นการแสดงที่ผสานความฮาเข้ากับความน่ารังเกียจได้อย่างลงตัว
7. ความประทับใจส่วนตัว ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงที่ L.A. แล้วชอบรีแอ็คชั่นของคนดูชาวอเมริกันจัง มีหัวเราะ มีวู้วๆฮี้วๆ ให้ความรู้สึกเป็นกันเองอย่างกับดูหนังกลางแปลง แถมตอนจบของหนังมีคนลุกขึ้นปรบมืออีก(ผมเองก็พลอยตบไปกับเขาด้วย) ฟินมาก
สรุป...เข้าไทยเมื่อไหร่ห้ามพลาด จบ...
ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้
8.5/10 ครับ...
ป.ล. ลำดับหนังของ QT ที่ผมชอบมากที่สุด...
Pulp Fiction > Reservoir Dogs > Inglorious Basterds = Django Unchained > Kill Bill: Vol. 2 > Kill Bill: Vol. 1 >>>>>> Death Proof
Django Unchained ...[แชร์ความรู้สึกหลังดูที่อเมริกา]คาวบอยสปาเก็ตตี้จานนี้...ถึงเครื่องทั้งความโหด,มัน,ฮา
คราวนี้ขอเปลี่ยนอารมณ์มาเขียนแชร์เป็นข้อๆดูบ้างนะครับ...
1. จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่นี่คือ(หรืออย่างน้อยก็อาจจะเป็น)หนังที่ตลกที่สุดของผกก. Quentin Tarantino นับตั้งแต่ Pulp Fiction
หลายฉากฮาจริง ฮาเอาตาย โชว์อารมณ์ขันร้ายๆสไตล์ Tarantino ได้อย่างถึงใจ
2. ชอยส์ดนตรีของ Tarantino ยังคงความเจ๋งป๊าปเหมือนทุกๆครั้ง ส่วนตัวแล้วชอบการเลือกใช้สกอร์เพลงประกอบหนังคาวบอยเก่าๆของ Ennio Morricone ในหนังมาก ยิ่งการใช้เพลงเปิดของหนัง Django ต้นฉบับปีค.ศ. 1966 มาเปิดหนัง Django Unchained ในสไตล์เดียวกัน...เท่โคตร
3. ฉากแอ็คชั่นในหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีเยอะ(แต่ถ้าเทียบตามมาตรฐานหนัง Tarantino โดยมี Kill Bill: Vol. 1 เป็นข้อยกเว้นแล้วก็ถือว่าเยอะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน) แต่ทุกครั้งที่มี รับรองว่าคนดูจะได้ฟินเลือดกันอย่างแน่นอน เพราะเวลายิงกันที(ซึ่งก็ไม่ได้ยิงกันแค่นัดสองนัด ยิ่งฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง)น้ำแดงสาดกระจายอย่างกับอะไรดี
4. สำหรับคนทำหนังที่หลายๆครั้งออกแนวทีเล่นทีจริงอย่างเขา ต้องยอมรับเลยว่า Tarantino สามารถถ่ายทอดอเมริกาสมัยที่ยังมีการค้าทาสออกมาได้อย่างสมจริงไม่แพ้หนังดราม่าที่ว่าด้วยการค้าทาสอย่าง Amistad ของ Spielberg เลย
ประเด็นเกี่ยวกับการค้าทาสเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในความรู้สึกของคนอเมริกันมาก ในแง่หนึ่งแล้วนั่นจึงทำให้ไอ้เด็กดื้อแห่งฮอลลีวู้ดอย่าง Tarantino เป็นคนที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับการจับประเด็นละเอียดอ่อนแบบนี้มาเล่น(ซะงั้น)
5. หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ไม่มีการแบ่งเล่าเนื้อเรื่องของตัวเองออกเป็นตอนๆ (chapter) แบบที่หนังเรื่องก่อนๆของ Tarantino มักจะทำ ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดีสำหรับคนที่ติดตามหนังของ QT มาตลอดอย่างผม
