[รีวิว] A Complete Unknown - ชีวิตของชายจากนิรนามสู่บ็อบ ดีแลน ก่อนจะพลิกโลกดนตรีของอเมริกา

(1) A Complete Unknown อาจจะเป็นภาพยนตร์แนวชีวประวัติที่ดูง่าย ดูสบายเป็นอันดับต้นๆ แล้ว ต่างจากหนังในประเภทเดียวกันที่มักนำเสนอประเด็นที่หนักหน่วงของช่วงชีวิต ปัญหาครอบครัวหรือสภาพจิตใจที่เป็นผลมาจากการต้องแบกรับสิ่งยิ่งใหญ่ หรือหากเป็นศิลปินก็จะมีราคาที่ต้องจ่ายของการเป็นคนประสบความสำเร็จ(ดั่งสัญญากับซาตาน) ทำให้ชีวิตเหลวแหลก บ้างก็หันหน้าเข้ายาเสพติดหรือละทิ้งหน้าที่การงานไปจนเสียชื่อเสียงไป แต่สำหรับ “บ็อบ ดีแลน” (Timothée Chalamet) นั้นดูเหมือนว่าเส้นทางของเขาจะราบเรียบโรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเส้นทาง

(2) ภาพยนตร์เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1961 เมื่อบ็อบ ดีแลน เดินทางมาที่นิวยอร์คเพื่อพบกับ “วูดดี กัทรี” (Scoot McNairy) นักร้องที่เขานับถือเป็นไอดอล ที่กำลังป่วยเป็นโรค Huntington’s disease จนสูญเสียความสามารถในการพูด ซึ่งนั่นทำให้เขาได้พบกับ “พีท ซีเกอร์” (Edward Norton) นักดนตรีโฟล์ครุ่นพี่ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นศิลปินคนแรกที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของดีแลนอย่างมาก และก็ทำให้เขาได้รู้จักและร่วมงานกับ “โจน ไบซ์” (Monica Barbaro) ราชินีคันทรีเสียงสวรรค์ จากนั้นชื่อเสียงของดีแลนก็โตวันโตคืน

“พีท ซีเกอร์” (Edward Norton)
“โจน ไบซ์” (Monica Barbaro)

(3) ผู้กำกับ “เจมส์ แมนโกลด์” (James Mangold) ใช้โทนการเล่าเรื่องที่มีอารมณ์ไม่ต่างจากโฟล์คที่บ็อบเล่นเกือบทั้งเรื่อง คือมันมีความนุ่มละมุนเหมือนเสียงกีต้าร์โปร่ง เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่รีบร้อน แต่ไม่ยืดยาดจนเกินไป ในขณะเดียวกันก็มีสภาพสังคมและการเมืองสอดแทรกอยู่ไม่ขาด โดยรวมแล้วมันคือภาพของอเมริกาในยุค 60-70 ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าโหยหาและรื่นเริงดั่งเสียงฮาโมนิก้าที่แทรกมาในบทเพลงขอบบ็อบอันเป็นเอกลักษณ์ แถมด้วยเสียงเพลงผลงานของบ็อบเองที่ใช้สร้างไดนามิกให้เรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม

(4) แม้ฉากหน้าของหนังจะเป็นการตามติดชีวิตของบ็อบ ดีแลน เพื่อเฝ้าดูพัฒนาการของเขา แต่ฉากกลางนั้นตัวหนังเล่าเรื่องราวของการปะทะกันระหว่างดนตรีแบบอนุรักษ์นิยมและดนตรีแบบประยุกต์ ที่แบ่งกันอย่างชัดเจนระหว่างกีต้าร์โปร่งและกีต้าร์ไฟฟ้า ซึ่งเรารู้กันดีว่าตัวของบ็อบ ดีแลน มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ โดยเล่าล้อไปกับฉากหลังที่เป็นเรื่องราวของเหตุการณ์ความขัดแย้งของโลกในช่วงเวลานั้น ที่ยังอยู่ในช่วงสงครามเย็น มีการหลั่งไหลเข้ามาของลัทธิคอมมิวนิสต์ในอเมริกา และเหตุการณ์สำคัญในตอนนั้นอย่าง วิกฤตการณ์เบอร์ลิน ปี ค.ศ.1961 และวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ปี ค.ศ.1962

