สวัสดีค่ะ ตัดสินใจนานมากว่าจะตั้งกระทู้นี้ดีไหม กลัวคนในโรงเรียนรู้แต่ถ้าเพื่อสุขภาพแล้ว คงต้องหาทางออกดีๆสักทาง
ปัจจุบันรับราชการครูระดับประถมได้หนึ่งปีค่ะ ยังไม่พ้นครูผู้ช่วย ตอนแรกตัดสินใจเป็นครูเพราะต้องการเป็นข้าราชการสักอาชีพเพื่อจ่ายค่ารักษาจากโรคไบโพล่าที่เป็น รักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ค่ายาเดือนละ 15,000 กว่าบาทค่ะ จ่ายเองมาตลอด ไม่สามารถรักษากับโรงพยาบาลตามสิทธิ์บัตรทองได้เนื่องจากยาตามโรงพยาบาลเหล่านั้นคุมอาการในช่วง Depress เราไม่อยู่ เปลี่ยนมาหลายโรงพยาบาลมาก นั่งรถไปโรงพยาบาลจิตเวชเฉพาะทางสวนปรุงที่เชียงใหม่ก็เคยมาแล้ว จนในที่สุดเราตัดสินใจทำบางสิ่ง รู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาล จนมีโอกาสได้ถูกส่งตัวไปแอดมิดที่รามาธิบดี อาการเราจึงดีขึ้นแต่ก็ต้องแลกด้วยค่ารักษาเบิกไม่ได้แสนแพง ช่วงที่หนักมากในชีวิตเรากินยานอกเม็ดละ 233.75 บาท หลังๆมางานของแม่มีปัญหา คุณหมอเลยเขียนใบส่งตัวให้กลับมารักษาที่บ้านเกิดตามสิทธิ์บัตรทอง แต่ทางโรงพยาบาลที่บ้านเกิดแจ้งว่าไม่มียาเหล่านี้เลย จึงต้องกัดฟันรักษากับรามาธิบดีต่อ พอเราเรียนจบและสอบบรรจุครูจึงลดรายจ่ายนี้ไปเพราะเบิกได้
บรรจุครูได้หนึ่งปี ภาระงานที่ได้รับอาจเทียบไม่ได้กับอาชีพอื่นหรือครูคนอื่นที่เป็นระดับหัวหน้างาน แต่มันก็หนักเกินไปสำหรับสุขภาพเรา เราร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก แอดมิดจนแม่บอกสงสารประกัน ครูไม่ใช่แค่ตื่นเช้าแต่นอนดึกมาก เลิกจากโรงเรียนไม่ใช่ว่าจบงาน ต้องแบกงานนักเรียนมาตรวจ เราสอน 20 ห้อง ห้องละ 40 กว่าคน ต้องตรวจหลายงานมาก ทำสไลด์เนื้อหาวันต่อวัน เขียนบันทึกหลังสอน ทำสื่อการสอน ทำวิจัย รับความเครียดจากผู้ปกครองบางคน ดึกสุดที่คุยกับผู้ปกครองคือห้าทุ่มครึ่ง ต้องมีความอดทนต่อนักเรียนสูง นักเรียนชักสีหน้า พูดจาไม่ดีใส่ นักเรียนช่างฟ้อง ฟ้องทุกอย่างเลยจนมีครั้งนึงเราโมโหมาก เราบอกไปว่าแค่เพื่อนล้อว่าอ้วนไม่ต้องมาฟ้อง ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรือเรื่องที่หนักมากจริงๆก็ไม่ต้องมาฟ้อง ตกเย็นผู้ปกครองไลน์มาหาเราเลย ไม่พอใจมากที่ละเลยลูกเขา นอกจากนี้ก็ต้องรับผิดชอบงานเอกสารของโรงเรียนอีกซึ่งเยอะมากๆ เราเป็นคนทำงานช้าเลยต้องอดนอนบ่อยๆ สุดท้ายร่างกายเราป่วยหนัก วิ่งรักษาหลายโรงพยาบาลทั้งรัฐบาลและเอกชน มาดีขึ้นที่โรงพยาบาลจุฬาและพบว่าเป็นแพ้ภูมิตนเองแต่ไม่ใช่ตระกูล SLE(พุ่มพวง) เป็นตระกูลที่คุณหมอเองก็ระบุชื่อไม่ได้เพราะไม่เคยเจอ อาการคือปวดตัวมาก ปวดจนขยับไม่ไหว ผิวหนังตามตัวเป็นผดผื่นแดง ผิวหน้าแห้งตกสะเก็ด ปากช้ำเลือด ม้ำมูกเป็นเลือด ไอไม่หยุด ไอจนนอนไม่ได้ ยิ่งไอยิ่งเจ็บซี่โครง ไอจนอาเจียน กินอะไรก็อาเจียนออก น้ำหนักลดฮวบฮาบ คุณหมอบอกว่าเกิดจากความเครียดและอดนอน รักษาที่ตึกนวัตบริบาลที่จุฬาจึงแพงกว่าตึกทั่วไป(คล้ายๆจุฬา VIP) แต่อาการไอรักษาที่ไหนไม่หายเลย ท้อมาก จนเพื่อนที่ทำงานกับบอสคนจีนแนะนำให้ไปรักษาที่คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว (Huachiew TCM Clinic) ดื่มยาจีนวันละสองแก้ว ขมมาก จึงหยุดไอ ซึ่งเป็นคลินิกจึงเบิกไม่ได้ และต้องขับรถมารับยาจีนที่ชลบุรีทุกสัปดาห์