6. เป็นอีกครั้งที่ Tarantino สามารถดึงการแสดงชั้นยอดออกมาจากนักแสดงของเขาเพราะองค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดของหนังเรื่องนี้นั้นก็คือนักแสดงที่เล่นดีเข้าขั้นดีมากกกกกกกกกกกกกันทุกคน เรียกได้ว่าจับมือกันมาท็อปฟอร์มเลยทีเดียว
Jamie Foxx เท่ๆสุดๆกับมาดนิ่งๆขรึมๆในบท Django
ใครที่ยังหลอนกับความเป็น"มีดโกนอาบน้ำผึ้ง" เฉือดเฉือนกันนิ่มๆด้วยรอยยิ้มของ Christoph Waltz แบบคราว Inglorious Basterds ล่ะก็ คราวนี้หายห่วงได้เลยเพราะตัวละครของเฮีย Waltz ในหนังเรื่องนี้เป็นคนดีมาก ถึงแม้ว่าเสน่ห์ออกแนวยิ้มๆเจ้าเล่ห์ๆในแบบของแกก็ยังไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ตัดความหลอนแบบใน Inglorious Basterds ทิ้งไปแล้วเพิ่มความฮา น่ารักแบบแปลกๆเข้าไปแทน ตัวละคร Dr. King Schultz ของแกในหนังเรื่องนี้เปรียบได้กับเป็นอาจารย์/พี่ชายของ Django และเคมีของ Foxx กับ Waltz ก็เข้ากันได้ดีมาก
ส่วนใครที่เบื่อกับการเห็น Leonardo DiCapario ทำหน้านิ่ว ตะโกนโหวกเหวกในบทพระเอกแล้วล่ะก็ ก็หายห่วงเรื่องนี้ได้อีกเหมือนกัน เพราะพี่แกเปลี่ยนมาตะโกนโหวกเหวกในบทตัวร้ายแทน XD ก็เป็นการแสดงเป็นตัวร้ายที่หลอนดี โรคจิตแบบยิ้มๆ โดยมีฉากที่ Candie ขู่จะทุบหัวเมีย Django ด้วยค้อนเป็นไฮไลท์โชว์พลังการแสดงของพี่แกในหนัง ถึงส่วนตัวแล้วจะยังคิดว่าบท Calvin Candie ของพี่แกเป็นตัวร้ายที่ยังไม่น่าจดจำเท่า Bill ใน Kill Bill, COL. Hans Landa ใน Inglorious Basterds ก็ตาม แต่ถึงจะยังไม่น่าจดจำในระดับเดียวกันก็ยังถือว่ามีความน่าจดจำในระดับหนึ่งอยู่(เพราะยังไงๆนี่ก็คือตัวร้ายในหนังของ Tarantino ที่รับบทโดยพ่อหน้าใส DiCaprio) โดยรวมแล้วก็เป็นตัวร้ายที่ดี(เลว)ใช้ได้ ดูเรื่องนี้แล้วก็อยากเห็นพี่แกรับเล่นเป็นตัวร้ายอีกบ่อยๆ
Samuel L. Jackson ในบทพ่อบ้าน/มือขวาของ Candie ก็เป็นอีกหนึ่งบทแย่งซีนที่ทุกคนจะจดจำได้หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ เป็นการแสดงที่ผสานความฮาเข้ากับความน่ารังเกียจได้อย่างลงตัว
7. ความประทับใจส่วนตัว ได้ดูหนังเรื่องนี้ที่โรงที่ L.A. แล้วชอบรีแอ็คชั่นของคนดูชาวอเมริกันจัง มีหัวเราะ มีวู้วๆฮี้วๆ ให้ความรู้สึกเป็นกันเองอย่างกับดูหนังกลางแปลง แถมตอนจบของหนังมีคนลุกขึ้นปรบมืออีก(ผมเองก็พลอยตบไปกับเขาด้วย) ฟินมาก
สรุป...เข้าไทยเมื่อไหร่ห้ามพลาด จบ...
ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 8.5/10 ครับ...
ป.ล. ลำดับหนังของ QT ที่ผมชอบมากที่สุด...
Pulp Fiction > Reservoir Dogs > Inglorious Basterds = Django Unchained > Kill Bill: Vol. 2 > Kill Bill: Vol. 1 >>>>>> Death Proof