(5) ถึงอย่างนั้นตัว บ็อบ ดีแลน ก็ไม่ใช่คนหัวรุนแรงที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงวงการดนตรีอย่างแรงกล้า ในช่วงแรกที่ พีท ซีเกอร์ นักดนตรีโฟล์ครุ่นพี่ต้องการจะปลุกปั้นเขาเพราะเห็นพรสวรรค์ในตัวและอยากให้เขาสืบสานโฟล์คต่อไป บ็อบก็ตอบรับอย่างว่าง่ายและร่วมงานกับโจน ไบซ์ จนเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เวลาผ่านไปบ็อบรู้สึกสุญเสียตัวตนและตระหนักดีกว่านี่ไม่ใช่ทางของเขา จนเมื่อได้พบกับ “จอห์นนี แคช” (Johnny Cash) ศิลปินอีกหนึ่งคนที่ชักนำเขาให้หันมาเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

(6) ชอบตรงที่ผู้กำกับเจมส์ แมนโกลด์ เล่าความสัมพันธ์ระหว่างบ็อบและผู้คนรอบข้างได้อย่างเป็นธรรมชาติ และแสดงตัวตนของเขาออกมาได้ดี แม้ประเด็นหลักของเรื่องจะพูดการปะทะกันของดนตรีแบบเก่าและแบบใหม่ ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ของบ็อบ ดีแลนกับพีท ซีเกอร์ ก็เป็นไปในแบบของพี่น้องหรือกระทั่งเป็นพ่อลูกเลยด้วยซ้ำ เพราะในช่วงแรกพีทช่วยเหลือบ็อบหลายอย่างทั้งให้ที่ซุกหัวนอนและหางานให้ บ็อบจึงเคารพเขาและไม่เคยกร่างหรือดูถูกอะไรในดนตรีโฟล์คเลย ในขณะที่พีทก็ไม่ได้ลำเลิกว่าที่บ็อบมาได้ขนาดนี้ก็เพราะเขา

(7) เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ด้านความรักที่มีการสวิงบ้างตามประสาศิลปินอิ้นดี้สุดฮ็อต แต่คนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตรักของบ็อบมากที่สุด คือ ซิลเวีย รัสโซ (Elle Fanning) ซึ่งเป็นชื่อสมมติของ “ซูส โรโตโล” (Suze Rotolo) แฟนสาวตัวจริงของบ็อบที่ปรากฏในปกอัลบั้มของ “The Freewheelin” สำหรับบ็อบ ซิลเวียถือว่าเป็นคนนอกที่น่าสนใจเพราะเธอไม่ได้เป็นศิลปินแบบโจน และเธอก็ไม่สามารถรับมือกับชื่อเสียงและการเป็นคนดังของบ็อบได้ แต่ก็เป็นคนที่บ็อบตัดใจได้ไม่ขาดสักที ซิลเวียจึงเป็นคนที่ขุดคุ้นความเป็นมนุษย์ของบ็อบออกมาได้เด่นชัดที่สุดในเรื่อง

(8) สิ่งหนึ่งที่แสดงถึงตัวตนของบ็อบได้ดีที่สุด อยู่ในฉากที่บ็อบและซิลเวียกินข้าวในร้านอาหารหลังจากทั้งคู่ไปดูภาพยนตร์เรื่อง Now, Voyager(1942) ซิลเวียให้นิยามของตัวละครเอกในหนังที่ดูมาว่า “ค้นหาตัวตน” แต่บ็อบกลับแย้งกลับว่าสำหรับเขาแล้วมันเป็นการ “สร้างตัวตน” ซึ่งนั่นทำให้เราย้อนกลับมาคิดถึงสิ่งที่บ็อบบอกไว้ว่า ตัวเขานั้นเคยทำงานในโรงละครสัตว์เร่ร่อนไปเรื่อยก่อนมาลงเอยที่นี่ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเรื่องโกหกเพื่อสร้างตัวตนอีกก็เป็นได้ และมันสอดคล้องกับชื่อเรื่องอย่าง A Complete Unknown ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