แต่ด้วยภาระงานต่างๆที่เข้ามาเรื่อยๆมันทำให้เครียดและนอนดึก บางทีเขตการศึกษาก็มาตรวจโรงเรียน สมศ.มาตรวจโรงเรียน หรือโรงเรียนมีงานใหญ่ มันทำให้โรคเรากำเริบ ไม่ได้เป็นแค่ที่โรงเรียนเรา เราถามพี่ๆเพื่อนๆร่วมอาชีพแล้ว อดนอนกันทั้งนั้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่เรากลับมาทบทวนตัวเองใหม่ว่าเราอาจไม่เหมาะกับงานนี้ พอจะมีงานหรือวิธีการหาเงินวิธีอื่นแนะนำไหมคะ
สกิลที่มีติดตัวคือภาษาอังกฤษและภาษาจีนค่ะ จบหลักสูตรอินเตอร์มา เพื่อนเคยเสนองานเอกชนเงินเดือนสามหมื่นหกให้ที่กรุงเทพแต่พอคำนวณแล้วไม่พอใช้แน่ๆค่ะ ค่าใช้จ่ายที่ต้องแบก 1.ค่ายาจิตเวชรามาธิบดี 15,000 บาท
2.ค่ายาแพ้ภูมิจุฬานวัตบริบาล 3,000 - 9,000 บาท
3.ค่ายาแพทย์เฉพาะทางโรคปอดจุฬาธรรมดา 1,000 - 1,700 บาท
4.ค่ายาแพทย์แผนจีนสัปดาห์ละ 2,000 - 2,500 บาท
เราเป็นแค่ครูผู้ช่วยงานจึงอาจไม่เยอะเท่าครูระดับหัวหน้าเลยด้วยซ้ำ วอนท่านอื่นอย่าเพิ่งคิดว่าเราไม่ทนงานหรือเด็ก Gen ใหม่เอาแต่ใจเลยนะคะ
แต่ร่างกายเราไม่ไหวจริงๆค่ะ และขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและตอบด้วยนะคะ
ป่วยจนคิดว่าเป็นครูต่อไม่ไหวแล้วค่ะ ช่วยแนะนำอาชีพหรือทางออกอื่นให้หน่อยได้ไหมคะ
ปัจจุบันรับราชการครูระดับประถมได้หนึ่งปีค่ะ ยังไม่พ้นครูผู้ช่วย ตอนแรกตัดสินใจเป็นครูเพราะต้องการเป็นข้าราชการสักอาชีพเพื่อจ่ายค่ารักษาจากโรคไบโพล่าที่เป็น รักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ค่ายาเดือนละ 15,000 กว่าบาทค่ะ จ่ายเองมาตลอด ไม่สามารถรักษากับโรงพยาบาลตามสิทธิ์บัตรทองได้เนื่องจากยาตามโรงพยาบาลเหล่านั้นคุมอาการในช่วง Depress เราไม่อยู่ เปลี่ยนมาหลายโรงพยาบาลมาก นั่งรถไปโรงพยาบาลจิตเวชเฉพาะทางสวนปรุงที่เชียงใหม่ก็เคยมาแล้ว จนในที่สุดเราตัดสินใจทำบางสิ่ง รู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาล จนมีโอกาสได้ถูกส่งตัวไปแอดมิดที่รามาธิบดี อาการเราจึงดีขึ้นแต่ก็ต้องแลกด้วยค่ารักษาเบิกไม่ได้แสนแพง ช่วงที่หนักมากในชีวิตเรากินยานอกเม็ดละ 233.75 บาท หลังๆมางานของแม่มีปัญหา คุณหมอเลยเขียนใบส่งตัวให้กลับมารักษาที่บ้านเกิดตามสิทธิ์บัตรทอง แต่ทางโรงพยาบาลที่บ้านเกิดแจ้งว่าไม่มียาเหล่านี้เลย จึงต้องกัดฟันรักษากับรามาธิบดีต่อ พอเราเรียนจบและสอบบรรจุครูจึงลดรายจ่ายนี้ไปเพราะเบิกได้
