ตอนบูม และเป็นกระแสช่วงแรกๆ มีคนบอกว่าจะมา disrupt แบงค์ ผ่านไป 4-5 ปี...
ป็นเวลากว่า 6 ปี ที่ บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด ในเครือบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จัดตั้งขึ้นในปี 2561 เพื่อพัฒนาบล็อกเชน Bitkub Chain และเริ่มใช้งานบล็อกแรก ในเดือน เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา
ซึ่งในครั้งนั้น “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบิทคับ เรียกว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ” ของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่
การมีบล็อกเชนของตนเอง หมายถึงการมีภาระค่าใช้จ่ายที่หนักหนาเอาการ พร้อมไปกับการเดินหน้าส่งเสริมระบบนิเวศทั้งผู้ใช้งาน และนักพัฒนา web3.0 มากว่า 3 ปี
ส่วนช่องทางรายได้ที่คาดการณ์ไว้จะมาจากค่าธรรมเนียมบล็อกเชน หรือค่าแก๊ส ซึ่งต้องประเมินราคาจากเหรียญ KUB ที่เป็นเนทีฟโทเค็น ของ Bitkub Chain
ปลุกปั้น Bitkub Chain
ขณะที่โปรเจ็กต์เรือธงของ Bitkub Chain อย่างเกม Morning Moon Village แม้จะสร้างธุรกรรมจำนวนมหาศาลบนบล็อกเชน แต่ “บิทคับเชน” อุดหนุนค่าแก๊สให้ผู้เล่นเพื่อให้การใช้งานดำเนินต่อไปไม่สะดุด ดังนั้นรายได้จาก “ค่าแก๊ส” จึงไม่น่าจะเป็นกอบเป็นกำพอ แต่บริษัทจะมีรายได้อื่น ๆ จากการเป็นที่ปรึกษา รวมถึงการช่วยพัฒนาแอปพลิเคชั่นบนบล็อกเชนให้กับพาร์ตเนอร์ เป็นต้น
สำหรับ “บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี” ในปีแรกที่เริ่มเปิดบิทคับเชน ในปี 2564 มีรายได้อยู่ที่ 1 พันล้านบาท มีกำไร 796 ล้าน สัมพันธ์กับการแจกจ่ายเหรียญ KUB Coin ในระบบนิเวศ และเริ่มการซื้อขาย ด้วยราคาที่เพิ่มสูงขึ้นในวัฏจักรขาขึ้นของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีรอบที่แล้ว แต่เมื่อมีหลายโปรเจ็กต์ใช้งานบิทคับเชน ในช่วงตลาดหมี พบว่าในปี 2565 มีรายได้ 354 ล้านบาท ขาดทุน 140 ล้านบาท และในปี 2566 มีรายได้ 65 ล้านบาท ขาดทุนถึง 394 ล้านบาท (ข้อมูลจาก Creden Data แต่ในปี 2567 ยังไม่มีรายงาน)
อย่างไรก็ตาม “บล็อกเชน” ยังคงเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับธุรกรรมในยุค web3.0
โดยคุณสมบัติของบล็อกเชนที่ดี คือ 1.มีจำนวนผู้ใช้ที่เติบโตขยายขนาดได้ต่อเนื่อง 2.ปลอดภัยมีเสถียรภาพ และ 3.มีการกระจายอำนาจตัดสินใจให้ชุมชน (Blockchain Trilemma)
เมื่อพิจารณา “เพอร์ฟอร์มานซ์” ของบิทคับเชน เรียกได้ว่าทำได้เป็นอย่างดี ด้วยธุรกรรมเฉลี่ย 1 ล้านครั้งต่อวัน จำนวน Wallet Addresses ทั้งสิ้น 2,391,897 Addresses ขณะที่มูลค่าการตลาดมีเงินไหลเวียนในระบบอยู่ที่ 148 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5 พันล้านบาท (อิงจากราคา KUB Coin) ส่วนธุรกรรมบนบล็อกเชนรวมทั้งสิ้น 5,111 ล้านครั้ง นับว่าใกล้เคียงบล็อกเชนระดับโลกอย่าง Binance Chain ที่มีธุรกรรมรวม 6.9 พันล้านครั้ง
ดังนั้นในแง่ความเป็น “บล็อกเชนที่ดี” ของ “ขนาดบล็อกเชน” และ “ความปลอดภัย” ที่ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 4 นับว่าผ่านแล้ว เหลือแต่การ “กระจายอำนาจ” ให้ชุมชน พร้อม ๆ ไปกับการจะทำอย่างไรให้บริษัทมีรายได้ที่เลี้ยงตนเองได้ในระยะยาว
แยกโครงสร้างบริหาร
