ฝึก​สมาธิ​แบบหลวง​ปู่​มั่นระงับกิเลส​

กระทู้คำถาม
"ข้อวัตรปฏิบัติ พระธรรมกรรมฐานนั้น...  
มีรากฐานอยู่ที่การกระทำศีล ให้สมบูรณ์บริบูรณ์  พร้อมๆ ไปกับ การเจริญสมาธิภาวนา เพื่อจะทำจิตให้สงบระงับจากอารมณ์ทั้งปวง

เพราะความที่จิตปลอดจากอกุศล
ว่างเว้น จาก...อารมณ์อันเกิดมาจากการสัมผัสทางอายตนะ คือตา ที่กระทบกับรูป  
หู ที่กระทบกับเสียง
จมูก กระทบกับกลิ่น  
ลิ้น กระทบกับรส
กาย ที่กระทบกับสิ่งสัมผัสทางกาย  
และใจ ที่กระทบกับอารมณ์ในภายใน
ที่ทำให้เกิดเวทนา...

ความรู้สึกสุข  รู้สึกทุกข์
รู้ดี รู้ชั่ว  รู้สวย รู้ไม่สวย  รู้น่ารัก รู้ไม่น่ารัก
ทั้งหลายแล้ว...
จิตใจ ก็ย่อมจะตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์อันเดียว
อารมณ์นั้น...ก็ได้แก่พระกรรมฐาน
หมายถึงการ  เอาพระกรรมฐานเข้ามาตั้งไว้
ในใจ

ความตั้งมั่นของจิต ในลักษณะการ เช่นนี้
ย่อม  จะทำจิต ให้สงบอย่างเดียว
เป็นความสงบที่สะอาด  และบริสุทธิ์ผ่องใส
หลังจากนั้นแล้ว  จึงหันมาพิจารณาธาตุทั้ง ๔
อันได้แก่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ
และพิจารณาขันธ์ทั้ง ๕. ได้แก่รูป  เวทนา  สัญญา สังขาร และวิญญาณ ให้รู้ว่าธาตุขันธ์
และรูป-นาม ทั้งหลาย  แท้จริง คือ...
บ่อเกิดของความทุกข์โศก  ร่ำไร รำพัน นานาประการเหล่านี้ นั่นเอง

เหตุที่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้...
เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ก็เพราะอวิชชา
ความไม่รู้แจ้ง ในความเป็นของไม่เที่ยง
ในความเป็นของเสื่อมโทรม ของธาตุขันธ์
ทั้งหลายเหล่านั้น...เป็นเหตุ

และเพราะความไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงว่ามันมิใช่สัตว์  บุคคล  ตัวตน  เรา  เขา
ไม่รู้จัก  ความไม่เที่ยง
ไม่รู้จัก  ความเป็นทุกข์
และไม่รู้จัก  ความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน ตามเป็นจริงแล้ว...
อาสวกิเลสคือราคะ  โลภะ  โทสะ  โมหะ
ก็ย่อมครอบงำจิตของฅน...ฅนนั้น  
ให้มืดมัว เร่าร้อน  และเป็นทุกข์ได้ในที่สุด

ดังนั้น...การประพฤติปฏิบัติธรรม  
จึงมีรากฐานสำคัญ  อยู่...ที่การปฏิบัติ
ศีล  เป็นเบื้องต้น
และทำสมาธิในท่ามกลาง
เพื่อ จะให้เกิดปัญญา ความรู้เเจ้งเเทงตลอด ในธาตุ-ขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นได้

ในที่สุด...และเพื่อจะให้รู้จักพิจารณา
ว่าร่างกายของเรา ที่ปั้นปรุงขึ้นมาจากธาตุ
ทั้ง ๔.นี้  ประกอบอยู่ด้วยนามธาตุ อีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๔ อย่าง
ได้แก่เวทนา คือ...ความรู้สุข รู้ทุกข์  
และไม่สุข ไม่ทุกข์
สัญญา คือ...ความจำได้หมายรู้ ในอายตนะ
ทั้งหลาย ที่มากระทบแล้ว...รู้สึกแล้ว...
สังขาร คือ...ความไหลเวียน ปรุงเปลี่ยน
ไม่หยุดอยู่ ของนามธาตุนั้น...
และวิญญาณ คือ...ความรู้สึก ได้รวมเป็น ๔ อย่างด้วยกันเรียกว่าขันธ์  
เมื่อรวมเข้ากับธาตุทั้ง ๔ คือรูปขันธ์ด้วยแล้ว จึงเป็นขันธ์ ๔  รวมย่อแล้วก็ว่า...กาย กับใจ

นี้เป็นสิ่งที่ไม่ยืนยงคงที่  
ไม่เที่ยงแท้ เเน่นอน อะไรเลย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ...ร่างกาย  เนื้อ  หนัง ของเรานี้  เป็นของไม่สวย ไม่งาม  สกปรกโสโครก  นับวันแต่จะเน่าเปลื่อย ผุพัง  ดับสลายไป เท่านั้น  จะหาความเป็นแก่นสาร ไม่ได้  โดยประการ ทั้งปวง

การภาวนาที่ถูกต้อง
จะต้องเป็นไปในลักษณะนี้  นักภาวนาเมื่อรู้เห็นซึ่งสภาพ ตามที่เป็นจริงอย่างนี้แล้ว...
จะย่อมเกิดธรรมสังเวช  มีความสะดุ้งกลัว
ต่อภัย และความเป็นโทษทุกข์ ของสังขาร  เมื่อเล็งเห็นโทษ  และความไม่เป็นแก่นสาร  ของสังขาร ทั้งหลายแล้ว...
จิตนักปฏิบัติ ก็ย่อมจะเบื่อหน่ายอยากจะหลีกหนี ไปให้พ้นจากสังขาร และโทษทุกข์  ของสังขาร ไม่อยากประสบพบเห็น กับความทุกข์ทรมานอีกแล้ว...

เมื่อนั้น...
จิต ก็ย่อมจะคลายจากความกำหนัดยินดี
ในรูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ และ
ธรรมารมณ์  ย่อมคลายความกำหนัด รักใคร่ ชอบใจ ในสิ่งอันเป็นที่ตั้ง แห่งความรักใคร่ ชอบใจ

เมื่อจิต...มีความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด เช่นนี้แล้ว...
ทุกข์ ทั้งปวง   ก็ย่อม ดับลงได้โดยแท้
ข้อที่ว่า...ทุกข์ทั้งปวง ดับลงนี้  
เป็นเพราะรู้เท่าทันอวิชชา คือ...ความไม่รู้ตามเป็นจริงในธรรม ดับไปนั่นเอง
จึงเป็นเหตุให้ความรู้ ความเห็นในธรรม

ที่เรียกว่า...ปัญญานั้นเจริญถึงที่สุด  
ผลที่ได้รับ ก็คือ ปัญญา อันสงบระงับ
และแจ่มแจ้ง."
_______________________________________
หลวงปู่มั่น   ภูริทัตโต.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่