(9) ฉากไคล์แม็กซ์ของ A Complete Unknown เป็นเหตุการณ์ที่บ็อบขึ้นเล่นดนตรีในเทศกาลดนตรี Newport Folk Festival ปี ค.ศ.1965 ในฐานะศิลปินชื่อเสียงโด่งดัง(ในวงการโฟล์ค) และเป็นครั้งแรกที่บ็อบแสดงความขบถออกมาอย่างเต็มขั้นด้วยการหยิบเอากีต้าร์ไฟฟ้ามาเล่นในงานดนตรีโฟล์ค นอกจากการพยายามแสดงจุดยืนของเขาอย่างจริงจังแล้ว สิ่งที่น่าสนใจ คือ ปฏิกิริยาของผู้ชมที่มีทั้งเห็นด้วยและสนุกไปกับเสียงดนตรีไฟฟ้าที่แปลกใหม่(ในยุคนั้น)

(10) ในขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็เริ่มด่าทอและขว้างปาสิ่งของใส่บ็อบแต่เขาก็ไม่หยุดเล่น ลามไปยันทะเลาะกันในหมู่ผู้ฟังเอง กลายเป็นสงครามย่อมๆ ที่เหมือนผู้กำกับตั้งใจจะให้เป็นภาพสะท้อนถึงความขัดแย้งที่มีอยู่ในทุกระดับของมนุษย์ ซึ่งหนึ่งในบทเพลงอย่าง Like A Rolling Stone ที่ถูกเล่นในวันนั้นก็กลายเป็นหนึ่งในบทเพลงอมตะของโลกดนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

(11) ว่ากันถึงการแสดงของ “ทิโมธี ชาลาเมต์” ในบทบ็อบ ดีแลน ที่สามารถบอกได้เลยว่าเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของนักแสดงวัย 29 ปีผู้นี้แล้ว การสวมวิญญาณเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนวิธีการพูด(ซึ่งอาจจะฟังดูตลกในบางครั้ง) และฝึกเล่นดนตรีกับร้องเพลงนานกว่า 5 ปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็นับว่าคุ้มค่า ในขณะที่ “โมนิกา บาร์บาโร” ในบทโจน ไบซ์ เซอร์ไพร์สเราด้วยเสียงร้องที่สวยใสกังวาลในระดับเดียวนักร้องอาชีพ ที่หากจะเลือกทางนี้ก็ต่อยอดได้อีกสบายๆ

“บ็อบ ดีแลน” (Timothée Chalamet)

“โจน ไบซ์” (Monica Barbaro)

(12) และคนที่โอบอุ้มให้ตัวเรื่องมีความละมุนละมอบอย่าง “เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน” ในบทพีท ซีเกอร์ เป็นคนที่เราอยากได้เป็นเพื่อนในชีวิตจริง ที่ช่วยเหลือในหลายๆ ด้าน หนำซ้ำในตอนท้ายที่บ็อบเลือกจะเล่นกีต้าร์ไฟฟ้า ความเจ็บปวดที่เขาได้รับก็ยังไม่แปลกเปลี่ยนให้ตัวละครนี้กลายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรแม้แต่น้อย และใช่แล้วทั้ง 3 คนที่กล่าวมาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาของพวกเขาทั้งหมด
“พีท ซีเกอร์” (Edward Norton)

(13) ถ้าจะมีเรื่องน่าเสียดายสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เห็นจะเป็นตรงที่ แม้จะเล่าภาพกว้างได้ดีมากแต่ในภาพแคบที่เป็นความขัดแย้งภายในของบ็อบ ดีแลน กลับแทบไม่มีให้เห็น เราไม่รู้ว่าแต่ละบทเพลงของเขามีแรงบันดาลใจอะไรและทำไม หรืออาจจะต้องการรักษาคอนเซ็ปต์ของเรื่องที่ว่าด้วย “คนนิรนาม” ตามชื่อเรื่อง ที่ทำให้ผู้กำกับเจมส์ แมนโกลด์ พยายามรักษาระยะห่างและให้เรารับรู้เรื่องราวของบ็อบ ดีแลน เท่าที่เขาอยากให้เรารู้ก็เป็นได้ แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ A Complete Unknown เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ว่าใครก็จะตกหลุมรักมัน ไปพร้อมกับเสียงเพลงและชีวิตสุดอิ้นดี้ของศิลปินระดับตำนานผู้นี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่