ประเทศไทยพบมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมากเป็นอันดับหนึ่งในเพศชาย และอันดับสามในเพศหญิง (จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ) ที่น่ากังวลคืออัตราการเกิดโรคมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทุก ๆ วันมีผู้ป่วยเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเฉลี่ยวันละ 15 คน (ปีละ 5,476 คน) และมีผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยวันละ 44 คน (ปีละ 15,939 คน)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
1. อายุ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
2. ประวัติครอบครัว ถ้าครอบครัวมีประวัติของมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคที่เกี่ยวข้อง ความเสี่ยงจะสูงขึ้น
3. โรคประจำตัว โรคที่ส่งผลต่อการอักเสบเรื้อรังของลำไส้ เช่น โรคลำไส้อักเสบ (Crohn’s disease, Ulcerative colitis)
4. พฤติกรรมการกิน การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาล และอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป
5. การไม่ออกกำลังกาย ขาดการเคลื่อนไหวที่เพียงพออาจเพิ่มความเสี่ยง
6. ความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง โดยเฉพาะกลุ่มโรค ดังต่อไปนี้
6.1 FAP (Familial Adenomatous Polyposis) โรคนี้ทำให้มีการเกิดติ่งเนื้อจำนวนมากในลำไส้ ถ้าไม่รักษาจะพัฒนากลายเป็นมะเร็ง
6.2 Lynch Syndrome เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่
6.3 MUTYH-associated polyposis (MAP) เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้มีการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ ผู้ที่มีประวัติความผิดปกติทางพันธุกรรมในครอบครัวควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ในระยะเริ่มต้น มักไม่พบอาการที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคลุกลาม อาการอาจรวมถึง ท้องผูกเรื้อรัง ท้องผูกสลับท้องเสีย การมีเลือดในอุจจาระ มีมูกมากในอุจจาระ อาการปวดท้อง และน้ำหนักลดลงโดยไม่มีสาเหตุ เป็นต้น
การตรวจประเมินเบื้องต้น เป็นวิธีการที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แนะนำให้เริ่มตรวจประเมินเบื้องต้นเมื่ออายุ 50 ปี โดยวิธีการตรวจประเมินเบื้องต้นทำได้ดังนี้
– การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (Fecal immunochemical test: FIT) สามารถตรวจได้ว่ามีเลือดออกในทางเดินอาหารหรือไม่ การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นประจำทุกปีจะช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
– การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) เป็นวิธีการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพภายใน ลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและสามารถเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยาได้
การรักษา การรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรค
– การผ่าตัด เพื่อนำเนื้องอกมะเร็งออกทั้งหมด รวมถึงต่อมน้ำเหลือง
– เคมีบำบัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่หลังการผ่าตัด ในบางกรณีเพื่อลดขนาดเนื้องอกก่อนผ่าตัด หรือให้เพื่อรักษาโรคในระยะแพร่กระจาย
– การรักษาด้วยรังสี เพื่อลดขนาดของเนื้องอกก่อนผ่าตัด หรือลดการเป็นกลับซ้ำหลังผ่าตัด
การป้องกัน
– ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ รวมถึงเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง
– การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การบริโภคผลไม้ ผัก และอาหารที่มีเส้นใยสูง
– การออกกำลังกาย
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้ หากได้รับการตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติทางพันธุกรรมมีความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ โดยการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
ข้อมูลจาก นพ.กิตินัทธ์ ทิมอุดม นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/4496382/
เรื่อง “มีนาคม เดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง”
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
1. อายุ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
2. ประวัติครอบครัว ถ้าครอบครัวมีประวัติของมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคที่เกี่ยวข้อง ความเสี่ยงจะสูงขึ้น
3. โรคประจำตัว โรคที่ส่งผลต่อการอักเสบเรื้อรังของลำไส้ เช่น โรคลำไส้อักเสบ (Crohn’s disease, Ulcerative colitis)
4. พฤติกรรมการกิน การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาล และอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป
5. การไม่ออกกำลังกาย ขาดการเคลื่อนไหวที่เพียงพออาจเพิ่มความเสี่ยง
6. ความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง โดยเฉพาะกลุ่มโรค ดังต่อไปนี้
6.1 FAP (Familial Adenomatous Polyposis) โรคนี้ทำให้มีการเกิดติ่งเนื้อจำนวนมากในลำไส้ ถ้าไม่รักษาจะพัฒนากลายเป็นมะเร็ง
6.2 Lynch Syndrome เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่
6.3 MUTYH-associated polyposis (MAP) เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้มีการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ ผู้ที่มีประวัติความผิดปกติทางพันธุกรรมในครอบครัวควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ในระยะเริ่มต้น มักไม่พบอาการที่ชัดเจน แต่เมื่อโรคลุกลาม อาการอาจรวมถึง ท้องผูกเรื้อรัง ท้องผูกสลับท้องเสีย การมีเลือดในอุจจาระ มีมูกมากในอุจจาระ อาการปวดท้อง และน้ำหนักลดลงโดยไม่มีสาเหตุ เป็นต้น
การตรวจประเมินเบื้องต้น เป็นวิธีการที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แนะนำให้เริ่มตรวจประเมินเบื้องต้นเมื่ออายุ 50 ปี โดยวิธีการตรวจประเมินเบื้องต้นทำได้ดังนี้
– การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (Fecal immunochemical test: FIT) สามารถตรวจได้ว่ามีเลือดออกในทางเดินอาหารหรือไม่ การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นประจำทุกปีจะช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
– การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) เป็นวิธีการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพภายใน ลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและสามารถเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยาได้
การรักษา การรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรค
– การผ่าตัด เพื่อนำเนื้องอกมะเร็งออกทั้งหมด รวมถึงต่อมน้ำเหลือง
– เคมีบำบัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่หลังการผ่าตัด ในบางกรณีเพื่อลดขนาดเนื้องอกก่อนผ่าตัด หรือให้เพื่อรักษาโรคในระยะแพร่กระจาย
– การรักษาด้วยรังสี เพื่อลดขนาดของเนื้องอกก่อนผ่าตัด หรือลดการเป็นกลับซ้ำหลังผ่าตัด
การป้องกัน
– ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ รวมถึงเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง
– การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การบริโภคผลไม้ ผัก และอาหารที่มีเส้นใยสูง
– การออกกำลังกาย
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาได้ หากได้รับการตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติทางพันธุกรรมมีความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ โดยการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
ข้อมูลจาก นพ.กิตินัทธ์ ทิมอุดม นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4496382/