บรรจุครูได้หนึ่งปี ภาระงานที่ได้รับอาจเทียบไม่ได้กับอาชีพอื่นหรือครูคนอื่นที่เป็นระดับหัวหน้างาน แต่มันก็หนักเกินไปสำหรับสุขภาพเรา เราร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก แอดมิดจนแม่บอกสงสารประกัน ครูไม่ใช่แค่ตื่นเช้าแต่นอนดึกมาก เลิกจากโรงเรียนไม่ใช่ว่าจบงาน ต้องแบกงานนักเรียนมาตรวจ เราสอน 20 ห้อง ห้องละ 40 กว่าคน ต้องตรวจหลายงานมาก ทำสไลด์เนื้อหาวันต่อวัน เขียนบันทึกหลังสอน ทำสื่อการสอน ทำวิจัย รับความเครียดจากผู้ปกครองบางคน ดึกสุดที่คุยกับผู้ปกครองคือห้าทุ่มครึ่ง ต้องมีความอดทนต่อนักเรียนสูง นักเรียนชักสีหน้า พูดจาไม่ดีใส่ นักเรียนช่างฟ้อง ฟ้องทุกอย่างเลยจนมีครั้งนึงเราโมโหมาก เราบอกไปว่าแค่เพื่อนล้อว่าอ้วนไม่ต้องมาฟ้อง ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรือเรื่องที่หนักมากจริงๆก็ไม่ต้องมาฟ้อง ตกเย็นผู้ปกครองไลน์มาหาเราเลย ไม่พอใจมากที่ละเลยลูกเขา นอกจากนี้ก็ต้องรับผิดชอบงานเอกสารของโรงเรียนอีกซึ่งเยอะมากๆ เราเป็นคนทำงานช้าเลยต้องอดนอนบ่อยๆ สุดท้ายร่างกายเราป่วยหนัก วิ่งรักษาหลายโรงพยาบาลทั้งรัฐบาลและเอกชน มาดีขึ้นที่โรงพยาบาลจุฬาและพบว่าเป็นแพ้ภูมิตนเองแต่ไม่ใช่ตระกูล SLE(พุ่มพวง) เป็นตระกูลที่คุณหมอเองก็ระบุชื่อไม่ได้เพราะไม่เคยเจอ อาการคือปวดตัวมาก ปวดจนขยับไม่ไหว ผิวหนังตามตัวเป็นผดผื่นแดง ผิวหน้าแห้งตกสะเก็ด ปากช้ำเลือด ม้ำมูกเป็นเลือด ไอไม่หยุด ไอจนนอนไม่ได้ ยิ่งไอยิ่งเจ็บซี่โครง ไอจนอาเจียน กินอะไรก็อาเจียนออก น้ำหนักลดฮวบฮาบ คุณหมอบอกว่าเกิดจากความเครียดและอดนอน รักษาที่ตึกนวัตบริบาลที่จุฬาจึงแพงกว่าตึกทั่วไป(คล้ายๆจุฬา VIP) แต่อาการไอรักษาที่ไหนไม่หายเลย ท้อมาก จนเพื่อนที่ทำงานกับบอสคนจีนแนะนำให้ไปรักษาที่คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว (Huachiew TCM Clinic) ดื่มยาจีนวันละสองแก้ว ขมมาก จึงหยุดไอ ซึ่งเป็นคลินิกจึงเบิกไม่ได้ และต้องขับรถมารับยาจีนที่ชลบุรีทุกสัปดาห์
แต่ด้วยภาระงานต่างๆที่เข้ามาเรื่อยๆมันทำให้เครียดและนอนดึก บางทีเขตการศึกษาก็มาตรวจโรงเรียน สมศ.มาตรวจโรงเรียน หรือโรงเรียนมีงานใหญ่ มันทำให้โรคเรากำเริบ ไม่ได้เป็นแค่ที่โรงเรียนเรา เราถามพี่ๆเพื่อนๆร่วมอาชีพแล้ว อดนอนกันทั้งนั้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่เรากลับมาทบทวนตัวเองใหม่ว่าเราอาจไม่เหมาะกับงานนี้ พอจะมีงานหรือวิธีการหาเงินวิธีอื่นแนะนำไหมคะ
สกิลที่มีติดตัวคือภาษาอังกฤษและภาษาจีนค่ะ จบหลักสูตรอินเตอร์มา เพื่อนเคยเสนองานเอกชนเงินเดือนสามหมื่นหกให้ที่กรุงเทพแต่พอคำนวณแล้วไม่พอใช้แน่ๆค่ะ ค่าใช้จ่ายที่ต้องแบก 1.ค่ายาจิตเวชรามาธิบดี 15,000 บาท
2.ค่ายาแพ้ภูมิจุฬานวัตบริบาล 3,000 - 9,000 บาท
3.ค่ายาแพทย์เฉพาะทางโรคปอดจุฬาธรรมดา 1,000 - 1,700 บาท
4.ค่ายาแพทย์แผนจีนสัปดาห์ละ 2,000 - 2,500 บาท
เราเป็นแค่ครูผู้ช่วยงานจึงอาจไม่เยอะเท่าครูระดับหัวหน้าเลยด้วยซ้ำ วอนท่านอื่นอย่าเพิ่งคิดว่าเราไม่ทนงานหรือเด็ก Gen ใหม่เอาแต่ใจเลยนะคะ
แต่ร่างกายเราไม่ไหวจริงๆค่ะ และขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและตอบด้วยนะคะ