ในงาน BKC The new era “ภาสกร ปานนอก” ซีอีโอบริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท และบล็อกเชน บิทคับ ในปี 2025 ว่า จะรีแบรนด์ Bitkub Chain สู่ Kub Chain และมีแผนแยกการบริหารบล็อกเชนบิทคับออกจาก บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด
อันจะนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรใหม่ เหมือนบล็อกเชนระดับโลกอื่น ๆ เช่น การมี KUB Foundation หรือ KUB Association ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อบริหารจัดการ KUB Chain ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และพันธกิจ โดยมีแนวทางการพัฒนาที่จะเน้นการส่งเสริมการเติบโตของคอมมิวนิตี้ และการพัฒนาเทคโนโลยี บนเป้าหมายที่จะสร้าง KUB Chain ให้เป็นบล็อกเชนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และเพื่อทำให้ KUB Chain มีคุณสมบัติ “กระจายอำนาจ” เต็มที่ให้กับชุมชนนักพัฒนาและผู้ถือครองเหรียญ KUB
นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดสรรเงินทุนสนับสนุนผ่าน KUB Grant เพื่อส่งเสริมการพัฒนา Decentralized application บนเครือข่าย และมีเป้าหมายในการอัพเกรดขีดจำกัดความสามารถของ KUB Mainnet ให้รองรับธุรกรรมได้ถึง 500,000 ธุรกรรมต่อวินาทีภายในปี 2570 และเพิ่มจำนวน Total Value Locked บนเครือข่ายให้ถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงมีแผนเชื่อมต่อกับเครือข่ายบล็อกเชน Polygon และ Solana เพื่อขยายระบบนิเวศของ KUB Chain
KUB Chain มีโรดแมปที่ต้องการให้ชุมชนนักพัฒนาแอป และชุมชนผู้ใช้มีส่วนขับเคลื่อนการบริหารบล็อกเชน เพื่อกระจายอำนาจการตัดสินใจ อันเป็นคุณสมบัติของบล็อกเชน จะนำไปสู่ระบบโหวตของผู้ถือครองเหรียญ KUB เพื่อให้ชุมชนบริหาร Blockchain Network ซึ่งจะทำให้ KUB Chain เป็นบล็อกเชนสาธารณะ เหมือนเช่นบล็อกเชนระดับโลกอื่น ๆ เช่น BSC, Sol, Ethereum เป็นต้น.
ตั้งเป้ารายได้ใหม่
ขณะที่บริษัท บิทคับ เทคโนโลยี จะโฟกัสการพัฒนาแอปพลิเคชั่น และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น Bitkub Next, Bitkub NFT และอื่น ๆ รวมถึงการมีบทบาทหลักในการเป็นที่ปรึกษาด้านบล็อกเชน (Blockchain Consultant) และผู้รวมระบบ (System Integrator) การให้บริการด้านบล็อกเชนโซลูชั่นต่าง ๆ การให้บริการ Blockchain as a Service และการตรวจสอบ Smart Contract ต่าง ๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังจะโฟกัสโครงการสำคัญ ๆ เช่น โครงการทดลอง และร่วมพัฒนาระบบเงินบาทดิจิทัล หรือบาทแบบเงื่อนไขเฉพาะ หรือ Thai Baht Programable Payment ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และพันธมิตรด้วย
“ภาสกร” กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ด้วยว่า การแยกโครงสร้างการบริหารจะทำให้บริษัทโฟกัสลูกค้าได้มากขึ้น เน้นทำการตลาดได้ดีขึ้น และจะกลายเป็นรายได้ใหม่ของบริษัท โดยตั้งเป้าว่าภายในปีนี้จะมีรายได้ราว 150 ล้านบาท จากบทบาทใหม่ในฐานะ Blockchain as a Service หรือการเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและอื่น ๆ หลังแยกออกมาจากการดูแลบล็อกเชนโดยตรง
https://www.prachachat.net/ict/news-1772808
กลยุทธ์ใหม่ ‘Bitkub’ เมื่อ ‘บล็อกเชน’ ไม่ทำกำไร...
ป็นเวลากว่า 6 ปี ที่ บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด ในเครือบิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จัดตั้งขึ้นในปี 2561 เพื่อพัฒนาบล็อกเชน Bitkub Chain และเริ่มใช้งานบล็อกแรก ในเดือน เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา
ซึ่งในครั้งนั้น “จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบิทคับ เรียกว่าเป็น “โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ” ของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่
การมีบล็อกเชนของตนเอง หมายถึงการมีภาระค่าใช้จ่ายที่หนักหนาเอาการ พร้อมไปกับการเดินหน้าส่งเสริมระบบนิเวศทั้งผู้ใช้งาน และนักพัฒนา web3.0 มากว่า 3 ปี
ส่วนช่องทางรายได้ที่คาดการณ์ไว้จะมาจากค่าธรรมเนียมบล็อกเชน หรือค่าแก๊ส ซึ่งต้องประเมินราคาจากเหรียญ KUB ที่เป็นเนทีฟโทเค็น ของ Bitkub Chain
ปลุกปั้น Bitkub Chain
ขณะที่โปรเจ็กต์เรือธงของ Bitkub Chain อย่างเกม Morning Moon Village แม้จะสร้างธุรกรรมจำนวนมหาศาลบนบล็อกเชน แต่ “บิทคับเชน” อุดหนุนค่าแก๊สให้ผู้เล่นเพื่อให้การใช้งานดำเนินต่อไปไม่สะดุด ดังนั้นรายได้จาก “ค่าแก๊ส” จึงไม่น่าจะเป็นกอบเป็นกำพอ แต่บริษัทจะมีรายได้อื่น ๆ จากการเป็นที่ปรึกษา รวมถึงการช่วยพัฒนาแอปพลิเคชั่นบนบล็อกเชนให้กับพาร์ตเนอร์ เป็นต้น
สำหรับ “บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี” ในปีแรกที่เริ่มเปิดบิทคับเชน ในปี 2564 มีรายได้อยู่ที่ 1 พันล้านบาท มีกำไร 796 ล้าน สัมพันธ์กับการแจกจ่ายเหรียญ KUB Coin ในระบบนิเวศ และเริ่มการซื้อขาย ด้วยราคาที่เพิ่มสูงขึ้นในวัฏจักรขาขึ้นของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีรอบที่แล้ว แต่เมื่อมีหลายโปรเจ็กต์ใช้งานบิทคับเชน ในช่วงตลาดหมี พบว่าในปี 2565 มีรายได้ 354 ล้านบาท ขาดทุน 140 ล้านบาท และในปี 2566 มีรายได้ 65 ล้านบาท ขาดทุนถึง 394 ล้านบาท (ข้อมูลจาก Creden Data แต่ในปี 2567 ยังไม่มีรายงาน)
อย่างไรก็ตาม “บล็อกเชน” ยังคงเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับธุรกรรมในยุค web3.0
โดยคุณสมบัติของบล็อกเชนที่ดี คือ 1.มีจำนวนผู้ใช้ที่เติบโตขยายขนาดได้ต่อเนื่อง 2.ปลอดภัยมีเสถียรภาพ และ 3.มีการกระจายอำนาจตัดสินใจให้ชุมชน (Blockchain Trilemma)
เมื่อพิจารณา “เพอร์ฟอร์มานซ์” ของบิทคับเชน เรียกได้ว่าทำได้เป็นอย่างดี ด้วยธุรกรรมเฉลี่ย 1 ล้านครั้งต่อวัน จำนวน Wallet Addresses ทั้งสิ้น 2,391,897 Addresses ขณะที่มูลค่าการตลาดมีเงินไหลเวียนในระบบอยู่ที่ 148 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5 พันล้านบาท (อิงจากราคา KUB Coin) ส่วนธุรกรรมบนบล็อกเชนรวมทั้งสิ้น 5,111 ล้านครั้ง นับว่าใกล้เคียงบล็อกเชนระดับโลกอย่าง Binance Chain ที่มีธุรกรรมรวม 6.9 พันล้านครั้ง
ดังนั้นในแง่ความเป็น “บล็อกเชนที่ดี” ของ “ขนาดบล็อกเชน” และ “ความปลอดภัย” ที่ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 4 นับว่าผ่านแล้ว เหลือแต่การ “กระจายอำนาจ” ให้ชุมชน พร้อม ๆ ไปกับการจะทำอย่างไรให้บริษัทมีรายได้ที่เลี้ยงตนเองได้ในระยะยาว
แยกโครงสร้างบริหาร
ในงาน BKC The new era “ภาสกร ปานนอก” ซีอีโอบริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท และบล็อกเชน บิทคับ ในปี 2025 ว่า จะรีแบรนด์ Bitkub Chain สู่ Kub Chain และมีแผนแยกการบริหารบล็อกเชนบิทคับออกจาก บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด
อันจะนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรใหม่ เหมือนบล็อกเชนระดับโลกอื่น ๆ เช่น การมี KUB Foundation หรือ KUB Association ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อบริหารจัดการ KUB Chain ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และพันธกิจ โดยมีแนวทางการพัฒนาที่จะเน้นการส่งเสริมการเติบโตของคอมมิวนิตี้ และการพัฒนาเทคโนโลยี บนเป้าหมายที่จะสร้าง KUB Chain ให้เป็นบล็อกเชนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และเพื่อทำให้ KUB Chain มีคุณสมบัติ “กระจายอำนาจ” เต็มที่ให้กับชุมชนนักพัฒนาและผู้ถือครองเหรียญ KUB
นอกจากนี้ ยังมีแผนจัดสรรเงินทุนสนับสนุนผ่าน KUB Grant เพื่อส่งเสริมการพัฒนา Decentralized application บนเครือข่าย และมีเป้าหมายในการอัพเกรดขีดจำกัดความสามารถของ KUB Mainnet ให้รองรับธุรกรรมได้ถึง 500,000 ธุรกรรมต่อวินาทีภายในปี 2570 และเพิ่มจำนวน Total Value Locked บนเครือข่ายให้ถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมถึงมีแผนเชื่อมต่อกับเครือข่ายบล็อกเชน Polygon และ Solana เพื่อขยายระบบนิเวศของ KUB Chain
KUB Chain มีโรดแมปที่ต้องการให้ชุมชนนักพัฒนาแอป และชุมชนผู้ใช้มีส่วนขับเคลื่อนการบริหารบล็อกเชน เพื่อกระจายอำนาจการตัดสินใจ อันเป็นคุณสมบัติของบล็อกเชน จะนำไปสู่ระบบโหวตของผู้ถือครองเหรียญ KUB เพื่อให้ชุมชนบริหาร Blockchain Network ซึ่งจะทำให้ KUB Chain เป็นบล็อกเชนสาธารณะ เหมือนเช่นบล็อกเชนระดับโลกอื่น ๆ เช่น BSC, Sol, Ethereum เป็นต้น.
ตั้งเป้ารายได้ใหม่
ขณะที่บริษัท บิทคับ เทคโนโลยี จะโฟกัสการพัฒนาแอปพลิเคชั่น และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น Bitkub Next, Bitkub NFT และอื่น ๆ รวมถึงการมีบทบาทหลักในการเป็นที่ปรึกษาด้านบล็อกเชน (Blockchain Consultant) และผู้รวมระบบ (System Integrator) การให้บริการด้านบล็อกเชนโซลูชั่นต่าง ๆ การให้บริการ Blockchain as a Service และการตรวจสอบ Smart Contract ต่าง ๆ
นอกจากนี้ บริษัทยังจะโฟกัสโครงการสำคัญ ๆ เช่น โครงการทดลอง และร่วมพัฒนาระบบเงินบาทดิจิทัล หรือบาทแบบเงื่อนไขเฉพาะ หรือ Thai Baht Programable Payment ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และพันธมิตรด้วย
“ภาสกร” กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ด้วยว่า การแยกโครงสร้างการบริหารจะทำให้บริษัทโฟกัสลูกค้าได้มากขึ้น เน้นทำการตลาดได้ดีขึ้น และจะกลายเป็นรายได้ใหม่ของบริษัท โดยตั้งเป้าว่าภายในปีนี้จะมีรายได้ราว 150 ล้านบาท จากบทบาทใหม่ในฐานะ Blockchain as a Service หรือการเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและอื่น ๆ หลังแยกออกมาจากการดูแลบล็อกเชนโดยตรง
https://www.prachachat.net/ict/news-1772808